เดี๋ยวดี...เดี๋ยวร้าย

2388 Words
“วันดี... วันดี... กลับบ้านเราเถอะลูก” เสียงแว่วอยู่ข้างหู ดังวนซ้ำ ๆ จนหญิงสาวต้องลืมตาตื่นขึ้น ภาพของทุ่งนาเวิ้งว้างว่างเปล่า ท่ามกลางแสงแดดจ้าทำให้เธอตกใจเล็กน้อย “เช้าแล้วเหรอ โห... ฟ้าสว่างขนาดนี้ ตื่นไม่ทันพี่สายหยุดแล้วแน่เลย” เมื่อคิดได้อย่างนั้นเธอจึงรีบลุกขึ้น แต่กลับพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่กลางทุ่งนา ใต้แสงแดดจ้าร้อนระอุ “นี่มัน... อะไรกัน” ความสับสนมากมายถาโถมเข้ามาในความคิด ก็เมื่อคืนเธอฟังสายหยุดเล่าเรื่องตัวเองให้ฟังจนหลับไปมิใช่หรือ แล้วทำไมตอนนี้ถึงได้มานอนอยู่กลางทุ่งนาแบบนี้กันได้ ดวงตากลมกวาดมองไปรอบ ๆ กระทั่งพบรถคันหนึ่งแล่นเฉื่อยช้าอยู่บนถนน ไม่ไกลจากจุดที่เธอนั่งอยู่สักเท่าไร พะยอมรีบลุกยืนขึ้นแล้ววิ่งตรงเข้าไปหารถคันนั้น หวังจะขอความช่วยเหลือ แต่แล้วรถคันนั้นก็พุ่งลงข้างทางชนกับต้นไม้ไปเสียก่อน ภาพที่เธอเห็นตรงหน้าทำให้เธอนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ รถคันนั้นคือรถของเธอเอง และก่อนที่เรื่องประหลาดทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้น เธอได้ขับรถคันนั้นชนต้นไม้ “ใช่แล้วล่ะ ฉันชื่อวันดี ฉันไม่ใช่พะยอม ฉันขับรถชนต้นไม้จนสลบไป พอฟื้นขึ้นมาอีกทีก็ถอยรถแล้วขับต่อมาเรื่อย ๆ.... จนมาถึงตรงนี้” หญิงสาวหันไปมองดูต้นพะยอมสูงใหญ่ จุดที่เธอมองเห็นผู้หญิงรูปร่างคล้ายผี เธอจำไม่ผิดแน่ “ฉันลงมาจากรถ แล้วถูกลมบ้าหมูพัด... แล้วก็... จำอะไรไม่ได้อีกเลย หรือว่า... เป็นไปได้เหรอ ที่ฉันจะเข้ามาอยู่ในร่างของผู้หญิงที่ชื่อพะยอม เพราะแบบนี้ฉันก็เลยจำอะไรไม่ได้” เธอเริ่มลำดับเหตุการณ์ต่าง ๆ ทีละขั้น ทีละตอน ภาพอุบัติเหตุค่อย ๆ ชัดขึ้น “หรือว่า... เราตายแล้ว มาโผล่อีกโลก แล้วทำไมโลกหลังความตายมันต้องดูล้าหลังกว่าโลกปัจจุบัน...” “วันดี... ฮือ... กลับบ้านเรานะลูก” เสียงของใครบางคนดังขึ้น เรียกความสนใจของหญิงสาวไป เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมอง พบว่าเจ้าของเสียงนั้นคือคนที่เธอรักที่สุดในชีวิต “แม่....” “พะยอม พะยอมเอ๊ย” แต่อีกฟากก็เป็นสายหยุดที่ยืนร้องเรียกเธออยู่ ตัวเธอนั้นรู้ดีว่าในชีวิตของสายหยุด หญิงสาวที่ชื่อพะยอมนั้นมีค่ามากแค่ไหน แต่จะให้เธอทิ้งพ่อแม่ ทิ้งตัวเอง