“เดี๋ยวข้าตามไปทางนี้เอง! พวกเจ้าตามไปทางโน้นก็แล้วกัน!” เสียงร้องขององครักษ์กังทำให้หัวหน้ามือปราบโหยวหันไปสั่งการลูกน้องในหน่วยที่หนึ่งของตนอย่างว่องไว
“ตามข้ามาทางนี้!” หัวหน้าโหยวกำกระบี่ชูขึ้นไปข้างหน้า บรรดามือปราบในชุดสีแดงเลือดหมูข้างหลังก็วิ่งตามไปทางตรอกข้างขวาโดยเร็ว
กังซือเฉินองครักษ์หนุ่มในหน่วยประจำพระองค์ขององค์ชายสิบห้าวิ่งตามหลังคนข้างหน้าโดยความเร็วไม่แพ้กัน
‘คิดจะวิ่งหนีข้าหรือ? เจ้าคงต้องไปฝึกอีกหลายปีเทียว’
จังหวะถึงถนนที่มีรถเข็นขายของจอดทิ้งไว้สองข้างล่าง เขาใช้วิชา ตัวเบากระโจนขึ้นเหยียบรถเข็นแต่ละคันให้แรงส่งดันเขาไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ร่างสูงของกังซือเฉินลอยละลิ่วไปขวางชายสามคนเอาไว้ สตรีที่ถูกถุงผ้าสีดำคลุมศีรษะมิดชิดมือสองข้างถูกมัดไพล่หลังดิ้นสะบัดไปมาแต่ก็สู้แรงของบุรุษสองคนที่ยืนประกบข้างควบคุมตัวเอาไว้ไม่ได้
“หยุดดิ้น! ข้าเริ่มรำคาญเจ้าแล้วนะ เดี๋ยวแทงตายตรงนี้ซะหรอก!”
สตรีนางนั้นได้ยินคำขู่ก็หยุดนิ่ง กังซือเฉินที่ยืนประจันหน้ากับพวกมันอยู่จึงร้องออกไป
“ปล่อยนางเดี๋ยวนี้! มิฉะนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน!”
“ลูกพี่ดู! มุขนี้ข้าได้ยินบ่อย แล้วไง? คนที่พูดอย่างนี้ล้วนไปลงปรโลกกันหมดแล้ว” เจ้าคนแรกพูดจบคนทั้งสามก็หัวเราะเยาะเย้ยออกมาพร้อมกัน
“มุขนี้ของโจรถ่อยฝีมือกระจอกข้าก็เห็นบ่อย สุดท้ายก็ลงไปหัวเราะในปรโลกหมดแล้วเช่นกัน” บุรุษหน้าตายเอ่ยด้วยรอยยิ้มมุมปาก
“เจ้าเข้าไปจัดการที! เดี๋ยวข้าดูแลนางเอง” เจ้าคนร้ายที่พูดคนแรกหันไปดึงแขนคนที่สอง มันเพิ่งสังเกตเห็นว่าชุดของชายหนุ่มตรงหน้าคือชุดองครักษ์ วังหลวงเพราะมีความประณีตหรูหราต่างจากชุดมือปราบทั่วไป
“อ้าวลูกพี่! ท่านท้าทายแล้วไม่แสดงฝีมือสักหน่อยหรือ?”
“เฮ้ย! เป็นเจ้านั่นล่ะ เหมาะสมแล้ว!”
“ได้! ข้าจะส่งมันลงปรโลกไปเอง” บุรุษคนกลางปล่อยมือที่ฉุดแขน ตัวประกันแล้วกระโจนเข้าหากังซือเฉินพร้อมกระบี่
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
“เอื๊อก! อึก!”
แค่การสะบัดกระบี่เพียงสามครั้ง ร่างของคนร้ายก็ถูกแทงทะลุท้อง องครักษ์หนุ่มใช้เท้าถีบร่างของมันออกจากกระบี่หงายลงไปนอนตาเหลือกอยู่แทบเท้าของคนร้ายอีกสองคน
“ว่าไง? ยังคิดจะส่งข้าไปปรโลกอยู่อีกหรือไม่?”
“เอาไงดีลูกพี่!” เจ้าคนที่ยึดแขนของหญิงสาวหันไปมองหัวหน้าของมัน
“หนีสิวะ!” ลูกพี่รีบผละออกหวังจะวิ่งออกก่อน
ฉึก!
มีดสั้นพุ่งตรงไปปักท้ายทอยด้านหลังเลือดกระฉูด ร่างนั้นไม่ทันแม้แต่จะได้ ส่งเสียงร้องก็ล้มลง
“อ๊าก!” คนร้ายที่เหลือเพียงคนเดียวตัดสินใจปล่อยแขนหญิงสาวหันมาถือดาบพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่ม
เคร้ง! ฉึก!
องครักษ์หนุ่มตวัดกระบี่เพียงครั้งเดียวก็เสียบหน้าอกคนร้ายจนกระบี่จมไปกว่าครึ่ง ดวงตาของมันแทบจะถลนออกมานอกเบ้าก้มลงมองกระบี่ที่เสียบอยู่บนร่างของตนเองก่อนจะหงายหลังล้มตึงลงไป
“อ๊า....!!!!!”
กังซือเฉินเกร็งข้อมือเล็กน้อยก่อนจะดึงกระบี่ออกจากร่างนั้น ตรงเข้าไปหาเหยื่อที่ยืนนิ่งรออยู่
“แม่นาง! พวกมันยังไม่ได้ทำอันตรายเจ้าใช่หรือไม่?”
“อือๆ อู้ๆ....” นางส่งเสียงฟังไม่เป็นภาษา กังซือเฉินจึงรีบดึงเอาผ้าสีดำคลุมศีรษะของนางออก พร้อมทั้งช่วยดึงเอาผ้าม้วนก้อนเขื่องที่ถูกยัดอุดปากนางไว้ออก
“ข้าไม่เป็นไรเจ้าคะ! ขอบพระคุณที่ท่านมาช่วย!” น้ำเสียงของนางดูเศร้าสร้อย “โอ๊ย!” หญิงสาวเซคล้ายจะล้ม ร่างของนางพิงไหล่เซไปพิงไหล่ชายหนุ่ม
“แม่นาง! เจ้าบาดเจ็บนี่!” กังซือเฉินมองเห็นต้นแขนของนางพันด้วยผ้าสีขาวเป็นแถบใหญ่มีรอยเลือดซึมอยู่ เขารีบหันไปเก็บกระบี่ใส่ปลอกที่สะพายไว้ด้านหลัง
“ขะ ข้าน้อยไม่เป็นไรเจ้าคะ”
“ยังจะบอกว่าไม่เป็นไรอีก เดี๋ยวข้าอุ้มเจ้าไปขึ้นรถม้าก็แล้วกัน” ตรอกที่เขาวิ่งไล่ตามคนร้ายเข้าไปเป็นตรอกที่มีแสงไม่ค่อยสว่างเพราะมีต้นไม้ใหญ่และกำแพงบังแม้บ้านเรือนรอบข้างจะจุดคบเพลิงกันเอาไว้ กังซือเฉินย่อตัวเล็กน้อยก่อนจะช้อนนางขึ้นอุ้ม
นางพยักหน้าเบาๆ แล้วก้มหน้าลงอมยิ้มซุกซบในอ้อมกอดของเขาด้วยความเบิกบาน เมื่อชายหนุ่มพานางเดินออกมาถึงปากตรอกที่มีแสงสว่างจากคบเพลิงรอบด้านนางก็เงยหน้าขึ้นมองเส้นคางอันบึกบึนขององครักษ์หนุ่มอย่างหลงใหล ‘กังซือเฉิน ท่านช่างเป็นสุภาพบุรุษเสียจริง!’
ชายหนุ่มมองซ้ายมองขวา เห็นทีเขาคงออกมาช้าเกินไป ถนนสายนี้เป็นที่นัดหมายพบปะในตอนที่จับคนร้ายได้แล้ว
“แม่นาง รถม้าที่ข้าบอกเจ้าเห็นทีคงบรรทุกคนบาดเจ็บไปโรงหมอกันหมดแล้ว เจ้ายังไหวอยู่หรือไม่? เดี๋ยวข้าพาเจ้าไปนั่งพักก่อน”
“ข้าน้อยยังพอไหวเจ้าค่ะ” นางกระซิบขณะยกมือขึ้นลูบอกแกร่ง
กังซือเฉินวางนางลงใต้ต้นไม้ริมถนน ด้านข้างเป็นคลองใหญ่ที่ถูกขุดให้ไหลผ่านเข้ามาในเมืองเพื่อให้ประชาชนได้ตักใช้ เมื่อนางนั่งพิงต้นไม้แล้ว กังซือเฉินจึงได้มองหน้านางเต็มตา ชายหนุ่มชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าสาวน้อยนางนี้รูปหน้าคมคาย ผิวพรรณขาวผ่องเนียนละเอียด...นางช่างงดงามนัก!
*******************************