7
“แล้วทำไมคุณถึงได้ทำอะไรชักช้าจังล่ะค่ะ รู้ไหมฉันร้อนไปหมด...แล้วนะ” พูดด้วยเสียงเซ็กซี่ พลางขยับกายบดเบียดสะโพกบนความแข็งแกร่ง
มุมปากหนาหยัดยกขึ้นเล็กน้อย นานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้เจอคู่ต่อสู้ทางเพลิงราคะเร่าร้อนถึงเพียงนี้ นานจนจำไม่ได้เสียแล้ว ที่ค่ำคืนวันมะรืนคงได้รู้ เธอเร่าร้อนพอกับความต้องการที่อัดไว้มากล้นหลามของเขาหรือเปล่า
“ฉันรู้...แต่เธอยังร้อนไม่พอหรอกสาวน้อย เธอยังต้องได้รับการปลุกปั่นเพิ่มอีก”
“จริงเหรอ...” เอียงคอเล็กน้อย ส่งยิ้มหวานเย้ายวน
“งั้นคุณคงต้องสอนฉันแล้วละ ต้องทำยังไง”
นิ้วยาวกดย้ำลงบนกลีบปากหนา “ถ้าคุณไม่ว่า...ขอจูบหวานๆ ให้ฉันอีกครั้งได้ไหม”
“เธอจูบฉันเองไม่ดีกว่าหรือไง”
“ก็...ฉันทำไม่เป็นนี่น่า จูบแรกของฉันคุณก็เป็นคนได้ไปด้วยนะ”
คีธคลี่ยิ้มจนใบหน้าเข้มเย็นชาอ่อนละมุนลง เขารู้ได้อย่างหนึ่ง เธอเป็นคนตรงที่ทำให้มีเสน่ห์ “ฉันสอนฟรีๆ ให้ก่อน แล้วเธอค่อยทำตามพร้อมให้รางวัลเป็นตัวเธอดีไหม”
“อือ...ดีสิ” ชมบุหลันตอบกลับเสียงพร่า รอคอยจุมพิตแผดเผาอารมณ์ด้วยใจระทึก ทว่าทุกอย่างกลับสลายเลือนหายไปด้วยเสียงหวีดร้องแหลมเล็กราวกับลำโพงงานวัดของคนที่ยืนตะลึงงัน เพิ่งหาเสียงของตัวเองเจอสอดแทรกมาทำให้ขี้ในหูเต้นเร่าให้รู้ว่ากำลังตกอยู่ที่นั่งลำบากถ้าหากไม่รีบถอยตัวออกมา แต่...
“ตายแล้ว! ฉันทำอะไรลงไปนี่ คุณ...ปล่อยฉันนะ”
เสียงที่เปล่งออกจากปากไปนะซิ ทำไมถึงได้สั่นและเบาหวิวจัง หรือเป็นเพราะความใกล้ชิด อุ่นไอร้อนผ่าวที่แผ่มาโอบรัดรอบกายกับฝ่ามือใหญ่ที่นวดเฟ้นอกอิ่มทำให้เธอหายใจหายคออย่างติดขัด กายอ่อนระทวยอ่อนแรงกับสมองที่ดูเหมือนเลิกสั่งการไปชั่วคราว
เกิดอะไรขึ้น...หรือเธอโดนมนตร์สะกดเข้าให้แล้ว ถึงได้รู้สึกเสียดายอย่างแรง ถ้าต้องถอยห่างจากผู้ชายดวงตายิ้มได้และกลิ่นหอมอย่างกับไวน์ชาโตเปตรุส[1]
เอ่อ...เธออุปาทานหนักมากไปหรือเปล่านี่ ก็ไวน์ราคาแพงขนาดนั้นเธอจะมีปัญญาไปสอยมาทานได้ยังไงกัน เพ้อเจ้อแล้วล่ะ
ชมบุหลันถึงกับร้องครางในลำคอ คิ้วเข้มที่ขมวดมุ่นเข้าหากันคลายออก ด้วยพอเข้าใจความรู้สึกของปาวรินทร์ตอนได้เจอกับชายตรงหน้าแล้ว
แม้ตัวเธอที่คิดว่าตัวเองมีภูมิต้านทานผู้ชายหล่อหน้าตาดี หุ่นแกร่งกำยำอย่างกับพระเอกในจินตนาการ ก็ยังเผลอก้าวตกลงไปในหลุมเสน่หาที่อีกฝ่ายล่อหลอกยั่วยุและก้าวขึ้นมาไม่ได้ เมื่อร่างกายคล้ายเป็นเพียงแค่ตุ๊กตามีชีวิตแต่บังคับไม่ได้!
