บทที่ 4 เยื่อใย

1945 Words
มินตรายังไม่พร้อมบอกใครกับข่าวใหม่ที่ได้รู้ ความประมาทของเธอและเขากำลังนำความเจ็บปวดให้กับลูกที่ไม่รู้เรื่องอะไร ในยามนี้ทำได้เพียงเตรียมใจรับมือ “เอ่อ มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับมิน” “ไม่ค่ะ...ก็แค่งงนิดหน่อยที่คุณหมอบอกไม่เป็นอะไร” เธอไม่ได้ตั้งใจปิดเขาถึงอดีตที่เธอเคยมี ทว่าไม่มั่นใจได้เลยว่าลูกของเธอจะมีชีวิตอยู่ต่อได้หรือเปล่า ดูจากความทรมานของกรุงโรมแล้ว หากว่าบุตรคนที่สองเป็นโรคร้ายอีก เธอก็คงต้องตัดสินใจปล่อยเขาไป ไม่มีใครบนโลกใบนี้อยากเกิดมาพร้อมกับโรคร้ายแรงหรอก ทว่าครั้งก่อนเป็นเพราะความเห็นแก่ตัวของเธอเองที่อยากเก็บเขาเอาไว้ “มินดูเหม่อ ๆ นะครับ หิวหรือยัง” “ค่ะ...” เธอตอบรับโดยไม่ได้คิด ช่วงนี้เธอกินเยอะมากจนตกใจตัวเองเช่นกัน แต่พอรู้สาเหตุการกินจุนี้ก็ทำให้อดที่จะยิ้มตามไม่ได้ ยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ที่ลูกจะเป็นโรค ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่ลูกจะเป็นเพียงพาหะเหมือนเธอกับเขาคนนั้น ขณะเดียวกันก็มียี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ที่ลูกจะไม่เป็นอะไรเลย รออีกสักนิดเธอจะเข้ากรุงเทพฯเพื่อเข้าพบแพทย์เฉพาะทางโรคเลือด “วันนี้คุณไม่ทำงานเหรอคะ” “ก็...สั่งงานไว้แล้วล่ะครับ” มินตราขมวดคิ้ว เธอไม่พอใจสักเท่าไร คนที่ทำงานเป็นข้าราชการไม่ควรเอาเวลามาจีบสาวเช่นนี้หากว่ายังกินเงินเดือนจากภาษีประชาชน แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไร “อยากกินอะไรครับ” “อืม ก๋วยเตี๋ยวธรรมดาก็ได้ค่ะ” ได้ยินอย่างนั้นไตรภพก็หมุนพวงมาลัยรถคันหรูเข้าไปยังร้านอาหารร้านหนึ่ง เขาทำหน้าที่เปิดประตูรถให้เธอเป็นอย่างดี มินตรามองเห็นความดูแลเอาใจใส่ของเขา ขณะเดียวกันก็รู้สึกผิดกับเรื่องที่คิดจะปิดบัง ครั้นสั่งอาหารแล้วเสร็จ ใบหน้ายิ้มแย้มของเขาก็ทำให้เธอรู้สึกผิดไปกันใหญ่ อดไม่ได้ที่จะบอกความจริงกับเขาไป “เอ่อ...อันที่จริง ฉันท้องค่ะ” “ห้ะ...” ไตรภพแทบสำลักน้ำ เขาวางแก้วน้ำเปล่าลงที่โต๊ะอาหารดังเดิม ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเต็มไปด้วยคำถาม “คือ ฉันท้องมาสี่เดือนแล้ว” มินตราว่าเสียงแผ่วเบา อาจจะเป็นเพราะเป็นคนตัวเล็กทำให้พอใส่ชุดตัวใหญ่แล้วไม่ได้ทำให้เธอต่างไปจากเดิมมากนัก เลยไม่มีใครทันสังเกตว่าเธออ้วนขึ้นมาก “จริงเหรอครับ” “ค่ะ กับพ่อกรุงโรม” ไตรภพอ้าปากค้าง