ฮอตมิสเป็นเมืองที่มีอากาศร้อน อาจจะเป็นเพราะที่นี่ติดทะเล ก็เลยทำให้มีเพียงฤดูร้อนมากกว่าทุกฤดู
วันนี้เป็นเช้าที่แสนสดใสมีกลิ่นอายของแสงแดดและงานที่กองอยู่เต็มโต๊ะ
อาเบลถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนโซฟา ถึงจะผ่านมาเป็นสัปดาห์แล้วแต่บางอย่างยังคงชัดเจนในความทรงจำ
มือคู่นั้นของเธอ แววตาที่จ้องมองมาที่เขา ลมหายใจที่อุ่นร้อนและกลิ่นกายที่หอมเย้ายวนจนยากต่อการหักห้ามใจ หญิงหม้ายผู้นั้นรู้จักจุดอ่อนของบุรุษได้ดีทีเดียว เธอสามารถตรึงความสนใจของเขาเอาไว้ที่เธอได้อย่างน่าประหลาด
เพียงแค่คิดถึงเรื่องราวที่วาบหวามในวันนั้นความเป็นชายของเขาก็พลันตื่นขึ้นมาอย่างง่ายดาย แล้วคิวเข้าพบนางทำไมจะยาวนานจนต้องรอเป็นเดือนขนาดนั้นด้วยวะ
.........
"เดินทางปลอดภัยนะคะมาดาม"
จูเลียส่งยิ้มให้โรสก่อนที่เธอจะเดินขึ้นรถม้า อันที่จริงเธอไม่ได้มีจุดมุ่งหมายในใจเลยว่าจะไปที่ไหน เธอเพียงคิดว่าอยากจะพาตัวเองเดินทางไปเรื่อยๆ ให้วิวทิวทัศน์ข้างทางช่วยเยียวยาความเหนื่อยล้าจากการทำงานนี้
"ที่นอรีสมีงานเทสกาลนะครับ หากมาดามคิดไม่ออกว่าจะที่ไหน ลองไปเที่ยวที่นี่ดูไหมครับ"
"...ก็ดีเหมือนกัน นอรีสอยู่ไม่ไกลจะเดินทางไปกลับก็สะดวก ไปที่นี่แหละกิล"
เธอลางานได้เพียงสามวันเท่านั้น แต่เป็นสามวันที่โรสแทบกระอักเลือดเลยล่ะ เพราะนางจะต้องเลื่อนคิวลูกค้าออกไป แต่ถึงอย่างนั้น เด็กนั่นก็ทำงานให้เธอได้ดีเสมอ
เราเดินทางไม่นานก็ถึงเมืองนอรีส จูเลียสั่งให้คนขับรถม้าไปหาที่พักสำหรับตัวเขาเลย อีกสองวันค่อยมาเจอกันที่นี่ จุเลียอยากได้ความสงบและเป็นส่วนตัวเธอจึงไม่อยากให้ใครมาคอยติดตาม
งานเทสกาลที่นอรีสจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่เพราะปีนี้ครอบรอบหนึ่งร้อยปีที่องค์จักรพรรดิพระราชทานจอกศักดิ์สิทธิ์มาให้เมืองนี้ มีร้านค้ามากมายเต็มสองข้างทาง มีโรงละครมาจัดแสดงและมีการเต้นรำที่ริมถนน บรรยากาศดูครึกครื้นและเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
"เลดี้จะพักกี่วันคะ"
"สองวันค่ะ ข้าขอพักห้องชั้นบนสุดนะคะ"
เพราะห้องชั้นบนสุดมีราคาแพงทำให้คนพักน้อยและมีเพียงสามห้องเท่านั้น ทำให้ไม่มีเสียงรบกวน อีกทั้งด้านบนยังสามารถมองเห็นดอกไม้ไฟได้อย่างชัดเจน
จูเลียนั่งเล่นที่ริมระเบียง เวลาผ่านไปรวดเร็วจนเข้าสู่ช่วงเย็นแสงแดดอ่อนๆและกลิ่นดอกกุหลาบแสนหอมหวาน ที่สวนด้านหลังโรงแรมมีทุ่งดอกกุหลาบขนาดใหญ่ที่แสนงดงาม
การนั่งชมทุ่งดอกไม้และจิบไวน์สักแก้วนั่นคือการพักผ่อนที่ดีที่สุดเลยก็ว่าได้
"จูเลี่ยน?"
จูเลียถอนหายใจ เธอปรายตามองไปตามเสียงก็พบกับใบหน้าที่ตกใจจนแทบสิ้นสติของบุรุษผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ตรงระเบียงห้องข้างๆ
"....ว่าไงดัชติน?"
"ข้าตามหาเจ้าจนแทบพลิกแผ่นดิน"
"เหอะ ข้าคิดว่าระหว่างเราไม่มีอะไรให้ต้องเจอหน้ากันแล้ว ขอร้องล่ะครั้งหน้าที่เจอกันอย่าเรียกชื่อนั้นอีก ช่วยเดินผ่านไปแล้วทำเป็นไม่รู้จักกันซะยังจะดีกว่า"
เขาปีนข้ามระเบียงเพื่อมาหาเธอ ดัชตินนั่งลงคุกเข่าราวกับว่าเขากำลังขอโทษ
"ทุกอย่าง คือความผิดของข้า"
จูเลียยกแก้วไวน์ขึ้นมาดื่มโดยไม่สนใจดัชตินที่กำลังคุกเข่าอยู่เลย
"ออกไปซะ"
สิ่งเดียวที่ไม่อาจย้อนได้นั่นคือเวลา และสิ่งที่ไม่อาจเรียกคืนกลับมาได้คือความรู้สึก จูเลียยังอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมพอเจอหน้าดัชตินแล้ว เธอรู้สึกว่างเปล่ากว่าที่คิด นั่นอาจจะเป็นเพราะเวลามันทำหน้าที่เยียวยาจิตใจของเธอได้ดีเยี่ยมเลยทีเดียว
ถึงยังไงก็ต้องขอขอบคุณเขานะที่ทำให้เธอล่วงรู้ถึงความจริง ว่าความรัก...มันไม่มีอยู่จริง
"แต่งงานงั้นหรือคะท่านแม่ แต่ว่าลูกยังไม่เคยเจอดัชตินเลยนะคะ"
"นั่นหาใช่เรื่องที่เจ้าต้องเป็นกังวลจูเลี่ยน เจ้าสนิทกับท่านดยุคนี่ ดัชตินเป็นน้องชายของดยุคเดม่อน แม่เชื่อเหลือเกินว่าเจ้าต้องอยู่ที่ตระกลูดาร์เรนอย่างมีความสุข"
จูเลี่ยนในวัยสิบเจ็ดคือสตรีที่งดงามราวกับประติมากรรมที่สรรค์สร้างขึ้นโดยพระเจ้า เธองดงาม ดีพร้อมทั้งฐานะทางสังคม กิริยามารยาทและฐานะทางบ้าน
"หากนั่นคือความต้องการของท่านแม่..."
หญิงชรายกมือขึ้นมาลูบเส้นผมสีทองของจูเลี่ยนเบาๆ
"จูเลี่ยนของแม่นั้นเป็นเด็กดีเสมอ"
เธอคือลูกสาวคนสุดท้องที่เป็นลูกสาวสุดที่รักของท่านพอ พี่ชายคนโตที่ทำตัวเสเพลและใช้เงินไปกับสตรีเป็นจำนวนมาก ทำให้ท่านพ่อยึดคืนตำแหน่งผู้นำตระกลูมาจากท่านพี่
ส่วนพี่คนรองเป็นคนที่ติดการพนันอย่างหนักอีกทั้งยังเป็นคนที่รักชอบในบุรุษเพศด้วยกัน นั่นทำให้ท่านพ่อคิดจะยกตำแหน่งผู้นำตระกลูให้เธอ
แต่ตอนนี้ท่านพ่อกำลังเดินทางไปออกรบ ท่านแม่กลับมายื่นข้อเสนอกึ่งบังคับให้เธอแต่งงานกับดัชตินที่มีข่าวลือเรื่องผู้หญิงไม่เว้นแต่ละวัน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าทำไมเธอถึงจะต้องแต่งงาน
เพราะตำแหน่งผู้นำตระกลูจะได้เป็นของพี่ใหญ่ลูกชายสุดที่รักของท่านแม่ยังไงล่ะ
ความอึดอัดและน้อยเนื้อต่ำใจมันอัดแน่นอยู่ในใจ แต่ทว่าเธอยังเด็กก็เลยไม่มีความกล้ามากพอที่จะขัดคำสั่งของท่านแม่ จูเลี่ยนที่แสนงดงามและดีพร้อม จำยอมต้องแต่งงานกับบุรุษที่เป็นเศษสวะแห่งยุค
ดาร์เรน ดัชติน
"เจ้าน่าจะปฏิเสธ"
"เจ้าก็รู้ว่าข้าทำเช่นนั้นไม่ได้ ข้าไม่กล้าพอที่จะขัดคำสั่งท่านแม่"
เดม่อนถอนหายใจ
"เอาเถอะอย่างน้อยเจ้าก็แต่งงานเข้าตระกลูข้า หมอนั่นไม่กล้าทำร้ายเจ้าหรอก"
มันควรจะเป็นเช่นนั้น เธอควรจะอยู่ที่ดาร์เรนอย่างมีความสุขเพราะเดม่อนเขาเป็นผู้นำตระกลูและเป็นเพื่อนสนิทของเธอ แต่ในวันแต่งงานดัชตินก็ยื่นหนังสือขอไปประจำการอยู่ชายแดน
เธอต้องเก็บเสื้อผ้าเพื่อตามเขาไปอยู่ชายแดนทั้งน้ำตา นี่คือความคับแค้นใจต่อครอบครัวของเธอเป็นครั้งที่สองเพราะพี่ใหญ่เป็นคนเป่าหูดัชติน
เขาบอกว่าเธอกับเดม่อนนั้นรักกัน
พอดัชตินได้ฟังเช่นนั้นเขาก็เลยพาเธอหนีจากเดม่อน ไปอยู่ชายแดนที่แสนลำบากและหนาวเหน็บ