“คุณคีธ!” พิมพ์มาดากัดเขี้ยวกรอดๆ ด้วยความไม่พอใจระคนอิจฉายายอ้วนตุ้ยนุ้ย ที่ไม่รู้ทะเล่อทะล่ามาจากไหน คว้าพุงปลาเอาไปกิน ในขณะที่เธอพยายามจนเลือดตาแทบกระเด็น แต่สิ่งที่ได้รับกลับคืนมาคือเพียงความเย็นชาและไม่ใส่ใจ
“คุณคีธทำอย่างนี้ไม่ได้นะคะ” จากที่เอ่ยเสียงเข้มจำต้องอ่อนลงเมื่อเจอสายตาคมเข้มดุกร้าว
คิ้วหนาเป็นปื้นเลิกขึ้นเล็กน้อย “ฉันจะทำอะไร มันไปเกี่ยวกับเธอตรงไหน” เอ่ยถามไปน้ำเสียงคล้ายฟ้ากำลังฟาด
“แต่ฉันว่า คุณ...ปล่อยฉันดีกว่านะ ฉันไม่ใช่ผู้หญิงอย่างที่คุณคิด” ชมบุหลันเอ่ยเสียงอ่อย ทาบสองมือผลักกายกำยำให้ถอยห่างไป แต่เหมือนกับเธอเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง นอกจากไม่ได้รับการปล่อยแล้วกลับถูกรัดเสียจน...สัดส่วนเรือนกายนุ่มนิ่มแนบชิดอกกว้าง พานทำให้หัวใจเต้นไหวระทึกราวกับยืนอยู่บนเส้นเชือกเปื่อยยุ่ยพร้อมขาดลงทุกเมื่อ
“ก็...คุณคีธยังไม่รู้จักชื่อยายอ้วนตุ้ยนุ้ยเลยนี่คะ แล้วจะ...พาไปด้วยได้ยังไง” พิมพ์มาดาพยายามคิดหาเหตุผลขึ้นมาอ้างให้คีธปล่อยตัวแม่สาวตุ้ยนุ้ยและดึงเอาเธอเข้าไปนั่งบนตักกว้างแทนที่
คีธก้มหน้าลงมองใบหน้านวลแดงระเรื่อ รอยยิ้มแต้มบนมุมปากหนา “เธอชื่ออะไรสาวน้อย”
“ชมบุหลัน...ไผ่หลิว” น้ำเสียงแหบนุ่มทุ้มระคนเซ็กซี่เปี่ยมล้นด้วยความเย้ายวนยั่วเย้าที่กระตุ้นให้หญิงสาวเผลอตอบกลับอย่างไม่ทันรู้ตัว ก่อนริ้วลมร้อนผ่าวจะแต้มบนแก้มใสให้คิดว่าคงแดงปลั่งยิ่งกว่าผลเชอร์รี่ อยากเบือนหน้าหนีและผลักไสแต่กลับอ่อนไร้เรี่ยวแรง ที่คงเป็นเพราะอำนาจจากมือแกร่งอุ่นซึ่งยังไม่ยอมละจากการโลมไล้ปทุมถันกลมกลึง พานพัดความปั่นป่วนวาบหวามมาสู่กายาตลอดเวลา
“น่ารักดี...ไผ่หลิว” คีธเอ่ยชม พลางยอมปล่อยมือจากเต้าอวบอัด ดันร่างอรชรจากตักกว้าง
ชมบุหลันรู้สึกเสียดายความอบอุ่นที่หายไป แต่ยังไม่ทันได้ก้าวเท้าถอยห่าง แขนกลมกลึงก็ถูกกระตุกจนกายถลาไปแนบกายใหญ่ โดยแขนกำยำโอบรัดรอบเอวคอดกิ่ว
“พร้อมแล้วใช่ไหมไผ่หลิว ที่จะไปรื่นเริงหาความสุขยามค่ำคืน เที่ยวท่องวิมานราตรีกับฉัน”
“เอ่อ...” ชมบุหลันได้แต่อ้าปากกว้างด้วยงวยงงจากสายตาคมเข้ม ก่อนรีบสะบัดศีรษะเรียกสติคืนกลับมาอย่างยากเย็นเป็นที่สุด
“เปล่าสักหน่อย ฉันไปรับปากคุณเมื่อไหร่ล่ะ แถมคุณชื่ออะไรยังไม่แนะนำตัวให้ฉันรู้จักเลยนะ แล้วฉันจะไปทำอย่างว่ากับคุณได้ยังไงกัน” หาข้ออ้างทางออกให้กับตัวเอง
