เดิมทีก็เข้าใจว่าเขาเป็นผู้มีพระคุณ แต่ที่ไหนได้...เขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรต่างหาก
จุดเริ่มต้นของกรงอุปถัมภ์
“อ้าว… ว่าน ทำไมวันนี้เราถึงกลับมาเร็วนักล่ะลูก”
“อ๋อ พอดีวันนี้อาจารย์เขาต้องไปประชุมต่อน่ะพ่อ เขาก็เลยสั่งเลิกคลาสเร็วหน่อย ว่าแต่พ่อกำลังทำอะไรอยู่เหรอจ๊ะ?” หลังเดินทางกลับมาถึงบ้าน ใบว่านก็เอ่ยถามผู้เป็นพ่อด้วยน้ำเสียงสดใส เมื่อเขาเห็นว่าพ่อกำลังนั่งปอกหอมแดงเตรียมจะเอาไปตำน้ำพริกต่อ
“พ่อกำลังนึ่งผักกับปลาเอาไว้ แต่ว่าพ่อก็นึ่งไปได้สักพักแล้วล่ะ ว่านกลับมาก็ดีแล้วงั้นช่วยเดินไปดูให้หน่อยสิว่ามันได้ที่หรือยัง”
“ได้จ้ะ” ใบว่านขานรับพร้อมรีบวางกระเป๋าส่วนตัวไว้บนเก้าอี้ เพื่อที่เขาจะได้เดินตัวเปล่าไปดูปลากับผักที่พ่อเขานึ่งเอาไว้เตรียมจะเอาไปขายตลาดได้อย่างสะดวก ๆ
“ตอนนี้ผักกับปลาสุกแล้วนะพ่อ ถ้าอย่างนั้นว่านยกลงเลยนะจ๊ะ” ใบว่านหันไปบอกพ่อ
“เออ ๆ ยกลงเลย เดี๋ยวว่านก็มาช่วยพ่อแกะปลาทูด้วยนะ”
“ได้จ้า” หลังจัดการยกปลากับผักนึ่งลงจากเตาเรียบร้อยแล้ว เวลาต่อมาใบว่านก็มานั่งแกะปลาทูช่วยพ่อของเขาต่อ โดยรายได้หลักของครอบครัวเขานั้นก็คือการค้าขาย พ่อของใบว่านมีอาชีพเป็นพ่อค้าขายพวกน้ำพริก ผักนึ่งและปลาตามตลาดนัดกลางคืน ส่วนใบว่านยังคงเรียนหนังสืออยู่ แต่ในอีกไม่ถึงปีเขาก็จะเรียนจบและได้ทำงานแล้ว
“ว่าแต่เทอมนี้ว่านเขียนรายงานไปให้เขาหรือยังลูก”
“ยังเลยจ้ะ แต่ว่านว่าว่านจะเขียนรายงานให้เสร็จในคืนนี้แหละ”
“งั้นเย็นนี้ว่านไม่ต้องออกไปขายของกับพ่อหรอก เรานั่งเขียนรายงานอยู่ที่บ้านดีกว่า”
“แล้วพ่อไหวเหรอจ๊ะ” ใบว่านถามต่อด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย
“ไหวสิ… พ่อทำบ่อยจนชินแล้ว ถ้าจะทำอีกสักวันมันจะเป็นอะไรไป”
“งั้นก็ได้จ้ะ เดี๋ยวเย็นนี้ว่านเขียนรายงานอยู่ที่บ้านก็ได้” เพราะเห็นพ่อของตัวเองบอกว่าไหว ใบว่านจึงต้องว่าตามนั้น ซึ่งการเขียนรายงานของเขานั้น มันก็เป็นการเขียนรายงานส่งให้ผู้อุปถัมภ์ของใบว่านในทุก ๆ เทอม
โดยผู้มีพระคุณคนนี้ใบว่านก็ไม่เคยได้พบเจอหรือเห็นหน้าเลยสักครั้ง อีกฝ่ายเข้ามามีบทบาทในชีวิตเขาตอนที่แม่ของเขาเสียไปด้วยอุบัติเหตุ และใบว่านไม่มีเงินร่ำเรียนต่อในระดับมหาลัย เนื่องจากครอบครัวของใบว่านยากจนมาก
ท่ามกลางความแห้งแล้ง…เปรียบเสมือนปลาที่ขาดน้ำ จู่ ๆ ก็มีคนหยิบยื่นน้ำใจมาให้ราวกับปาฏิหาริย์
ใบว่านไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองโชคดีเลย จนกระทั่งอาจารย์ที่ปรึกษาได้เรียกเขาเข้าไปคุย เพื่อบอกว่ามีคนใจดีอยากจะอุปถัมภ์ใบว่าน โดยคนใจดีคนนั้นก็จะให้ทุนการศึกษาต่อจนกว่าใบว่านจะเรียนจบมหาลัย แถมใบว่านยังไม่ต้องรักษาเกรดเพื่อรักษาทุนเอาไว้ด้วย แต่อีกฝ่ายมีข้อแม้ว่าใบว่านจะต้องเขียนรายงานบอกเล่าชีวิตของตัวเองให้คนใจดีได้รับรู้ในทุก ๆ เทอมเท่านั้น
เพราะผู้มีพระคุณขอกันแค่นั้น ใบว่านจึงยอมรับเงื่อนไขนั้นทันที
“เฮ้อ ฝนตกจนได้” ขณะที่กำลังเก็บปากกาลงใส่กระเป๋าหลังเขียนรายงานเสร็จ ใบว่านก็พึมพำเสียงแผ่วพร้อมทอดมองเม็ดฝนที่กำลังโปรยปรายอยู่ริมหลังคาบ้านอย่างใจลอย ก่อนที่ต่อมาดวงตาเรียวเล็กจะเบิกกว้างด้วยความตกใจ เมื่อเขาเพิ่งนึกอะไรบางอย่างได้
“หลังคา ๆ หลังคารั่ว!”ใบว่านโวยวายลั่น พร้อมรีบวิ่งไปหยิบเอากะละมังซักผ้ามารองตรงบริเวณหลังคาที่มันรั่ว อย่างรู้งาน ซึ่งหลังจากที่เขาเอากะละมังมารองจนฝนตกใส่กะละมังอย่างพอดิบพอดีแล้ว ใบว่านถึงค่อยเดินไปยังห้องครัวตั้งใจจะไปเอาข้าวเปล่าเหยาะน้ำปลาพร้อมไข่ต้มหนึ่งฟองมานั่งกิน พอให้ตัวเองหายหิวไปอีกมื้อ