‘เธอต้องเป็นคนในปกครองของอา’
นั่นคือคำพูดแรกของเขาในวันที่เรื่องของเราเริ่มขึ้น
เจนิตายังจำวันที่เธอกลับมาบ้านในวันศุกร์แล้วพบว่าบ้านทั้งหลังว่างเปล่า ประตูรั้วและประตูบ้านเปิดอ้ากว้าง
เครื่องเรือนต่างๆ ยังอยู่ครบแต่ไม่ใครอยู่ที่บ้านหลังนั้นเลย กระทั่งแม่บ้านคนขับรถก็ต่างหายหน้าหายตาไปกันหมด
เธอคิดต่อใครไม่ได้เลยสักคนไม่ว่าจะเป็นพ่อหรือแม่เลี้ยง มีเพียงข้อความสุดท้ายจากไลน์ของน้องชายต่างแม่ก่อนที่ไลน์นั้นจะถูกลบไป ว่าตอนนี้ครอบครัวของเธอกำลังหนีเพราะโดนศัตรูของพ่อตามล่า
เห็นแบบนั้นหญิงสาวจึงอนุมานได้ทันทีว่าที่น้องชายรู้แต่เธอไม่รู้จนกลับมาถึงบ้านได้ ก็เป็นเพราะพ่อเลือกแล้วว่าจะเก็บใครไว้
และเธอที่เป็นเพียงลูกติดของพ่อซึ่งเป็นส่วนเกินของครอบครัวนี้มาตลอด ก็เป็นลูกที่เขาเลือกที่จะทิ้ง
แม้จะยังไม่เข้าใจนักว่าคำว่าครอบครัวกำลังโดนศัตรูของพ่อตามล่าคืออะไร หรือพ่อของเธอที่เป็นเพียงนักธุรกิจจะไปมีศัตรูที่ไหน แต่เธอก็ไม่โง่มากพอที่จะยังอยู่ที่นั่นต่อเพราะมันไม่ใช่สถานที่ปลอดภัยแล้ว
ด้วยเหตุนั้นเจนิตาจึงรีบวิ่งขึ้นไปบนชั้นสองเพื่อเก็บเสื้อผ้าของตัวเอง และของมีค่ากับเงินเล็กๆ น้อยๆ ที่เป็นของส่วนตัว ตอนนี้เธอยังมีรถที่ขับไปเรียนอยู่ทุกวัน
อย่างน้อยก็ยังมีทุนไปตั้งตนชีวิตใหม่ในตอนที่โดนครอบครัวตัดหางปล่อยวัด
แต่หญิงสาวก็ไม่คิด ว่าตอนที่ลงมาและกำลังไปจะไปขึ้นรถเพื่อขับหนีออกไปจากที่แห่งนี้ จะมีชายฉกรรภ์กลุ่มหนึ่งนั่งรออยู่ที่ห้องโถง
“พ่อแม่มันหนีก็เอาอีนังนี่แหละไปให้นาย” หนึ่งในพวกมันเอ่ยขึ้นเสียงเหี้ยม เล่นเอาหญิงสาวในชุดนักศึกษาที่หิ้วทั้งกระเป๋าแบรนด์เนมและถุงเพชรพลอยของมีค่ามาเสียพะรุงพะรังถึงกับชะงัก
เธอปล่อยทุกอย่างลงบนพื้นเอาไปเพียงมีดเล่มเล็กที่เคยแอบซื้อไว้ หวังว่าจะเรียกความสนใจของพวกมันได้บ้าง ทว่ากลับไม่ช่วยเลยแม้แต่น้อย
“โอ้ย!” เพราะพวกมันที่วิ่งไล่ล่าเธอไม่สนใจของพวกนั้นเลยสักนิด แต่กลับกระโดดถีบเธอจากด้านหลังจนล้มคว่ำไม่เป็นท่า ครั้นจะลุกขึ้นหนีท้องน้อยก็ถูกต่อยจนล้มพับ
หญิงสาวหายใจอึกอักอยู่ในลำคอเพราะความจุกขณะที่ทรุดลงไปนั่งกับพื้น กุมท้องของตัวเองที่ถูกแรงผู้ชายฟาดเข้ามาเต็มรัก
จังหวะที่เงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าพวกมันยืนมองเธอด้วยสายตากระเหี้ยนกระหือรือ พาให้หญิงสาวหัวใจหล่นลงไปอยู่บนพื้น เธออยากหนีทว่าแม้แต่แรงจะลุกขึ้นก็ยังไม่มีปัญญา
