เพลงในความฝันยังตราตรึงจนทำให้ผมอยากบรรเลงเพลงนั้นด้วยตัวเองอีกสักครั้ง นิ้วเรียวเริ่มบรรเลงเพลงที่คุ้นเคยตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา เหมือนห้วงฝันที่เป็นจริง
เสียงใสกังวานเริ่มกระจายไปตามจังหวะ ดวงตาพราวระยับ ริมฝีปากเผลอยิ้มออกมา ความรู้สึกเหมือนได้กลับบ้านเพลงยินดีปรีดาเริ่มจบลงที่โน้ตสุดท้าย
ทว่าร่างของผมกลับฟุบลงกับพื้นพร้อมดิ้นรนอย่างทุรนทุราย มิอาจร้องออกมาได้ หัวใจเหมือนถูกบีบให้แหลกสลาย สายตาเริ่มพร่ามัว มันเกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่ แม้จะรู้สึกเจ็บปวดเหลือคณาแค่ไหนแต่กลับมองเห็นคนที่เคยเจอในฝัน พร้อมเสียงหวานอ่อนโยน
“กลับภพแดนที่ควรจะเป็น หมดเวลาเที่ยวเล่นแล้วบุตรแห่งข้า” นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่ผมได้ยินก่อนที่สติผมจะดับไป...
“นี่คือความฝันอีกแล้วใช่ไหม”
ในดินแดนอันมืดมิดแต่กลับรู้สึกอบอุ่น ทว่าผมกลับไม่อยากอยู่ในที่มืดมิดที่มันอุ่นจนร้อนอย่างนี้เลย ผมพยายามดิ้นรนเพื่อหาทางออกให้ตัวเอง
เสียงมากมายเหมือนดังอยู่ใกล้ๆ แม้จะฟังออกว่าพวกเขาพูดอะไรกัน แต่มันน่ารำคาญแทนที่จะเอาเวลาพูดมากมาช่วยฉุดผมออกจากความมืดมิดนี้ไม่ดีกว่าหรือไง
เปลือกตาที่หนักอึ้งและเหมือนร่างกายที่หนักราวกับมีอะไรมาทับทำให้ผมรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีดิ้นรนและลืมตาขึ้นได้ในที่สุด ทว่าแสงสว่างที่มองเห็นมันแสบตามากจนต้องรีบหลับตาลง
ครั้งนี้ผมพยายามลืมตาขึ้นอีกครั้ง เบื้องหน้าผมเป็นเพดานที่ไม่คุ้นเคย เพราะเสียงที่ดังข้างตัวและโอบกอดผมจนแทบหายใจไม่ออก
...หายใจไม่ออก
ผมอยากบอกคนที่กอดผม ทว่าเสียงเหมือนจะไม่มีมันแหบแห้งเหมือนไม่ได้กินน้ำมาหลายวัน
“น้ำ”
เสียงแหบแห้งของผมบอกเบาๆ ทว่าคนที่โอบกอดผมกลับรีบกุรีกุจอนำน้ำมาให้ดื่ม ผมมองสิ่งที่ยื่นมาประคองให้ผมดื่ม แต่ไม่อยากบอกเลยว่ามันใช่น้ำที่ไหน ขมจนผมเบ้หน้าหนี
“องค์ชายห้าไม่เป็นไรนะเพคะ เจ็บตรงไหนอีกหรือเปล่าเพคะ ขอบคุณเจ้าแม่หนี่วาที่ทำให้พระองค์มีชีวิตรอด”
คำถามเป็นภาษาจีนแปลกๆ คล้ายคำโบราณทว่าผมกลับฟังออกทำเอาผมมึนไปพักใหญ่ ก่อนจะมองสำรวจรอบห้องทำให้รู้ว่านี่ไม่ใช่บ้านตัวเอง
...หรือว่าฝัน
ผมคิดอย่างมึนงงก่อนจะยกมือหยิกแก้มตัวเองดู ทว่าสิ่งที่สะดุดตาตัวเองตอนนี้กลับเป็นมือขนาดเล็กของเด็กที่ไม่เกินห้าขวบเสียด้วยซ้ำ ผมลองหยิกแก้มตัวเองดูอีกครั้ง
เจ็บ!
