ในบรรพกาลมีภูเขาเทียนเหมินชาน ซึ่งอยู่เขตแดนมนุษย์และมีปลายยอดเขาแหลมเทียมฟ้า ความงดงามเหนือดินแดนมนุษย์ทั้งปวง ณ ที่แห่งนี้มนุษย์เดินดินธรรมดามิอาจมาเหยียบย่ำได้ เนื่องจากความสูงและตำนานเล่าขานที่น่าหวาดหวั่น ต้นหงส์เพลิงออกดอกใบสีแดงอมส้มสว่างไสวงดงาม ใต้ต้นหงส์เพลิงมีชายหนุ่มรูปงาม
ร่างสูงโปร่งที่มีรัศมีสีทองเปล่งประกายงดงามจนยากจะถอนสายตานั่งบรรเลงกู่เจิงสีทองอร่ามเข้ากับรัศมี ด้วยเพลงสวรรค์เสียงใสกังวานดังทั่วทั้งหุบเขา
ห่างออกไปมีปีศาจงูดินที่อายุได้ห้าร้อยปี ซึ่งบำเพ็ญเพียรอยู่บริเวณนั้นแปลงกายเป็นมนุษย์มานั่งฟังเพลงเป็นเพื่อนเฉกเช่นทุกครั้งนานนับสิบปี
“ยอดเยี่ยมมากหลิ่งเหวิน ข้ามีความสุขทุกครั้งที่ได้ฟังเพลงของเจ้า”
เมื่อเสียงเพลงจบลงปีศาจงูดินนามว่าเฟยหลงกล่าวชมด้วยรอยยิ้มของความสุข ‘หลิ่งเหวิน’ หรือ ‘เทพหลิ่งเหวิน’ เงยหน้าจากกู่เจิงสวรรค์สบตากับสหายแล้วบอกกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้ายินดีที่เจ้าชอบ” เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยตอบดวงตาพราวสดใส
หลิ่งเหวินเป็นเทพที่เจ้าแม่หนี่วาสร้างขึ้นจากปิ่นปักเกษาทำให้มีกายทิพย์และเป็นเทพองค์หนึ่งในแดนสวรรค์ ด้วยความเมตตาจากเจ้าแม่หนี่วาจึงมอบพลังและความสามารถรอบรู้ให้เศษ2ส่วน10ของพลังพระองค์
หลิ่งเหวินจึงเหมือนลูกรักที่เจ้าแม่หนี่ว่ารักใคร่จึงปล่อยให้ทำตามใจตัวเอง และหลิ่งเหวินก็ไม่เคยทำให้พระองค์ร้อนใจเลยสักครั้ง
“ข้ามิรู้จะตอบแทนน้ำใจเจ้าอย่างไรดี เอาอย่างนี้ดีกว่า ถ้าเมื่อใดที่ข้าบำเพ็ญเพียรกลายเป็นมังกรฟ้า เมื่อนั้นข้าจะพาเจ้าท่องเที่ยวทั้งแดนมนุษย์และสวรรค์”
เฟยหลงบอกสหายด้วยสายตาแน่วแน่ หวังจะตอบแทนเสียงเพลงสวรรค์ที่ทำให้หัวใจสงบและมีความสุข
หลิ่งเหวินยิ้มขำกับคำกล่าวของสหาย ก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง ดวงตาคมมองสหายอย่างให้กำลังใจ
“บำเพ็ญเพียรอีก500 ปีเจ้าจะหลุดพ้นจากงูดินเป็นมังกรดำ อีก1500 ปีเจ้าจะเป็นมังกรฟ้า ข้าจะรอจนถึงเวลานั้น อย่าเพิ่งถอดใจไปเสียก่อนล่ะ”
เมื่อกล่าวจบนิ้วเรียวสวยจึงเริ่มบรรเลงเพลงขึ้นอีกครั้ง...