เธอมีลูกหนึ่งเขาพอรับได้ แต่พอได้ยินว่าจะมีลูกอีกแถมไม่ใช่ลูกของเขาความรู้สึกบางอย่างก็ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจ “ขอบคุณนะคะที่ดีกับฉันตลอด แต่...” “เดี๋ยวนะครับ คุณบอกว่ากรุงโรมป่วยเป็นธาลัสซีเมีย แล้วลูกคนนี้...” “ค่ะ มีโอกาสเป็นโรค” มินตราก้มหน้าลง เธอไม่อยากให้เป็นอย่างที่คิด แต่โชคชะตาก็ไม่อาจคาดเดาได้ ทว่า “งั้นก็รอตรวจก่อนคลอดใช่ไหมครับ” น้ำเสียงของไตรภพเปลี่ยนไป เขามีลางสังหรณ์ว่าลูกของเธอจะป่วยอีก และเธอจะไม่เก็บเด็กเอาไว้ “ค่ะ ฉันจะไปตรวจที่กรุงเทพฯ” “ให้ผมพาไปนะครับ” “ไม่เป็นไรค่ะ คุณทำงานดีกว่านะคะ ปลัดอำเภอไม่น่าจะว่าง” มินตราฉีกยิ้มหวาน ทำเอาไตรภพไม่รู้ตัวว่าเธอกำลังถากถางอยู่ ชายหนุ่มว่างเสมอกับเธอแม้ว่างานจะเยอะพอควร ซึ่งมันไม่ดีสักเท่าไร “อย่างนั้นก็ได้ครับ แต่ว่า...” “ไม่ต้องห่วงเลยค่ะ ฉันมีเพื่อนอยู่ที่นั่น” ไตรภพพยักหน้ารับ ภาวนาให้สิ่งที่คิดเป็นจริง มินตราสาวสวยตรงหน้ามีเสน่ห์น่ามอง พบเห็นครั้งแรกก็ยากจะลืมเลือน “โอ๊ะ ก๋วยเตี๋ยวมาแล้ว” หญิงสาวตาลุกวาว สงสัยตัวเล็กในท้องกำลังประท้วง น้องของกรุงโรมกินจุกว่าคนเป็นพี่เสียอีก ความรู้สึกดีใจและสายใยความเป็นแม่ทำให้เธออดที่จะดีใจไม่ได้... ทั้งวันกับการเดินดูงาน ก่อนจะเริ่มทำงานจริง ๆ จัง ๆ ในวันพรุ่งนี้ ทว่าวันนี้ที่เห็นโรสริน ความรู้สึกสนุกกับงานที่มีก็ลดน้อยลง แต่อย่าหวังเลยว่าเธอจะเป็นเหมือนกับนางเอกในละครหลังข่าว โดนกลั่นแกล้งจากที่ทำงานอย่างนั้นหรือ ไม่มีทางเกิดขึ้นกับเธอเป็นอันขาด คอนโดมิเนี่ยมในเครือบริษัทที่เธอทำงานอยู่เป็นที่พักของเธอ มิล่าก้าวขาที่เหนื่อยอ่อนนี้เข้าไปในตัวลิฟต์สุดหรู ในหัวคิดแต่ว่าวันนี้เธอไม่เห็นเขาเลย หลังจากตอนเช้าเธอก็ไม่เห็นเขาแม้ว่าเขาจะมาเป็นบอสให้กับแผนกนี้ เห็นเพื่อนพนักงานกระซิบกระซาบกันว่าเขาเข้าประชุมเรื่องงานและโปรเจกต์งานต่อไปของแผนกเรา ได้ข่าวว่าทางบริษัทกำลังคิดจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ดูเหมือนว่าพรุ่งนี้งานจะยุ่งพอควร ติ๊ง! เสียงแจ้งเตือนลิฟต์เรียกให้เธอหลุดจากภวังค์ ก่อนที่จะชะงักไปกับสิ่งที่เห็นตรงหน้าทันทีที่ประตูลิฟต์เปิด “เสร็จแล้วเหรอ” ห้องฝั่งตรงข้ามของเธอรีโนเวทใหม่ แต่วันนี้ไม่เห็นจะมีช่างขึ้นมาทำงาน หรือว่าจะทำเสร็จแล้ว และดูเหมือนว่าเจ้าของห้องจะมาเข้ามาพักแล้วด้วย มิล่าเดินไปเปิดห้องพักของตน