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผมถามตัวเองอย่างมึนงง มองหญิงวัยกลางคนที่แต่งตัวแปลกๆ เหมือนอยู่ในราชวงค์ซางมองผมอย่างเป็นห่วง พร้อมหญิงสาววัยรุ่นอีกสามสี่คนนั่งหมอบอยู่ไม่ห่าง
“องค์ชายเพคะ หม่อมฉันขออภัยที่มิอาจปกป้ององค์ชายได้จนทำให้ได้รับยาพิษจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด โปรดลงโทษหม่อมฉันเถอะเพคะ”
หญิงวัยกลางคนบอกพร้อมนั่งหมอบกราบลงข้างเตียงที่ผมนอน ผมยังไม่ได้พูดอะไรเพราะกำลังมึนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก และยังไม่แน่ใจว่านี่เป็นความจริงหรือว่าความฝันกันแน่
ผัวะ!
ประตูเปิดออกพร้อมชายหนุ่มสามคนเดินเข้ามาก้มหัวให้ผมเช่นเดียวกับคนในห้อง
“องค์ชายห้าโปรดลงโทษพวกเกล้ากระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะที่ดูแลพระองค์ไม่ดี”
ผมยกมือขึ้นนวดกระหม่อมที่ตอนนี้เล็กสมกับร่างนี้ ตอนนี้ผมอยากอยู่คนเดียวมากๆ เพราะอยากทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น ทว่าขณะนั้นเหมือนกาลเวลาจะหยุดนิ่งพร้อมร่างหญิงสาวที่งดงามใส่ชุดสีแดงเพลิงปรากฏตรงหน้า
“ยินดีที่พบท่านอีกครั้งองค์ชายห้าหลิ่งเหวิน ข้าคือเทพอัคคีได้รับคำสั่งจากเจ้าแม่หนี่วามาบอกกล่าวแก่ท่าน”
เทพอัคคีมองผมนิ่งๆ ก่อนจะกล่าวต่อเมื่อผมไม่ได้พูดอะไร ไม่ใช่ไม่อยากพูดแต่ผมกำลังเรียบเรียงข้อมูล แม้ผมจะฉลาดมากแค่ไหน แต่มาเจอเหตุการณ์เหนือธรรมชาติก็ทำให้ผมรู้สึกไปไม่เป็นได้เหมือนกัน
“นับแต่นี้ไปร่างกายขององค์ชายห้าหลิ่งเหวินจะเป็นของท่าน ณ โลกเดิมท่านหมดอายุขัยและที่แห่งนี้คือที่ๆท่านต้องใช้ชีวิตทำคุณงามความดีเพื่อชดใช้กรรมที่ท่านเคยก่อ”
“หลิ่งเหวิน”
ผมพึมพำเบาๆ ความฝันในอดีตทำให้ผมพอจะเข้าใจบางอย่าง แต่ที่ทำให้ช็อกคือผมหมดอายุขัยแล้ว! มันหมายความว่า ผมตายแล้วใช่ไหม
“ท่านเข้าใจถูกแล้วองค์ชายห้าหลิ่งเหวิน”
เทพอัคคีตอบด้วยรอยยิ้มที่งดงาม ทว่าตอนนี้หัวใจผมสับสนจนไม่ได้ใส่ใจรอยยิ้มนั้น
“แล้วดวงจิตของเจ้าของร่างนี้ล่ะ”
ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะหากผมอยู่ในร่างของหลิ่งเหวินแล้วเจ้าของร่างจริงๆ ไปไหน
“ร่างนี้สร้างไว้เพื่อรอคอยท่านเท่านั้น ท่านอย่าได้กังวล อนาคตท่านจะรู้ได้เองว่าต้องทำเช่นไร ข้ามาวันนี้เพื่อมอบสิ่งนี้ให้แก่ท่านตามบัญชาของเจ้าแม่หนี่วา”
บอกพร้อมยื่นแหวนลวดลายมังกรนัยน์ตาสีมรกตที่ทำให้ผมสะดุดตา คงไม่ใช่อย่างที่คิดหรอกนะ
“ท่านคิดถูกแล้วองค์ชายหลิ่งเหวิน เมื่อถึงเวลาท่านจะปลดผนึกมันได้เอง อนาคตข้างหน้ามีมารมากมายก่อเกิด ท่านจงกำจัดมารเพื่อสันติโลกมนุษย์ในภายภาคหน้า หมดหน้าที่ของข้าแล้ว หากมีวาสนาคงจักได้พบกันอีกครา”
เทพอัคคีบอกด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนก่อนจะจากไปราวกับไม่เคยปรากฏตัวที่นี่มาก่อน พร้อมเวลากลับมาหมุนดั่งเช่นเดิม ที่พวกเหล่านี้นั่งหมอบเพื่อรับโทษทัณฑ์