“ทดลองใช้ของก่อนส่งให้นายดีไหมพี่ ขาวๆ สวยๆ แบบนี้มันน่า…” มันเว้นจังหวะขณะที่หันไปถามผู้ชายอีกคนที่หน้าตาท่าทางโหดเหี้ยมอย่างพวกนักเลงเดนตาย
ฝ่ายนั้นเดินเข้ามาหาเธอพลางลากสายตามองสำรวจ สายตานั้นไม่ได้ดูเหมือนจะเข้ามาตระครุบเธอเหมือนพวกลูกน้องทำ ทว่ากลับลากสำรวจไปจนทั่วพาให้เจนิตาตัวสั่น
“มึงก็ลองสิ สวยๆ แบบนี้คิดดูว่าจะขายได้เท่าไหร่ ถ้าทำสินค้านายเสียหายคิดว่ามึงจะรอดเหรอ” และเมื่อได้ยินคำพูดนั้นเธอก็ยิ่งกลัวมากจนเผลอร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น
พลันนึกน้อยใจจนถึงขั้นโกรธแค้นที่ครอบครัวทอดทิ้งเธอไปโดยไม่พูดอะไรสักคำจนเธอต้องมาเจอเหตุการณ์น่าอดสูแบบนี้
หากบอกเธอสักนิดเธอจะไม่มีวันกลับมาที่บ้านแน่ๆ แต่นี่...
“เอามันไปขึ้นรถ พ่อมันหนีเก่งนักก็ให้ลูกมันใช้หนี้แทนแล้วกัน” คนที่เป็นหัวหน้ามองเธออยู่เพียงชั่วครู่ ก่อนจะหันไปสั่งลูกน้งของตัวเอง
ต่อจากนั้นสิ่งที่หญิงสาวรับรู้ก็มีเพียงความมืดจากถุงผ้าสีทึบที่ถูกนำมาคลุมหัว เธอถูกพวกมันจับมัดแล้วนำมาขึ้นรถคันหนึ่ง
ระหว่างทางถูกมือสกปรกจับต้องไปทั่วเรือนร่างแต่พวกมันไม่กล้าทำอะไรมากไปกว่านั้น คงเพราะหากสินค้าราคาดีอย่างเธอบุบสลาย พวกมันเองก็คงโดนลงโทษอย่างหนัก
กว่าจะได้รับรู้โลกภายนอกอีกทีก็เป็นตอนที่ถูกพามาที่ที่หนึ่ง เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่านายที่พวกมันพูดถึงเป็นใคร แต่เธอรู้ดีว่ามันจับเธอมาทำไม
เพราะทันทีที่มาถึงหญิงสาวก็ถูกพาเข้าไปในห้องให้ผู้หญิงในนั้นจับแต่งเนื้อแต่งตัวเป็นชุดเซ็กซี่ที่แทบปิดอะไรได้
หน้าตาของเธอถูกแต่งแต้มอย่างจัดจ้าน ก่อนที่พวกมันซึ่งเปลี่ยนจากพวกนักเลงชั้นเลวมาเป็นบอดี้การ์ดสูทดำลำตัวสูงใหญ่ จะพาเธอขึ้นไปนั่งบนเวทีที่มีสปอร์ตไลท์ส่องจากทั้งสองด้าน
ดูจากการตกแต่งแล้ว แม้ว่าจะไม่เคยมาที่แบบนี้มาก่อนแต่ก็พอจะเดาออกว่ามันคงเป็นซ่องวีไอพีสักแห่งในกรุงเทพ
ตัวเธอถูกพาไปนั่งบนเก้าอี้รวมกับเด็กสาวอีกหลายๆ คน ท่าทางแต่ละคนดูกลัวมากแต่ก็ยังมีหลายคนที่เหมือนจะเคยทำงานที่นี่
ด้านล่างที่เป็นโต๊ะวีไอพีตรงกันข้ามกับที่เธอนั่งอยู่มีกลุ่มผู้ชายวัยกลางคนหลายกลุ่มทว่าแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าราคาแพงหูฉี่มองขึ้นมา
“เจ้าของคือคนไหนเหรอคะ” แม้จะกลัวจนแทบสิ้นสติที่ต้องมากลายเป็นสินค้าที่ถูกขาย ชีวิตจะตกดิ่งลงไปสู่นรกขุมไหนก็ไม่อาจรู้
แต่เจนิตาก็ยังแข็งใจเอาไว้แล้วหันไปถามผู้หญิงที่นั่งอยู่ไม่ไกล และดูไม่ตื่นกลัวอะไรเหมือนเด็กสาวอีกฝั่ง