มารดาของเธอบอกให้ซื้อของมาให้เพื่อนบ้าน หากมีเหตุฉุกเฉินจะได้ช่วยกันได้ ซึ่งเค้กฝอยทองคงเป็นของฝากที่ดี หญิงสาววางกระเป๋าก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อเอาเค้กฝอยทองไปฝากเพื่อนบ้านอย่างที่คิด แต่พอเปิดประตูออกมาเธอก็ต้องชะงักให้กับเจ้าของห้องที่เปิดประตูออกมาพอดิบพอดี “เคเรนด์!” ตุบ! กล่องเค้กในมือร่วงลงพื้น มิล่าตกใจตาโตให้กับใบหน้าของคนคุ้นเคย เขาอีกแล้ว… “หวัดดี” ชายหนุ่มโบกมือหย็อย ๆ ให้กับเธอ ทว่าดวงตาที่เบิกกว้างของเธอก็ทำให้เขานึกขัน “ฉันเพิ่งรู้ว่าเธอพักที่นี่” “หึ อย่าโกหกกันเลยเคเรนด์” “ไม่เนียนเหรอ แย่จัง...” เคเรนด์ยกมือสัมผัสท้ายทอย ก่อนที่เขาจะแค่นหัวเราะและช้อนสายตาขึ้นมองเธอ “กินอะไรหรือยัง” “ไม่ ไม่หิว ถ้าหิวก็จะไม่กินกับนาย” มิล่ายกแขนขึ้นกอดอก เขาตามเธอไปทุกที่ แต่ก่อนหน้านี้กลับหายหัวไป “เหรอ กินสเต็กไหม ฉันทำเผื่อไม่ต้องกินกับฉันก็ได้ เธอไปกินที่ห้องของเธอได้เลย” “ไม่ ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน นายตามฉันแบบนี้ นายกำลังคิดอะไรอยู่” “ฉัน...มาง้อเธอไง” “ง้อ? เหอะ มันสายไปแล้วล่ะ” “ขอโทษ ฉันมีเรื่องที่ต้องทำก็เลย...” แกร็ก! ไม่ทันที่ชายหนุ่มจะพูดจบ บานประตูห้องของเธอก็กระแทกปิดลง เคเรนด์ถอนหายใจออกมา เขาเดินเข้าไปเก็บเค้กฝอยทองบนพื้นขึ้นมาถือไว้ ดูแล้วเหมือนว่าเธอจะซื้อมาฝากเขา ชายหนุ่มยกยิ้มมุมปาก อีกไม่นานเธอคงใจอ่อนให้กับเขา แต่ระหว่างนี้เขาจะพยายามให้มากกว่านี้ พยามให้มากจนเธอสัมผัสถึงมันได้... งานเลี้ยงต้อนรับคาริสาในค่ำคืนนี้จัดขึ้นที่คฤหาสน์ของเธอ แสงไฟส่องประกายระยิบระยับและเสียงดนตรีคลาสิคดังอย่างเนือง ๆ ในงานรื่นรมย์นี้ คาลเวิร์ตปรากฎตัวในงานเมื่องานเลี้ยงใกล้จะเลิกรา เขาเพียงแค่มีบางอย่างที่อยากพิสูจน์กับเธอคนนั้น คาริสาในชุดเดรสกระโปรงสีขาว ทางด้านหน้าแหวกลงมาจนเห็นเนินอกอวบ อวดความเซ็กซี่เหมือนเคย เธอสวยสะกดสายตาใครต่อใครเหมือนกับในอดีต แต่มีบางอย่างที่เปลี่ยนไป ความรู้สึกยามมองเธอมันไม่เหมือนเดิม คาลเวิร์ตรู้สึกเฉย ๆ กับความสวยงามตรงหน้า เธอค่อย ๆ ย่างกรายเข้ามาใกล้เขาที่ยืนอยู่ซุ้มหน้าประตู โดยมีลูกน้องคนสนิทเฝ้ามองอยู่ ใจแกร่งนิ่งเฉย ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นหรือสั่นไหวใด ๆ มันไม่สั่นเท่ากับตอนที่ได้ยินเสียงของมินตราผ่านโทรศัพท์เสียด้วยซ้ำ ว่างเปล่าดั่งสายน้ำในทะเลสาบในฤดูหนาว ราวกับไม่มีสายลมพัดผ่าน