คีธยิ้มหวาน “เรากำลังจะออกไปจากที่นี่ ไปทำความรู้จักกันอย่างสนิทสนมลึกซึ้งไง...ไผ่หลิว”
คำพูดเซ็กซี่เย้ายวนชวนระทึกใจอีกทั้งฝ่ามือหนาที่ลูบไล้แผ่นหลังทำเอาชมบุหลันถึงกับขาสั่น ใบหน้านวลผ่องแหงนขึ้นมองสบสายตาคมเข้มเป็นประกายหวานพราวเว้าวอน เรียวลิ้นเล็กยื่นออกมาไล้เลียกลีบปากเชิญชวน
“เรียกฉันว่า...คีธ” เอ่ยพร้อมโน้มใบหน้าลงไปแนบปากทาบจากหางตาไล่ลงไปบนแก้มนวลนุ่มหอม ก่อนทาบบนปากอิ่มที่ยู่ยื่นออกมาอย่างขัดอกขัดใจที่เขาทำอะไรชักช้า เขาเลยจำเป็นต้องแนบปากลงไปบนความนุ่มนิ่มอย่างหิวกระหาย ขบเม้มกลีบปากล่างให้คนตัวเล็กร้อนไปทั่วร่าง
“แค่นี้ก่อนนะ...เอาไว้เราค่อยต่อเมื่อถึงห้องนอนฉัน รับรองได้ว่า...เธอจะถูกฉันจูบไปทั่วทั้งตัว ร้อนยิ่งกว่าไฟเผาเชียวล่ะ”
“จริงๆ หรือคะ คุณไม่ได้พูดเล่นใช่ไหม” ชมบุหลันยกมือปิดปากตัวเองแทบไม่ทัน เธอเป็นบ้าอะไรไปนี่ ถึงได้ทำเหมือนกับสาวร้อนแรงกระหายอยากในรสเสน่หาจนห้ามใจเอาไว้ไม่ได้
“ถ้าอยากรู้ว่าจริงหรือเปล่า เราคงต้องรีบไป เพราะฉันร้อนอยากฝังร่างเป็นหนึ่งเดียวกับเธอจะแย่แล้ว”
ชมบุหลันหัวเราะคิก บดเบียดเรือนกายอรชรแนบชิดความแกร่งกำยำ พร้อมทาบฝ่ามือนุ่มนิ่มบนอกกว้างอย่างหลงใหล “แล้วจะรอช้าอยู่ทำไมล่ะคะ”
“เธอไม่ต้องมาที่นี่แล้วนะ...พรุ่งนี้จะให้คนส่งเงินไปให้” คีธเอ่ยจบก็พาชมบุหลันเดินจากไป โดยไม่สนใจเสียงโหวกเหวกโวยวายของพิมพ์มาดา ที่เมื่อเขายกมือขึ้นโบกก็มีสองหนุ่มร่างใหญ่ล่ำบึกหน้าตาดุดันเหี้ยมเกรียมสองคนที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนยืนขนาบข้าง
“ตายแล้ว! ฉันลืมไปเลย” ชมบุหลันเอ่ยเสียงใส ขณะเอนกายกลมกลึงแนบร่างแกร่ง ที่ไม่หยุดเวียนอุ่นไฟพิศวาสด้วยการสอดมือเข้ามาลูบไล้ผิวเนื้อนวลเนียนนุ่ม ให้เธอตัวสั่นสะท้านวาบหวาม เลือดในกายสูบฉีดแรงจนแก้มแดงระเรื่อ
คีธเลิกคิ้ว ก้มลงมองคนในอ้อมแขน
“คือ...ฉันไม่ได้เข้าไปในคลับของคุณเหมือนสาวๆ คนอื่นนะ” เห็นสีหน้างุนงงสงสัยและสายตาเป็นคำถามที่ส่งมา ทำให้หญิงสาวต้องรีบอธิบายโดยเร็ว
[1] ชาโตเปตรุส (Pertus) ได้ชื่อว่าเป็นไวน์ที่ดีที่สุดและราคาแพงที่สุดในแคว้นบอร์โด แพงเป็นอันดับสองของเหล่าบรรดาไวน์จากประเทศฝรั่งเศสและของโลก จะเป็นรองก็แต่เพียง โรมาเน คอนติ (Romanee Conti) ราชันย์ไวน์แห่งแคว้นเบอร์กันดีเท่านั้น