โชคดีที่อะไรก็ตามทำให้เธอได้มานั่งตรงกลาง เธอจึงนั่งติดกับผู้หญิงคนนั้นและได้มีโอกาสถามแบบนี้
“ถามทำไม” ทว่าเจนิตาก็ไม่ได้รับการตอบกลับที่เป็นมิตรนัก
หญิงสาวหน้าตาสะสวยคนนั้นหันกลับมาถามเธอเสียงเขียว ถึงอย่างนั้นก็ยังหันไปชะม้อยชะม้ายชายตาให้แขกผู้ชายที่นั่งอยู่รอบๆ ไม่แสดงสีหน้าท่าทางออกมา
เห็นอย่างนั้นเจนิตาจึงได้อุ่นใจ ว่าต่อให้เจ้าหล่อนจะไม่ได้อยากตอบมากนัก แต่เธอคงไม่โดนโสเพณีเจ้าที่ลุกขึ้นมาตบแน่นอน
“หนูถูกพ่อแม่ขายมาเลยอยากรู้ว่าเขาเป็นใคร หนูกลัวตายถ้าเกิดดันไปทำให้เขาไม่พอใจเข้า” เธอตั้งสติสุดชีวิตทั้งที่ยังอกสั่นขวัญแขวนมากขณะที่โกหกออกไปเสียงเบาแบบนั้น
แม้จะยังไม่กล้าส่งสายตาเชิญชวนเหมือนอย่างหล่อน แต่ความโกรธแค้นที่ถูกทิ้งและไหลวนอยู่ในสมองตั้งแต่โดนจับตัวมาก็ยังบอกให้เธอใจเย็น
เธอไม่ใช่คนฉลาดขนาดนั้นแต่ก็ไม่ได้โง่นัก ในสถานการณ์แบบนี้หากเธอกระด้างกระเดื่องขึ้นมานิดเดียว อาจมีชะตากรรมที่เลวร้ายมากกว่าการถูกขายให้ใครสักคนมาก
เธออาจจะโดนรุมโทรม หรือกระทั่งอาจถูกฆ่าตายไม่มีชีวิตได้ไปดูหน้าผู้ชายที่ทำให้เธอเกิดมา แต่ไม่คิดจะมอบความรักความเอาใจใส่อย่างที่คนเป็นพ่อควรจะทำแน่นอน
เธอยังตายไม่ได้ ถึงจะอยากตายมากก็ตาม
หญิงสาวคนนั้นถอนหายใจอย่างรำคาญ ทว่าก็ยังชะงักไปเมื่อรู้ว่าเจนิตาต้องเจออะไรมา
“คนที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีดำลายมังกร รู้แล้วก็หุบปากเสียที เดี๋ยวไอ้พวกนั้นมันก็เข้ามาลากฉันกับแกไปซ้อมจนตายหรอก” กระนั้นก็ยังเอ่ยขึ้นมาเสียงเขียว ไม่แม้แต่จะหันมามองหน้าเธอเพราะง่วนอยู่กับการมองตากับแขกสูงวัยที่นั่งอยู่อีกมุม
เธอคนนั้นยกมือโบกไปให้เขาไม่นานชายคนนั้นก็เรียกการ์ดที่ยืนอยู่ทุกมุมเข้าไปกระซิบกระซาบบางอย่าง เจนิตาเดาว่าเขาคงสนใจในตัวผู้หญิงคนนี้จึงละความสนใจออกมา
สายตากวาดมองหาผู้ชายที่ว่าก่อนจะไปสะดุดกับชายวัยกลางคน ผมสีดอกเลาทว่าท่าทางดูโหดเหี้ยม คนเดียวกันกับกำลังมองตรงมาทางเธอ
สายตานั้นไร้ซึ่งความหื่นกระหายอย่างแขกคนอื่นๆ มีเพียงความเคียดแค้นสาสมใจที่เธอต้องมานั่งอยู่ตรงนี้
ถึงจะรู้แล้วว่าต้องทำอะไร ทว่าตอนนี้เจนิตายังคิดแผนไปต่อไม่ออก เธอไม่เคยต้องมาใช้ชีวิตในที่อโคจรแบบนี้ เพราะอย่างนั้นจึงหลบสายตาของเขามา
พลางครุ่นคิดว่าอะไรที่พ่อของเธอทำแล้วทำให้คนแบบตาเฒ่านั่นถึงขั้นตามล่าจนต้องทิ้งบ้านช่อง
กู้หนี้นอกระบบอย่างนั้นเหรอ?
หรือฉ้อโกง?
หรือพ่อของเธอทำเรื่องชั่วๆ อย่างการเป็นหนึ่งในพวกมัน หากเป็นแบบนั้นแล้วเธอจะเอาตัวรอดอย่างไรให้มีบาดแผลน้อยที่สุดกัน
ยิ่งคิดหญิงสาวก็ยิ่งมองไม่เห็นทางรอดที่ตัวเธอจะไม่แหลกเหลวเลยสักทาง ทุกอย่างที่นี่น่ากลัวไปหมด ไม่มีทางให้เธอหนี
ไม่มีทางให้ทำอะไรสักอย่างให้ยังมีชีวิตรอดนอกจากยอมกลายเป็นสินค้า หาเงินใช้หนี้แทนพ่ออย่างที่ไอ้พวกที่จับเธอมาเคยพูด
ไม่ง่ายเลยที่คุณหนูบ้านรวยที่พ่อเลี้ยงมาด้วยเงินอย่างเจนิตาจะครองสติไม่ร้องไห้ออกมาได้นานนัก สุดท้ายหยาดน้ำตาก็ร่วงเผาะลงบนแก้มเนียนจนภาพเบื้องหน้าพร่าเบลอไปหมด
ความคิดที่ว่าทำไมถึงเป็นเธอที่ต้องมาเจอเรื่องบัดซบแบบนี้ยิ่งพาให้ทุกอย่างเลวร้าย
แค่ชีวิตก่อนหน้านี้เธอก็ต้องจมอยู่กับความหว้าเหว่ น้อยเนื้อต่ำใจจนต้องหาซื้อของแพงมาประโคมเพื่อปลอบใจตัวเองอยู่แล้ว นี่ยังต้องมากลายเป็นกะหรี่ในซ่องที่ไร้ทางหนีอีกเหรอ
“ถ้าไม่อยากตายก็หยุดร้องเดี๋ยวนี้” ทว่าในยามที่เธอกำลังน้ำตาหลั่งริน จู่ๆ การ์ดชุดดำด้านหลังก็เดินเข้ามากระซิบขู่เสียงเข้ม พาให้เจนิตาถึงกับสะดุ้งโหยงขึ้นมานั่งหลังตรง
มือเล็กรีบปาดน้ำตาออกจากใบหน้าขณะที่หันมองอีกฝ่ายอย่างหวาดๆ เมื่อเห็นว่ามันถอยออกไปแล้วเธอจึงได้หันกลับมามองภาพตรงหน้าอีกครั้ง
สายตาที่เผลอซัดไปมองชายผู้นั้นที่น่าจะเป็นนายใหญ่ของที่นี่เห็นว่าใบหน้าของเขามีแต่ความเย้ยหยัน ยิ่งเห็นแบบนั้นตัวเธอก็ได้แต่เจ็บลึกเข้าไปในใจ
สติที่มีเหลืออยู่น้อยนิดพลันแตกซ่านคิดอะไรไม่ออก วันนี้เธอคงหนีชะตากรรมอุบาทว์ไม่พ้นแล้ว อย่างไรก็คงต้องถูกขายแน่
แต่หากหน้าตารูปร่างของเธอมันทำเงินได้มากอย่างที่ไอ้กุ๊ยพวกนั้นว่าจริงๆ พวกมันคงขายเธอในราคาที่แพง แบบนั้นอาจจะพอมีทางรอดได้บ้าง
แค่อาจจะ...
“ลงไปข้างล่าง นายใหญ่มีเรื่องจะคุยด้วย”
แค่อาจจะเท่านั้น...