กาลเวลาผ่านพ้นไปยาวนานจนถึง 500 ปีที่ปีศาจงูดำกลายเป็นมังกรดำ หลิ่งเหวินได้อิสระในการท่องโลกกว้างในแดนมนุษย์ และในทุกๆ วันจะกลับมานั่งบรรเลงเพลงใต้ต้นหงส์เพลิงจวบจนมีบัญชาจากสวรรค์ให้กลับไปรับใช้สวรรค์หรือช่วยงานเจ้าแม่หนี่วา
“ไยวันนี้เพลงถึงได้เศร้านัก” เฟยหลงกล่าวถามด้วยดวงตาเศร้าหมองเฉกเช่นเพลงพิณที่บรรเลง
“มีพบก็ย่อมมีจาก ถึงเวลาแล้วที่ข้าต้องกลับสวรรค์ เพลงนี้เป็นเพลงอำลาครั้งสุดท้ายที่ข้าจะสามารถเล่นให้เจ้าฟังได้”
คำกล่าวของสหายที่เป็นเทพแต่อยู่ที่เขาเทียนเหมินชานนานถึง500ปี จนเฟยหลงคิดว่าชาตินี้คงไม่ต้องแยกจากสหายอีกแล้ว ความเงียบงันก่อเกิดเมื่อความจริงที่โหดร้ายทำให้หัวใจเฟยหลงสับสน มันเฝ้าบำเพ็ญเพียรเพื่อหวังจะได้เท่าเทียมกับสหาย แต่มาบัดนี้เหมือนความฝันแหลกสลาย
“หากมีวาสนาเราจักได้พบกันอีกเฟยหลง ข้าจะไม่มีวันลืมเจ้าสหายที่ดีของข้า”
หลิ่งเหวินบอกด้วยเสียงนุ่มทุ้มทำลายความเงียบ ดวงตาคมมองสหายด้วยความนิ่งเฉย แม้จะดูนิ่งเฉยเหมือนไม่รู้สึกอะไรแต่หลิ่งเหวินรู้ดีว่าตัวเองเศร้าหมองมิต่างกับสหายเลย
“สักวันข้าจะไปหาเจ้าให้จงได้!” หลิ่งเหวินยิ้มรับแต่มิกล่าวอะไร เพียงบรรเลงเพลงอำลาให้สหายฟังอีกครั้งเป็นครั้งสุดท้าย
“หากมีวาสนา เราจักได้พบกันอีก”
เมื่อเพลงจบลงหลิ่งเหวินจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พร้อมด้วยรอยยิ้มให้สหายเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะกลับสู่สวรรค์ ปล่อยให้สหายมองตามด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา...
กาลเวลาผ่านพ้นมาอีก 500 ปีที่เหมือนจะเป็นคราวเคราะห์ของหลิ่งเหวิน เมื่อมังกรดำออกอาละวาดในแดนสวรรค์ ทำร้ายเหล่าเทพไปหลายพันองค์
หลิ่งเหวินได้รับบัญชาให้ไปกำจัดมังกรดำที่อาละวาดแดนสวรรค์ สร้างความเดือดร้อนใหญ่หลวง
แต่ขณะนั้นหลิ่งเหวินกลับจำได้ว่าเป็นสหาย จึงทำผิดกฎสวรรค์ปล่อยมังกรดำไป ทว่าความร้ายแรงไม่ได้หยุดแค่นี้เมื่อมังกรดำได้ทำลายเสาสวรรค์จนเป็นเหตุให้โลกมนุษย์เกือบล่มสลาย
ยังดีที่เจ้าแม่หนี่วามาช่วยอุดรูรั่วของเขตแดนสวรรค์ไว้ได้ แต่คนผิดต้องรับผิด หลิ่งเหวินจึงถูกลงทัณฑ์
“หลิ่งเหวินแม้ครั้งนี้จะเป็นความผิดครั้งแรกของเจ้า แต่กลับทำผิดใหญ่หลวงนัก ข้ามิอาจช่วยเจ้าได้จริงๆ ด้วยความรักที่ข้ามีต่อเจ้าข้าจะทำลายร่างทิพย์ของเจ้าและส่งดวงจิตไปยังโลกมนุษย์ จงทำความดีชดใช้กรรมที่เจ้าก่อ ข้าหวังว่าความกรุณาของข้าจะทำให้ดวงจิตของเจ้ากลับคืนสู่สรวงสรรค์อีกครั้งในสักวัน”
หลิ่งเหวินนั่งเงียบเงยหน้าสบตาพระมารดาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะก้มหน้ารอรับการลงทัณฑ์ เพียงแค่เจ้าแม่หนี่วาสะบัดมือร่างที่งดงามที่ถูกสร้างสรรค์กลับแตกสลาย ดวงจิตถูกส่งไปยังโลกมนุษย์ เพื่อชดใช้กรรม
ตุบ!
โอ้ย!
เสียงร้องเบาๆ พร้อมร่างสูงโปร่งที่ตกจากเตียงพยายามปีนกลับขึ้นมานั่งบนเตียงพร้อมสะบัดศีรษะไปมาไล่ความมึนงง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาตกเตียงแต่เป็นทุกครั้งที่เขาฝันถึงเรื่องนี้
“เฮ้อ! สงสัยจะอ่านนิยายจีนกำลังภายในมากเกินไป”
ผมบ่นกับตัวเองเบาๆ เมื่อมองนาฬิกาก็เพิ่งจะตีสาม จะนอนต่อก็นอนไม่หลับเพราะความฝันมันตามหลอกหลอน จึงลุกออกไปสูดอากาศนอกระเบียงห้องนอน ผมชื่อ เอกบดินทร์ วัฒนโสภา ที่เป็นคนไทยแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์