“นิ่มแค่คิด แค่จินตนาการภาพค่ะ ไม่ได้มโนสักหน่อย” ฉันเบ้ปากใส่พี่เคลิ้ม
อะไรนิดอะไรหน่อยก็ว่าแต่ฉันมโน
“แล้วจินตนาการกับมโนไม่เหมือนกันหรือไง มึงนี่เริ่มเพ้อเจ้อหนักนะอ้วน ควรไปเช็กสมองบ้างนะ”
“พี่เคลิ้ม! นิ่มจะโกรธพี่แล้วนะ” ฉันหันไปหน้าบึ้งใส่เขา
“กูต้องง้อไหม” พอเขาพูดแบบนี้ฉันก็ไม่พูดอะไรออกไปอีก ฉันเงียบแล้วหันมองออกนอกกระจก
นอกจากครอบครัวของฉัน มันก็ไม่มีใครง้อฉันอยู่แล้วแหละ ฉันมันไม่ได้มีความหมายกับใครขนาดนั้น
จากนั้นภายในรถก็เงียบลงไม่ได้มีเสียงถกเถียงอะไรออกมา
หลายนาทีต่อมา…
“หิวข้าวไหม” พี่เคลิ้มมันถามขึ้นมา แต่ฉันเงียบไม่พูดอะไรออกไป
“อ้วน”
“ไม่พูดก็ไม่ต้องพูด แต่กูหิวข้าว จะแวะแดกละ” พี่เคลิ้มทำทีชะลอรถ แต่ฉันก็ยังเฉย
“อยากแดกไร” แล้วเขาก็ถามฉันอีกครั้ง ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาบอกเองว่าไม่พูดก็ไม่ต้องพูด
“…” แล้วจำเป็นอะไรที่ฉันต้องพูด
“พี่มึงบอกมึงชอบแดกโตเกียว กูมีเจ้านี้อร่อย อยากแดกไหม” ยังจะถามอีก ไอ้พี่บ้านี่มันจะถามบ้าอะไรนัก
แล้วมารู้ดีอีกฉันชอบโตเกียว
“ถ้ามึงไม่ตอบกู มึงจะพลาดโตเกียวเจ้าอร่อยมากอ้วน” ไอ้พี่เคลิ้มยังคงพูดต่อ
และการที่พี่เคลิ้มทำแบบนี้มันทำให้ฉันเข้าใจว่าเขาง้อฉันอยู่
“นี่คือวิธีการง้อของพี่เหรอ” ฉันหันไปมองหน้า
หลงตัวเองอีกละนุ่มนิ่ม มโนว่าตัวเองเป็นนางเอกนิยายอีกแล้ว
“เออ กูง้อ เลิกงอนกูได้แล้ว”
ตึก ตึก ตึก!!!
หัวใจนุ่มนิ่มคนนี้เต้นแรงมาก ไอ้พี่เคลิ้มมาพูดอะไรแบบนี้เนี่ย ตอนแรกฉันคิดว่ามันจะด่าฉันซะอีก
ไอ้ที่หัวใจฉันเต้นแรงแบบนี้มันเพราะอะไรกัน
หรือว่า…
“ทำไมหน้ามึงแดงอ้วน วันนี้ตากแดดเหรอ” พอรถจอดติดไฟแดง ไอ้พี่เคลิ้มก็กดเปิดไฟหาอะไรสักอย่างที่อยู่ในช่อง จากนั้นก็หันมามองหน้าฉัน
“อือ อื้อ” ฉันส่งเสียงออกไปแล้วเอามือมาจับที่แก้มทั้งสองข้าง
เป็นบ้าอะไรทำไมมันแดง วันนี้แทบไม่ได้โดนแดดเลย
“หรือว่าเบาหวานความดันจะขึ้นรึเปล่าวะ” ไอ้พี่เคลิ้มพูดพร้อมกับยื่นมือมาแตะที่หน้าผากฉัน
“ไอ้พี่บ้า!” ฉันปัดออกทันที ไอ้บ้านี่มาหาว่าฉันความดันขึ้น แล้วความดันขึ้นอะไรมาแตะหน้าผาก
ถึงฉันจะอ้วน แต่ฉันยังไม่มีโรคแทรกซ้อนเถอะ
เอ๊ะ!!! หรือว่ามี?
“เอ้า ด่ากูทำไมเนี่ย กูอุตส่าห์เป็นห่วง”
“เป็นห่วงก็ไม่ต้องมาวินิจฉัยล่วงหน้าก็ได้ไหม นิ่มไม่ได้อ้วนขนาดนั้น ชิ”
“เอ้า กูจะรู้เหรอ เผื่อว่าความดันขึ้นกูจะได้พาไปหาหมอไง”
“เลิกพูดเลยพี่เคลิ้ม ไฟเขียวแล้ว”
“สรุปกินไหมโตเกียว” ไอ้พี่เคลิ้มออกรถและหันมาถามฉัน
“ไม่เอา ดึกแล้วเดี๋ยวอ้วน”
“แดกโตเกียวเพิ่มไปอีกนิดหุ่นมึงก็คงไม่เกินกว่านี้หรอก”
“พูดมาก ๆ เดี๋ยวนิ่มจะลดความอ้วนละ น่ารำคาญเรียกอยู่ได้ อ้วน ๆ”
“อย่าเลย”
“ทำไม กลัวนิ่มสวยแล้วมีคนมาจีบนิ่มเหรอ” ฉันหันมองหน้าพี่เคลิ้ม
“เปล่า กูแค่กลัวร้านที่มึงไปเป็นลูกค้าประจำจะเจ๊งถ้าขาดมึง” ดูปากมันสิ ดูคำที่เพื่อนพี่ชายของฉันพ่นออกมา
“ไอ้พี่เคลิ้ม…” ฉันขมวดคิ้วใส่เขาอีกครั้ง
“ไม่ต้องลดหรอก แบบนี้ก็น่ารักดี”
ตึก ตึก ตึก!!!!!
นั่นไง… ไอ้พี่เคลิ้มทำหัวใจดวงน้อย ๆ ของนุ่มนิ่มเต้นผิดจังหวะอีกแล้ว
“สรุปกินอะไร กูหิวข้าว”
“ข้าวหมูแดงปากซอยบ้านนิ่มก็ได้ เจ้านี้อร่อย นิ่มเก็บสะสมแต้ม กินครบ 10 จาน ได้กินฟรี 1 จาน วันนี้ถ้านิ่มไปกินก็จะเป็นจานที่ 10 งั้นจานฟรีนิ่มยกให้พี่เคลิ้มตอบแทนที่มาส่งนิ่ม”
“กูรวย ไม่ต้องแดกของแถม” ไอ้พี่เคลิ้มพูดขึ้นมา
“รู้ว่ารวย แต่ของแถมแล้วทำไมล่ะ มันเป็นสิทธิ์ที่เราได้ ทำไมต้อง…”
“หยุด ๆ กูแค่จะบอกว่ากูเลี้ยงมึงได้ แค่นั้นเอง” ไอ้พี่เคลิ้มยื่นมือมาปิดปากฉัน
ตึก ตึก ตึก ตึก!!!!
เอาอีกแล้ว ประโยคที่ว่า ‘กูเลี้ยงมึงได้’ ทำให้ฉันใจเต้นแรงอีกแล้ว
ฉันว่าร่างกายของฉันกำลังผิดปกติ!
ไม่ได้การละ!!!
“พี่เคลิ้ม!” ฉันเรียกพี่เคลิ้มอย่างดังเมื่อดึงมือพี่เขาออกจากปากตัวเองแล้ว
“อะไร”
“พานิ่มไปโรงพยาบาลที นิ่มรู้สึก…”
“รู้สึกอะไร บอกกูมา มึงเจ็บปวดตรงไหน”
“หัวใจนิ่มมันเต้นผิดปกติ นิ่มกลัวเป็นโรคหัวใจ”
“ตอนนี้ก็เต้นผิดปกติเหรอ” พี่เคลิ้มหันมามองหน้าฉัน ก่อนที่เขาจะตบไฟเลี้ยวเข้าจอดข้างทาง
“ไม่ตอนนี้มันปกติแล้ว มันเป็นแค่เวลา…”
“ไม่ปกติหรอก มึงอ้วนบางทีอาจจะเป็นโรคหัวใจก็ได้ โทษนะ” พี่เคลิ้มพูดแทรกและยื่นมือมาแตะที่หน้าอกข้างซ้ายของฉัน
งื้อออออ… ฉันรู้สึกตื่นเต้นแปลก ๆ ฉันนั่งนิ่งแล้วเหล่ตามองใบหน้าของพี่เคลิ้ม ที่ดูเหมือนตอนนี้จะตั้งใจฟังเสียงหัวใจของฉันเป็นอย่างมาก
ใบหน้าของพี่เคลิ้มหล่อเหลาก็จริง แต่มันมีรอยแผลเป็นเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ใบหน้า ถ้ามองใกล้ ๆ จะเห็นได้ชัดเจน
ตึก ตึก ตึก…
ยิ่งมองใบหน้าของพี่เขา ฉันก็รู้สึกว่าหัวใจของฉันมันเต้นแรงขึ้นทุกที หรือบางทีฉันอาจจะเป็นโรคประหลาดเวลาอยู่ใกล้พี่เคลิ้ม
ถ้าเป็นแบบนั้นฉันควรอยู่ห่าง ๆ เขา เพื่อปกป้องหัวใจตัวเอง
พี่เขาหันหน้ามามองฉัน จากนั้นก็ขยับยื่นหน้ามาใกล้ ๆ ฉัน
ริมฝีปากของเราใกล้กันมาก
ฉันว่าบางทีไอ้ที่ฉันเป็นอยู่อาจจะไม่ใช่โรคประหลาดล่ะ
ฉันหลับตาลงหลังจากที่กะพริบทำหน้าอึ้ง ๆ อยู่นาน
นี่เป็นเหมือนหนึ่งบทในนิยายรัก ที่พระเอกโน้มหน้าเข้ามาใกล้นางเอก แล้วจากนั้นก็…
“มโนเหี้ยอะไรของมึงอ้วน”
“โอ๊ย! พี่ดึงปากนิ่มทำไมเนี่ย” ฉันลืมตาขึ้นมาโวยวายแล้วก็จับที่กลีบปากล่างของตัวเองที่ไอ้พี่เคลิ้มดึงเมื่อกี้
“ไม่ต้องไปหาหรอกหมอ” พี่เคลิ้มขยับตัวกลับไปนั่งที่ตัวเอง
“ทำไม”
“ก็มึงไม่ได้เป็นโรคหัวใจไง ไอ้ที่ใจมึงเต้นแรงเนี่ย เพราะอยู่ใกล้คนหล่อ ๆ แบบกู”
“หลงตัวเอง นิ่มบอกแล้วไงว่ายังไงนิ่มก็ไม่มีทางเป็นเมียพี่แน่นอน”
“กูก็ไม่ได้จะเอามึงทำเมีย แล้วเลิกมโนว่ากูจะจูบแบบเมื่อกี้ด้วย”
“พะ พี่รู้ได้ไง” ฉันเริ่มหายใจถี่ขึ้น ไอ้พี่บ้ามันรู้ได้ยังไง เรื่องที่ฉันมโนว่ามันจะจูบฉัน
“ก็มึงเล่นยื่นปากมารอกูจูบขนาดนั้น ไม่รู้ก็ควายแล้วไหมอ้วน”
“ไม่จริง! พี่ตาฝาด พี่ใส่ร้ายนิ่ม ใครจะไปอยากจูบพี่ นิ่มไม่อยากจูบปากผู้ชายที่จูบผู้หญิงไปเรื่อยหรอก ชิ จูบแรกของนิ่มต้องละมุนละไม พาให้หัวใจสั่นไหว”
“กูไม่เคยจูบปากใคร จับแทงน้ำแตกก็แยกทาง”
“…”
“กูไม่เคยมีแฟน แต่มีคนที่รัก แต่ตอนนี้เขาไปอยู่กับคนที่คู่ควรกับเขาแล้ว” มาถึงตรงนี้เสียงพี่เคลิ้มดูเศร้าลง
“คิดอะไรมากพี่ ถ้ารักกันจริง แค่เห็นเขามีความสุขก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ คนไม่ใช่คู่กัน ฝืนไปก็ไม่รอด” ฉันก็แค่อยากปลอบเพราะเหมือนพี่เขาจะเสียใจ
เดี๋ยวฉันคงต้องไปตามสืบกับพี่ชายแล้วล่ะว่าฟีนที่ว่าคือใคร
“พูดเหมือนปลอบกู มึงไม่ต้องมาปลอบกูเลย กูไม่ได้เศร้า แล้วกูก็มีผู้หญิงมาเรียงให้เด้าเพียง กูรวย ซื้อแดกได้สบาย”
“สาบานเลยว่านิ่มจะไม่เอาพี่เคลิ้มเป็นผัว ถ้านิ่มเอาพี่เป็นผัว แสดงว่าวันนั้นนิ่มเมายากันยุงขั้นหนัก” ฉันชูนิ้วขึ้นสามนิ้ว ตั้งมั่นปฏิญาณกับตัวเอง และต่อหน้าท้องถนน
“ที่พูดอยู่น่ะ ถามกูยังว่ากูจะเอามึงไหม มโนไม่เลิกเลยนะมึง บอกไว้เลย คนอย่างกูไม่แดกน้องของเพื่อนครับ”
“...”