เพื่อคนที่เธอไม่รู้จักน่ะเหรอ... เธอไม่ใช่คนดีขนาดนั้นหรอก “ขอโทษนะพี่สายหยุด แต่ฉันไม่ใช่พะยอม” เธอว่าก่อนจะหันกลับไปหาแม่ของตัวเอง ฟู่ววว เพียงเธอก้าวเท้าออกมาเท่านั้น ลมบ้าหมูขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นขวางกั้นระหว่างเธอกับแม่เอาไว้ “ไอ้ลมบ้านี่อีกแล้ว” เธอร้องลั่น และพยายามที่จะวิ่งฝ่ามันไปหาแม่ของเธอ แต่ยิ่งก้าวเท้า ลมก็ยิ่งทวีความแรงขึ้นเป็นเท่าตัว จนเธอไม่สามารถลืมตาขึ้นได้ ไม่แม้แต่จะก้าวขาออกไปด้วยซ้ำ “พะยอม” เสียงร้องเรียกของสายหยุดยังคงดังต่อเนื่อง “พะยอม...” เฮือก “แม่!!” พะยอมลืมตาตื่นขึ้น พร้อมกับภาพของสายหยุดที่กำลังนั่งเขย่าตัวเธออยู่ “แม่อะไรของเอ็ง ไหนว่าจะตื่นมาช่วยข้าทำงาน จนข้าทำเสร็จแล้วเอ็งยังไม่ยอมตื่นเลย...” “ทำบ้าอะไรวะ!! รู้ตัวหรือเปล่าว่าทำอะไร ฉันเกือบจะได้หลุดออกไปจากโลกบ้า ๆ นี่อยู่แล้ว แต่ต้องมาติดแหง็กอยู่ที่นี่ก็เพราะเธอ!!” พะยอมตะโกนใส่หน้าสายหยุดด้วยความโมโห ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินหนีลงบ้านไป “อาการบ้ากำเริบหรือยังไงวะ” สายหยุดบ่นพึมพำ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก เพราะปกติแล้วน้องสาวของเธอก็เป็นแบบนี้อยู่เรื่อยดีได้ไม่กี่วัน ก็โมโหหงุดหงิด ช่วงไหนอากาศร้อน ๆ ถึงขั้นทำร้ายเธอเลยก็มี สายหยุดเก็บที่นอนเสร็จก็ลงไปอาบน้ำ เตรียมตัวเอาขนมไปขายตามปกติ โดยไม่ได้สนใจแล้วว่าพะยอมจะไปด้วยกันหรือไม่ เพราะถ้ามีอาการแบบนี้แล้ว ดูท่าจะไม่ไปด้วยกันแน่ ๆ ทางฝั่งของพะยอมหรือวันดีนั้น เธอลงมานั่งทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ ที่แคร่ไม้ใต้ต้นขี้เหล็ก สายตาว่างเปล่าทอดมองไปที่ขอบฟ้าสีทอง แสงรุ่งอรุณค่อย ๆ เคลื่อนพ้นขอบฟ้า ความสว่างสาดส่องให้ทุกอย่างค่อย ๆ ชัดขึ้น ‘ที่เห็นเมื่อก่อนหน้านี้ เป็นความฝันสินะ แล้วที่ฉันมาเป็นเด็กพะยอมนี่มันเรื่องจริงเหรอ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ฉันย้อนมาโลกอดีตอย่างนั้นเหรอ แล้วมันเป็นแบบนี้ได้ยังไง’ ภาพของพายุลมบ้าหมูผุดขึ้นมาในความคิด “หรือว่า... เพราะลมนั่น” ระหว่างที่พะยอมกำลังนั่งคิดนั่น คิดนี่อยู่นั้น สายหยุดก็แบกหาบเดินออกจากบ้านไป โดยที่ไม่ได้เรียกให้เธอไปด้วย พะยอมเพิ่งคิดได้ว่าก่อนที่เธอจะออกมานั่งตรงนี้ เธอดันไปโวยวายใส่สายหยุด ทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้ทำอะไรผิดเลยด้วยซ้ำ “โกรธหรือเปล่านะ” พะยอมที่คิดได้แบบนั้นก็รีบลุกไปอาบน้ำแต่งตัว แล้วตามสายหยุดไปที่ตลาด เมื่อพะยอมมาถึง ภาพของผู้คนที่มารุมล้อมร้านของพี่สาวเธอ จนเธอนั้นมองไม่เห็นแม้แต่เงาของสายหยุดด้วยซ้ำ ภาพนั้นก็ยิ่งทำให้พะยอมรีบสาวเท้าเข้าไปช่วยขายของ “ขอทางหน่อยจ้ะ” พะยอมแหวกวงฝูงชนเข้าไปนั่งข้างพี่สาว ทุกสายตาต่างจับจ้องมาที่เธอด้วยความประหลาดใจ พะยอมที่เคยมอมแมมผมเผ้ารุงรัง ไม่มีอีกแล้ว วันนี้เธออาบน้ำพรมน้ำอบมาหอมฟุ้ง ผัดหน้าด้วยแป้งของสายหยุด ผมยาวรุงรังถูกม้วนรวบเก็บอย่างงดงาม พร้อมกับปักด้วยดอกมะลิริมรั้ว ที่พะยอมเก็บมาจากต้นหน้าบ้าน “ขอโทษที่มาช้านะจ๊ะ ฉันมัวแต่แต่งตัว” พะยอมหันไปบอกกับลูกค้าของเธอ “ข้านึกว่าเอ็งจะไม่มาแล้ว” สายหยุดพูดทั้งที่มือยังคงวุ่นอยู่กับการหยิบขนมให้ลูกค้า “ก็พี่... ไม่เรียกฉันมาด้วย” “ใครจะไปรู้ คนไปเรียกให้ลุก ก็มาตะโกนใส่ แล้วก็โดดลงเรือนไปนั่งทำอะไรไม่รู้ใต้ต้นไม้ ข้าก็นึกว่าเอ็งคุ้มดีคุ้มร้ายขึ้นมาอีก” เพียงไม่นานของที่เตรียมมาก็หมด เหลือแต่ส่วนที่ลูกค้าจองเอาไว้ “แหม ๆ เดี๋ยวนี้จับน้องแต่งเนื้อแต่งตัว มาหาหลอกขายให้ไอ้พวกผู้ชายหน้าม่ออีกแล้ว” เสียงยุพินร้องว่า เมื่อเธอเพิ่งจะเห็นว่าพะยอมนั้นแต่งตัวมาสวยกว่าปกติ “แหมะ... คนเขาก็ต้องอยากดูของสวย ๆ งาม ๆ บ้างสิ บางร้านผักกับแม่ค้า ไม่รู้ว่าอะไรมันเหี่ยว มันเน่ากว่ากัน” พะยอมตะโกนสวนกลับไปอย่างไม่ยอม คนที่ยั่วโมโหกลับกลายเป็นคนที่โมโหขึ้นมาเสียเอง “พะยอม!!” สายหยุดรีบห้ามก่อนที่เรื่องจะบานปลาย “แต่งตัวสวยไปก็เท่านั้นแหละ คนบ้ายังไงก็เป็นคนบ้า” เสียงร้องว่าของอีกฝ่ายไม่ได้รับการโต้ตอบ เพราะพะยอมรู้ว่าสายหยุดไม่อยากให้มีเรื่อง และเธอก็อยากจะทำตัวดีไถ่โทษเรื่องเมื่อเช้านี้ด้วย “ไปหาหมอไหม” เป็นประโยคแรกที่พี่สาวหันมาถามเธอ หลังจากที่ลูกค้าหมดร้านแล้ว พะยอมมุ่นคิ้วด้วยความงุนงง คราวนี้จะให้เธอไปหาหมอด้วยสาเหตุอะไรอีก หรือเพราะที่เธอตะคอกใส่พี่สาวเมื่อเช้านี้ “ไปหาทำไม” “ก็เอ็งเดี๋ยวดี เดี๋ยวร้ายอยู่เนี่ย ข้าตามอารมณ์เอ็งไม่ทันแล้ว” “หมดแล้วเหรอครับ” เสียงทุ้มเอ่ยถาม ขณะที่สองสาวกำลังนั่งคุยกันอยู่ “อ๋อ... ของหมออยู่นี่จ้ะ ฉันแยกไว้ให้แล้ว” สายหยุดหันไปหยิบเอาส่วนที่เป็นของหมอบุญฤทธิ์ออกมายื่นให้กับเขา กระทงใบตองใหญ่ใส่ขนมที่จองไว้จนเต็ม คนเป็นหมอรับมาถือไว้ก่อนจะหันไปมองพะยอม ที่วันนี้เธอดูแปลกไปจากทุกวันที่ผ่านมา “ทำไม? จะให้ฉันตามไปโรงพยาบาลเหรอ มองหน้ากันแบบนี้” คนถูกจ้องมองเอ่ยถาม เธอเพิ่งจะโดนพี่สาวชวนไปหาหมออยู่หยก ๆ แวบเดียวหมอก็มามองเหมือนอยากจะจับเธอไปตรวจอีกคน “เปล่า แค่แปลกตา” หมอบุญฤทธิ์รีบปฏิเสธ “พี่สายหยุดก็คนหนึ่งแล้ว ฉันแค่แต่งตัวดีหน่อย ก็หาว่าอาการกำเริบ จะให้ไปหาหมออย่างเดียว” พะยอมว่าพลางหันไปมองค้อนใส่คนข้าง ๆ ด้วยความน้อยใจ “ที่ข้าจะให้เอ็งไปหาหมอน่ะ เพราะเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายต่างหาก” หมอหัวเราะชอบใจสองพี่น้องเถียงกัน เขายืนมองดูทั้งคู่จนลืมไปว่าต้องรีบไปทำบุญ “แล้วสองคนไม่ไปทำบุญเหรอ” “ยังไปไม่ได้หรอกจ้ะ มีอีกสองชุดที่ลูกค้าจองไว้แล้วยังไม่มาเอา” สายหยุดตอบพร้อมกับมองไปที่กระทงขนมในกระบุง “ถ้าไม่รีบไปเดี๋ยวศาลาเต็มนะ เมื่อกี้นี้ที่ผมเดินผ่านมา เห็นคนมาเยอะเลย” “เฮ้อ... ไปนั่งนอกศาลาแบบทุกทีก็ได้ เราตั้งใจไปทำบุญ ทำที่ไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ” “งั้นพี่ไปจองที่ก่อน เดี๋ยวฉันรอลูกค้าแทนพี่เอง” พะยอมรีบเสนอตัว เธอไม่อยากให้สายหยุดต้องนั่งนอกศาลาอย่างที่ได้ยิน เพราะรู้ดีว่าหญิงสาวนั้นตั้งใจมาทำบุญมากแค่ไหน ต่างกับตัวเธอเองถ้าไปไม่ทันศาลาเต็มก็นั่งรออยู่ข้างนอกได้ เพราะไม่ได้อยากจะไปทำบุญอะไรอยู่แล้ว “โอ๊ย ข้าไม่ไว้ใจเอ็งหรอก ถ้าไม่งั้นเอ็งก็ไปจองที่ไว้ก่อนเลย นี่ตะกร้า ขันข้าว เอาแกงไปถ่ายถ้วยเป็นของวัด แล้วเอาของตัวเองล้างเก็บใส่ตะกร้า ข้าวในขันนี่ก็เอาไปใส่บาตรก่อนเลยก็ได้ แต่อย่าลืมเหลือไว้ให้ข้าบ้างล่ะ ไม่ใช่ใส่เสียจนหมด” “ไม่เอา… ฉันไม่เคยไป พี่นั่นแหละไป” สองสาวเกี่ยงกันไปมา พะยอมตั้งใจจะเฝ้าร้านอยู่แล้ว ส่วนสายหยุดนั้นก็ไม่ไว้ใจ ถึงพะยอมจะดูพูดรู้เรื่องขึ้นบ้างแล้ว แต่เธอก็ยังมีอาการเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายอยู่ “งั้นก็อยู่นี่แหละ รอลูกค้ามาเอาของ ค่อยไปพร้อมกัน” สายหยุดตัดปัญหา เธอไม่ได้มีปัญหาเรื่องที่บนศาลาอยู่แล้ว เพราะหลายครั้งก็ไปปูเสื่อนั่งนอกศาลาได้ “แต่ว่า....” “พะยอมไปกับหมอก็ได้ จะได้ไปจองที่ให้สายหยุดไง” หมอบุญฤทธิ์ที่ยืนฟังอยู่เสนอขึ้น เขาอยากสังเกตอาการแปลก ๆ ของพะยอมมากขึ้น หมอบุญฤทธิ์มีแผนจะเรียนต่อทางด้านจิตเวช การได้สัมผัสหรือพูดคุยกับผู้ป่วย ถือเป็นการได้ศึกษาไปในตัว กับพะยอมเองเขาก็คุ้นเคยดี เพราะพะยอมมักจะโผล่ไปเล่นที่โรงพยาบาลบ่อยครั้ง “เออ... เอ็งก็ไปพร้อมหมอ ฉันฝากด้วยนะหมอแล้วอย่าไปสร้างเรื่องให้ข้าตามไปปวดหัวด้วยล่ะ” “แต่...” “เอ็งจะเอายังไง จะนั่งอยู่ด้วยกัน รอไปนั่งนอกศาลา หรือจะไปจองที่” สายหยุดยื่นคำขาด นั่นจึงทำให้พะยอมต้องเลือกที่จะไปจองที่ เพราะไม่อยากให้พี่สาวนั่งนอกศาลา ตลอดทางที่เดินเคียงข้างกันมากับหมอบุญฤทธิ์ พะยอมไม่ปริปากพูดอะไรเลย ทั้งที่ปกติแล้วเธอเป็นคนพูดเก่งมาก ๆ พูดไปเรื่อย เห็นอะไรก็พูด “ทำไมหมอมองฉันแบบนั้นล่ะ” พะยอมรู้สึกว่ากำลังถูกอีกฝ่ายจ้องมองอย่างพิจารณา และสายตาของเขาก็ดูเต็มไปด้วยคำถามมากมาย “เปล่า แค่รู้สึกว่าทำไมวันนี้พะยอมไม่ค่อยพูดเลย” “ทำไม ปกติฉันพูดมากเหรอ” หมอหนุ่มหัวเราะกับคำถาม ยิ่งทำให้พะยอมมั่นใจว่าเขาหมายความแบบนั้น “ก็... ปกติแล้วพะยอมพูดถึงทุกอย่างที่เห็นเลยน่ะสิ” “ก็คนบ้านี่นะ เห็นอะไรก็เพ้อเจ้อไปเรื่อย” การย้ำว่าตัวเองไม่ปกติ ก็ถือว่าเป็นอีกเรื่องที่แปลก โดยปกติแล้วผู้ป่วยจะไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นอะไร และคิดว่าตัวเองปกติดี ก่อนหน้านี้พะยอมก็เช่นกัน แต่สองสามวันมานี้ เท่าที่เขาเจอกับเธอ เธอมักจะบอกว่าตัวเองบ้าอยู่เรื่อย “กับคนรักเป็นอย่างไรบ้างล่ะ” หมอตัดสินใจเอ่ยถาม เรื่องที่เธอพูดถึงบ่อยที่สุด แต่พะยอมกลับหยุดเดินแล้วมุ่นคิ้วด้วยความสงสัย “คนรัก? หมายถึงแฟนเหรอ คนบ้าอย่างฉันเนี่ยนะมีแฟน” “ก็พะยอมชอบมาเล่าให้หมอ ให้พยาบาลฟังว่าไปหาคนรัก” “ใคร?” หมอบุญฤทธิ์ไม่ได้ให้คำตอบ นั่นจึงทำให้หญิงสาวรับรู้ได้ว่า คนรักของพะยอมที่หมอเอ่ยถึง คงเป็นหนึ่งในเรื่องเพ้อเจ้อของเธอเท่านั้น “เฮ้อ... ฉันจะบอกอะไรให้นะหมอ ตอนนี้ฉันหายแล้วล่ะ ฉันปกติดีแล้ว ไม่ได้บ้าแล้ว อาจจะจำอะไรไม่ค่อยได้ แต่ก็ไม่ได้บ้าแล้ว” หมอเพียงแค่มองคนพูดและยิ้มกับประโยคของเธอ แต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป “ยิ้มแบบนี้ ไม่เชื่อล่ะสิ คอยดูเลยหมอ ฉันหายแล้วจริง ๆ” พูดจบพะยอมก็เดินหนีออกมา ทิ้งหมอบุญฤทธิ์ให้ยืนอยู่เพียงลำพัง ‘คนที่บ้าคือพะยอม ส่วนฉันที่อยู่ในร่างของพะยอมไม่ได้บ้าสักหน่อย มันก็แปลว่าหายแล้วจริง ๆ นั่นแหละ’
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD