ท้องทุ่งนาถูกแต้มแต่งด้วยสีทองเหลืองอร่ามของแสงอัสดงยามเย็น ที่คล้อยต่ำใกล้จะลับขอบฟ้าเต็มที กลิ่นดอกพะยอมหอมกรุ่นลอยมาตามสายลม จากต้นสูงใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางทุ่งนาใกล้บ้าน กลิ่นนั้นหอมรัญจวนเคล้ามากับกลิ่นแกงที่สายหยุดกำลังทำ พะยอมนั่งดูวิวทิวทัศน์อยู่บนแคร่ไม้ใต้ต้นขี้เหล็กหน้าบ้าน
“แกงส้มเสร็จแล้วนะ หิวก็มากินได้เลย” สายหยุดเอิ้นบอก น้องสาวมองดูต้นเสียง เห็นสายหยุดเดินลงมาจากบ้าน พร้อมกับถ้วยในมือหนึ่งใบ
“พี่จะไปไหน” หญิงสาวรีบลุกขึ้น แล้วสาวเท้าตรงไปหาพี่สาวของเธอทันที
“ข้าจะเอาแกงไปให้ยายยง ปลาเนี่ยไอ้จุกมันจับมาได้ แล้วเขาแบ่งมาให้สองตัว เลยว่าจะเอาแกงไปให้เขาหน่อย” ด้วยความเป็นคนบ้านใกล้เรือนเคียงกัน เมื่อมีอะไรสองบ้านนี้ก็มักจะแบ่งปันกันเสมอ
พะยอมเดินมาพร้อมกับพี่สาว เธอยังคงไม่คุ้นชินกับที่นี่แม้จะอยู่มาสองวันแล้วก็ตาม
“เอาอะไรมาล่ะสายหยุด หอมมาแต่ไกลเลย” เสียงยายลำยงร้องทัก เมื่อตาฝ้ามัวมองเห็นราง ๆ ว่าเป็นหญิงสาวสองคนเดินเข้ามา ทั้งยังรับรู้ได้จากกลิ่นหอมของแกง ที่สายหยุดมักจะเอามาฝากอยู่บ่อยครั้ง
“ฉันแกงส้มดอกแคใส่ปลาที่ไอ้จุกมันเอาไปให้ เลยเอามาแบ่งยายกับเจ้าของปลาด้วยจ้ะ” สายหยุดร้องตอบพร้อมทั้งค่อย ๆ เดินขึ้นบันไดบ้านสี่ห้าขั้นขึ้นไปนั่งที่นอกชานบ้าน ข้าง ๆ กันกับที่ยายลำยงนั่งอยู่
“เออ ๆ จุกเอ๊ย จุก จุกเอาถ้วยมาถ่ายแกงพี่สายเขาหน่อยเร็ว” เสียงยายร้องเรียกเพียงไม่นาน จุกก็รีบวิ่งออกมาจากครัวพร้อมถ้วยหนึ่งใบ
“ทำกับข้าวเหรอจุก” สายหยุดยื่นถ้วยแกงให้หนุ่มน้อยพลางเอ่ยถาม
“จ้ะ ฉันกำลังปิ้งปลา ยายเขาบ่นว่าอยากกินน้ำพริกผักต้ม ปลาปิ้ง พอดีได้ปลามาแล้ว ก็ทำให้เขาสักหน่อย” พะยอมจ้องมองดูเด็กน้อยคู่สนทนาของพี่สาวด้วยความตกตะลึง หากให้เธอเดาว่าจุกอายุเท่าไร เธอคิดว่าไม่น่าจะเกินสิบสองขวบแน่ แต่การพูดจานั้นดูโตเป็นผู้ใหญ่ แถมยังดูแลยายที่แก่ชราเพียงลำพัง แม้ว่ายายลำยงจะยังแข็งแรงอยู่ แต่ความรับผิดชอบเท่านี้ สำหรับเด็กวัยแค่นี้ มันก็ถือว่ามากพอควร
“พรุ่งนี้วันพระไม่ใช่เหรอ เฮ้อ... ไอ้จุกเอ๊ย ไปเอาตังค์มาให้พี่สายหน่อย”
“จ้ะยาย” เด็กหนุ่มวิ่งกลับเข้าไปในเรือนเพื่อไปนำสิ่งที่ยายสั่งมามอบให้กับสายหยุด
“ให้ทำไมจ๊ะ”
“วันพระยายซื้อขนมเอ็ง ฝากไปทำบุญให้หน่อยนะ อยากไปทำบุญเองรึก็ไม่มีปัญญาแล้วสายหยุดเอ๊ย แค่ลำพังเดินอยู่ตามบ้านก็ยังเหนื่อย แก่แล้วมันไม่มีอะไรดีเลยจริง ๆ จะลุกจะนั่งก็ปวดไปหมด อยากตาย ๆ ไปก็ไม่ได้ ไอ้จุกมันยังไม่โต”
“ยายอย่าพูดแบบนั้นสิ ไม่มียายแล้วหนูจะอยู่ยังไง” สองพี่น้องนั่งคุยเล่นกับยายลำยงไม่นาน ก็กลับมาที่บ้านตัวเอง แต่เมื่อมาถึงกลับพบว่าที่แคร่ไม้ ใต้ต้นขี้เหล็กมีคนนั่งอยู่
“มืดค่ำแล้ว ใครมาทำอะไร” สายหยุดพึมพำ ตาก็มองหาของที่พอจะใช้เป็นอาวุธป้องกันตัวได้ หากเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น
แต่เมื่อเดินมาได้สักหน่อย ถึงระยะที่พอจะมองเห็นว่าเป็นใคร สายหยุดก็พอคลายกังวลลงได้
“มาทำอะไรหรือหมอ” เจ้าของบ้านเอ่ยถามผู้มาเยือน เขาลุกยืนขึ้นด้วยความตกใจ เพราะกำลังนั่งมอง นั่งคิดอะไรอยู่เพลิน ๆ
“อ๋อ... พรุ่งนี้วันพระ ผมจะมาขอจองขนมหน่อย เห็นพี่แจ่มบอกว่าร้านสายหยุดวันพระถ้าไม่มาจองไม่ได้แน่”
“ได้สิจ๊ะ หมอจะเอาขนมอะไรบ้างล่ะ ฉันว่าจะทำขนมตาล ขนมกล้วย บัวลอย แล้วก็ขนมเทียน”
“โห ทำคนเดียวไหวเหรอ” สายหยุดยิ้มก่อนจะหันไปมองน้องสาว
“พะยอมมันว่าจะตื่นมาช่วย ก็ไม่รู้จะได้เรื่องหรือเปล่า แต่ปกติฉันก็ทำเท่าที่ทำไหวนั่นแหละจ้ะ”
“อ๋อ... แล้วพะยอมล่ะเป็นไงบ้าง จำอะไรได้บ้างหรือยัง” หมอหันไปถามหญิงสาวที่เอาแต่ยืนฟังเงียบ ๆ ทั้งที่ปกตินั้นเธอมักจะชอบพูดแทรก เวลาที่คนอื่นคุยกันเสมอ
“ก็เหมือนเดิม จำอะไรไม่ได้เลย” เธอตอบเพียงสั้น ๆ นั่นยิ่งทำให้หมอบุญฤทธิ์ รู้สึกถึงความไม่ปกติในตัวเธอ
“ถ้าเป็นอะไรก็ไปหาหมอนะ”
“ค่ะ” หลังจากสั่งขนมเสร็จแล้ว หมอก็ปั่นจักรยานคู่ใจของเขาจากไป
สายหยุดกับพะยอมพากันกินข้าว ปกติแล้วกินข้าวอิ่มนั่งคุยกันสักครู่ สองพี่น้องก็ดับตะเกียงพากันเข้านอนแล้ว แต่ด้วยว่าวันพรุ่งนี้เป็นวันพระ ซึ่งเป็นวันที่ขนมจะขายดีมาก ของบางอย่างสายหยุดจึงต้องเตรีมเอาไว้ตั้งแต่ตอนนี้ อย่างพวกกระทงใบตองสำหรับทำขนมตาล
“สนุกดีเหมือนกันนะเนี่ย” น้องสาวเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม เธอบอกกับคนตรงหน้า คนฟังเองเมื่อได้ยินแบบนั้นก็พลอยยิ้มตามไปด้วย
“ร้อยวันพันปี ข้าไม่เคยเห็นเอ็งอยากทำ วันนี้นึกยังไงขึ้นมาเล่า”
“ไม่รู้สิ เห็นใจพี่มั้ง” สายหยุดส่ายศีรษะไปมาเมื่อได้ยินคำตอบ
หลังจากที่ช่วยกันเตรียมกระทงใบตองเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาเข้านอน