นิ่งสงบและเยือกเย็น เพียงแค่นี้ก็ยืนยันได้แล้วว่าเขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอคนนี้อีกต่อไป “เต้นรำกันไหมคะ...” คาริสาเอ่ยถามเสียงสั่น แม้คำนี้จะไม่ใช่หน้าที่ของเธอที่จะพูด ทว่าก็คงมีโอกาสเดียวที่จะกลับมาสัมพันธ์เดิม ใจดวงน้อยเต้นตึกตักกับความเงียบของเขา ทว่าฝ่ามือหนากลับยื่นมาสัมผัสเอวของเธอ นัยน์ตาสีน้ำตาลนิ่งเรียบ หญิงสาวไม่อาจคาดการณ์ผ่านแววตาของเขาได้ แต่เห็นเขายอมเต้นรำกับเธอมันก็เป็นสัญญาณที่ดี จากที่กลัวมานานแต่พอวันนั้น วันที่เขาไว้ชีวิตเธอ...มันก็ตอบได้แล้วว่าเขายังรักเธออยู่ ต่างจากความคิดของอีกฝ่าย คาริสาไม่ได้มีผลต่อหัวใจของเขาแล้ว ยามมองเธอเหมือนกับมองผู้หญิงทั่วไป ไร้ความรู้สึกโหยหาและความรู้สึกคิดถึง มันแทบไม่เหลืออะไรอยู่ในนั้น พรึ่บ! “อ๊ะ! มีอะไรหรือเปล่าคะ” “ไม่มีอะไร” เขาทิ้งมือลงพร้อมกับหยุดจังหวะเต้นรำไว้เพียงแค่นั้น “เธอกล้ามากที่เดินเข้ามาหาฉัน…” “คะ?” “ฉันไม่ฆ่าเธอทิ้งไม่ได้แปลว่าฉันจะใจดีกับเธอ เธอควรละอายใจที่หักหลังฉัน” ถ้อยคำของเขาเรียกน้ำตาของเธอ คาริสารู้สึกเสียใจกับคำพูดของเขา “แต่ ฮึก…ตอนนั้นเราแค่เหงา แล้วก็...ขอโทษ เราไม่ได้ตั้งใจ ฮึก ให้โอกาสเราได้มั้ย เราจะ อึก...ไม่ทำมันอีก” “_” “นะคาลเวิร์ต เรา...ไม่เคยลืมเลยว่าเรารักกันมากแค่ไหน” “_” “เรารับได้หมดนะที่ อึก...คาลเวิร์ตจะมีลูกแล้ว เราจะเป็นแม่ที่ดี อึก นะ ขอเราได้พิสูจน์ ฮืออ~” คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน เขาไม่พอใจที่เธอพูดแบบนี้ออกมา “หึ เขามีแม่คนเดียว และจะไม่มีใครแทนเธอได้” เหมือนกับยกภูเขาออกจากอก ความรู้สึกที่คั่งค้างภายในใจตอนนี้ได้หมดไป มาเฟียหนุ่มยกยิ้มก่อนที่เขาจะหมุนตัวจากไป แผ่นหลังหนาของเขา คาริสามองด้วยสายตาพร่าเลือน เธอนึกว่าเขาจะให้อภัยเธอแล้ว แต่หลังจากที่เขาพูดเมื่อครู่เหมือนว่าเขาจะรักผู้หญิงคนนั้นเสียแล้ว แต่เรื่องอะไรเธอจะยอมกันเล่า มันไม่ใช่เธอเลยสักนิด ขณะเดียวกันที่การเดินออกจากงานของคาลเวิร์ตทำให้มาร์โคสงสัย เพราะนายของเขาเพิ่งมาถึงงาน แต่แล้ว “พรุ่งนี้...ฉันจะไปกรุงเทพฯ” “อะไรนะครับ” มาร์โคไม่เชื่อหู เขาตกใจที่อยู่ ๆ คนเป็นนายก็พูดออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ฝ่าเท้าหนาชะงักด้วยความไม่เข้าใจที่นายของเขาบอกว่าจะไปประเทศไทยเช่นนี้ ทว่า “ไปรับมินตรากลับ...”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD