และแล้วฤดูกาลสอบปลายภาคก็มาถึง เป็นการสอบแบบวันเว้นวันค่ะ
“อ่านหนังสือมาบ้างป่ะ” ไอ้จูนเอ่ยถาม
“จำมาผ่าน ๆ ”
“ดูมึงชิวเนอะ”
“ตกก็แก้ มันจะยากอะไร” ฉันตอบกลับอย่างไม่จริงจังมากนัก
“ยากตรงที่แม่ด่าว่ากูโง่นี่แหละ”
“ฮ่า ๆ ดีนะที่แม่กูไม่เคยคาดหวัง”
เช้าสอบสามวิชาค่ะบ่ายอีกสองวิชา หลังจากสอบเสร็จช่วงเช้าก็มานั่งเล่นกันที่หลังโรงเรียน มันเป็นทางเดินค่ะ ข้าง ๆ เป็นสนามฟุตบอล ถามว่าที่เงียบ ๆ แบบนี้มาหาอ่านหนังสือกันเหรอ? ไม่ค่ะ!! มานั่งคุยโทรศัพท์กันทั้งนั้น
“น้ำตาลกูถามอะไรหน่อยดิ” คนนี้ชื่อน้องค่ะ บ้านอยู่ใกล้กัน
“ว่า?”
“กีฬาสีวันสุดท้าย พี่ทิวไปส่งมึงเหรอ”
“กูกลับวินบ้างเหอะ มึงรู้มาจากไหน”
“...”
“รู้ไม่จริงแล้วเสือกอยากจะพูดต่อ”
“อ้าว แล้วมึงจะมาด่ากูทำไม กูแค่ถาม”
“กูไม่ได้ด่ามึง กูด่าคนที่มันพูดต่อ ก็ถามอยู่ว่ามึงรู้มาจากใคร เพราะถ้ามึงเห็นกับตามึงจะไม่ถามกูแบบนี้”
“เฮ้ย! จะทะเลาะกันทำไม” ไอ้ป๊อปแย้งขึ้นก่อนจะมองเราสองคนสลับกันไปมา “มึงก็บอกมันไปดิอีน้องว่ามึงรู้มาจากไหน”
เป็นคำถามที่ฉันก็อยากรู้คำตอบเหมือนกันค่ะ มันไม่ใช่เรื่องจริงและไม่ใกล้เคียงความเป็นไปได้เลยสักนิด
“กูรู้มาจากไหนไม่สำคัญหรอก มันไม่ใช่เรื่องจริงก็แล้วไป” พูดจบมันก็นั่งเล่นเกมส์ในมือถือต่อราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ทำไมล่ะ แล้วถ้ามันเป็นเรื่องจริงขึ้นมาใครจะขาดใจตายเหรอ” ไอ้จูนว่าขึ้น คำถามของมันทำเอาฉันนิ่งไปนั่นเป็นสิ่งที่อยู่ในจินตนาการของฉัน มันเกินความจริงไปมาก แต่ก็นั่นแหละพื้นที่ของความสุขค่ะ
“ฮ่า ๆ มึงคิดก่อนพูดก็ดีเหมือนกันนะเนี่ย” น้องมันตอบพร้อมกับเสียงหัวเราะ
“...”
“สภาพแทบจะไม่เหมือนคนยังจะหวังสูงอีก”
“หวังสูงยังไงวะ กูเห็นพี่ทิวมันก็เป็นคนเหมือนกัน มึงนั่นแหละเลิกว่าคนอื่นเขาได้แล้ว” ไอ้จูนยังคงเถียงต่อ ดูท่าทางแล้วจะยาวค่ะฉันเลยรีบปรามขึ้นก่อนที่มันจะเลยเถิดมากเกินไป
“เออ พอ ๆ จบ ๆ ไม่ต้องเถียงกัน”
หลังจากนั้นทุกอย่างก็เงียบลง ในใจก็แอบเคืองแหละทำไมต้องมาว่ากันด้วย เป็นไปได้ฉันอยากย้อนเวลากลับไปและจะไม่หลุดพูดให้ใครรู้เป็นอันขาดว่าแอบปลื้มพี่ทิวน่ะ
หลังจากสอบเสร็จช่วงบ่ายตั้งใจว่าจะกลับบ้านเลย แต่อีต้นมันดันชวนไปกินก๋วยเตี๋ยวปลาหน้าโรงเรียน อีนี่ก็ใจง่ายไปค่ะ ไม่ปฏิเสธ
“ชะนีมึงเอาเหมือนเดิมใช่ป่ะ”
“เออ”
อีต้นมันเดินไปสั่งฉันก็เลยอาสาไปตักน้ำเอง แต่ว่าดันสายตาดีเห็นพี่ทิวอยู่ฝั่งตรงข้ามของร้าน จำไม่ได้ว่ามองนานแค่ไหน มันนานพอที่แม่ค้าทำก๋วยเตี๋ยวเสร็จนั่นแหละ
“เลิกมองก่อนค่ะมึง มาแดกได้แล้ว”
“มองอะไร มึงมั่วแล้ว”
“อย่ามาเฉไฉ สรุปเรื่องจริงใช่ไหมที่มึงชอบพี่ทิวอ่ะ” คำถามตรง ๆ ของมันทำเอาฉันเงียบไปหลายวินาที
“...”
“ไม่ได้จะว่าอะไร แต่แอบชอบก็คือแอบชอบนะ พี่ทิวหล่อขนาดนั้นเขาต้องมีคนคุยอยู่แล้วแหละ”
“เรื่องของเขาสิ ข้าไม่เคยคาดหวังอยู่แล้ว”
“ทำได้จริงอย่างที่พูดก็ดี”
“...” ฉันไม่ได้ตอบกลับอะไรเลือกที่จะนั่งกินเงียบ ๆ แทน จนกลุ่มเพื่อนพี่ทิวเดินเข้ามาในร้าน
“มึง...”
“รีบกินเถอะจะได้กลับ”
“มึง...” ไม่พูดเปล่ามันยังยื่นเท้ามาเขี่ยขาฉันอีกด้วยจนต้องเงยหน้าไปมองมัน “พี่ทิวเดินมาทางนี้” เสียงโคตรเบาแต่ก็พอจับใจความได้อยู่
พรึ่บ!
“...” แซนวิชไส้กรอกชีสถูกวางลงตรงหน้าฉันพร้อมกับร่างสูงเจ้าของมันที่กำลังทำหน้านิ่งใส่อยู่
“ให้” พูดจบเขาก็เดินออกจากร้านไปท่ามกลางความงุนงงของทุกคน
“เขาให้ใครวะ”
“อยู่ตรงหน้ามึงเขาคงให้กูมั้ง” อีต้นมันว่ายิ้ม ๆ
“ให้กูเหรอ? ให้กูเรื่องอะไร ไม่ใช่ว่าคนอื่นให้เขามาแล้วเขาไม่กินเลยเอามาโยนให้กูหรอกนะ”
“อีบ้า! ใครจะทำแบบนั้น ถ้าไม่กินก็โยนลงถังขยะไปค่ะ มึงคิดมากไปนะเนี่ย”
“เหรอวะ” ตั้งคำถามกับตัวเองพลางจ้องมองมันไปด้วย เปิดถุงดูมันมีสองชิ้นค่ะ แบ่งกันคนละชิ้นกับอีต้น หลังจากนั้นก็แยกย้ายกัน
ช่วงปิดเทอมใหญ่เป็นอะไรที่เหงามาก อยู่แต่บ้านไม่ได้ไปไหนเลย พ่อกับแม่ก็ทำงานทุกวัน ตื่นมาก็เจอแค่เงินกับสำรับข้าววางไว้ให้เห็นต่างหน้า บางวันงานไม่เสร็จกลับตีสองตีสามก็มี
แอบกระซิบหน่อยว่าฐานะทางบ้านไม่ได้ร่ำรวยเลยค่ะ พ่อกับแม่เป็นผู้รับเหมาทำถนน ส่วนตากับยายก็ขายขนมไทยค่ะ
วกกลับมาเรื่องของฉันต่อดีกว่า ตอนโรงเรียนเปิดก็ภาวนาว่าเมื่อไหร่จะปิดเทอมสักที แต่พอโรงเรียนปิดก็ดันเป็นพวกขี้เหงา อยากเจอเพื่อน อยากไปโรงเรียนขึ้นมาซะงั้น
และวันเวลาก็ผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว... จากน้องมอหนึ่งในวันนั้น ตอนนี้กลายเป็นพี่มอสองแล้วนะคะ
มัธยมศึกษาปีที่สอง
“แลดูมีความสุขขึ้นเยอะ” คำทักทายแรกถูกเอ่ยออกมาจากเพื่อนเลิฟของฉัน ไอ้จูนนั่นเอง
“ปกตินะ ว่าแต่มึงเหอะ เปิดเทอมแล้วทำไมไม่ย้อมสีผมกลับอีก เดี๋ยวก็โดนอาจารย์เล่นหรอก”
“เอาตามความจริงไหม”
“เออ”
“ยังห้าวอยู่”
“อีสัส!”
“เพื่อนด่าแปลว่าเพื่อนรัก”
“เพื่อนด่าก็คือเพื่อนด่า มึงอย่าเปลี่ยนความหมาย”
“ฮ่า ๆ ”
พอถึงเวลาเข้าแถวก็มีการแอบมองไปทางพี่มอห้าเล็กน้อยค่ะ ไม่เจอกันแค่สองเดือน พี่ทิวสูงขึ้นเยอะเลย สังเกตได้จากระดับสายตา ถ้าเทียบกันตอนนี้หัวฉันไม่ถึงไหล่เขาเลยด้วยซ้ำ
“อะแฮ่ม!! เก็บอาการหน่อย”
“ไรมึง”
“กูเห็น ๆ ”
“...” ขี้เสือกจริงเชียว ได้แต่แอบด่ามันในใจ คิกคิก
บรรยากาศการมาเรียนในวันแรกของมอสองตื่นเต้นแปลก ๆ ค่ะ อาจเป็นเพราะการรอคอยที่จะได้เจอใครคนนั้นก็ได้ วันแรกไม่ได้เรียนเลยค่ะ ส่วนใหญ่อาจารย์จะให้ตารางเรียนกับแจกหนังสือซะมากกว่า เป็นแบบนี้อยู่ครึ่งวันจนถึงเวลาพักเที่ยง
“เชี่ย...”
“อะไรของมึงวะ”
“ป้าร้านข้าวมันไก่หายไปไหน” ไอ้จูนว่าขึ้นพร้อมกับทอดสายตาสุดจะน่าสงสารไปทางด้านในโรงอาหาร
“เขาหมดสัญญาเช่าเขาก็ไปขายที่อื่นดิ”
“ไม่นะ!! นั่นร้านโปรดกูเลยนะโว้ย”
“โอ๋... ไม่งอแงนะ ลองร้านใหม่ก็ได้ บางทีอาจจะถูกปากมากกว่าร้านเดิมไรงี้”
“ไม่มีทาง!! ขนาดปิดเทอมตั้งสองเดือนมึงยังไม่เลิกชอบเขาเลย”
“มึงก็สรรหาเปรียบเทียบเหลือเกินนะ”
เสียเวลาอยู่หลายนาทีเลยค่ะกว่ามันจะเลิกงอแง พอจองโต๊ะเสร็จก็ฝากให้ไอ้จูนไปซื้อข้าว ส่วนฉันอาสามาซื้อน้ำเอง
“น้ำตาล เอ็งเห็นป่ะ”
“เห็นไรวะหมู”
“พี่ริวไง คิกคิก ใจละลาย”
“เก็บอาการเล็กน้อยถึงปานกลางด้วยค่ะ”
“ก็เขาน่ารัก!”
เลิกสนใจมันก่อนจะเดินไปต่อแถวซื้อน้ำ เปิดเทอมวันแรกมีแต่น้ำเปล่าค่ะ ปกติจะมีน้ำผลไม้ด้วย
“น้ำเปล่าสิบขวดค่ะ”
“หกสิบบาทลูก”
กำลังจะจ่ายเงินแต่ใครบางคนกลับจ่ายแทนซะก่อน
“นี่ครับ”
คนข้างหลังเยอะพอสมควร เกรงใจคนอื่นเขาฉันจึงหยิบน้ำออกมาก่อนแล้วให้หมูช่วยถือไว้ห้าขวด หลังจากนั้นฉันก็หยิบเงินให้พี่ทิวไปแต่ว่าเจ้าตัวเขาไม่รับค่ะ
“ค่าน้ำค่ะ”
“พี่เลี้ยงเอง”
“แต่มันหลายขวด”
“ไม่เป็นไร ... ผอมลงนะเนี่ย” เขินแหละ ไม่รู้เขินอะไร
“เอ่อ ... ขอบคุณนะคะสำหรับค่าน้ำ”
พี่ทิวไม่ได้ตอบกลับอะไรแค่ยิ้มให้เฉย ๆ พอกลับมาถึงโต๊ะทุกสายตาก็พุ่งเป้ามาทางฉันทันที
พลอย : หืม... อะไรยังไงซิ
แอม : เล่ามา
เอม : ให้ไว!
กิ๊บ : มีความลับอะไรหรือเปล่า
“ใจเย็นพวกมึง เขาแค่ซื้อน้ำให้ เนี่ยสิบขวดครบแก๊งพอดี”
น้อง : และมึงคุยอะไรกัน
“เปล่า แค่ขอบคุณเขา”
มุข : ใช่เหรอกูเห็นยิ้มอยู่
“เออ... มึงอย่าจับผิดดิ”
ป๊อป : พวกกูไม่ได้จับผิดเลยคนอื่นเขาเห็นกันเยอะแยะบอกมาซะดี ๆ น้ำตาลอย่าให้กูสืบเองนะ
“เขาแค่ทักว่าผอมลง ก็แค่นี้”
“ผอมลงไม่ได้แปลว่าผอมแล้ว” ไอ้น้องมันพูดขึ้น ฉันไม่ได้ตอบอะไร แค่สบตากับไอ้หมูเท่านั้นเพราะมันเองก็อยู่ด้วยและรับรู้ว่าฉันพูดความจริง
“เออ แต่มึงก็ผอมลงจริง ๆ นั่นแหละ” ไอ้พลอยเสริมขึ้นมาอีกคน
“เหรอวะ ข้าก็ไม่ได้ลดน้ำหนักนะ แดกกระจาย”
เลิกสนใจเรื่องนี้แล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวกัน บนโต๊ะอาหารก็จะเต็มไปด้วยเรื่องราวที่หยิบยกมาพูดระหว่างปิดเทอมกันค่ะ
หลังจากกินข้าวเสร็จก็มาสิงอยู่หน้าห้องน้ำต่อ ไม่รู้เป็นอะไรต้องมาเข้าห้องน้ำตอนพักเที่ยงทุกวันเลย
“ช่วยด้วย... ไปมินิมาร์ทเป็นเพื่อนหน่อยสิ” ไอ้มุขโผล่หัวออกมาจากในห้องน้ำ
“อย่าบอกนะว่าเป็นวันแดงเดือด”
“ถูกต้อง! มุขไม่ได้เตรียมผ้าอนามัยมา”
“เอาเงินมา เดี๋ยวไปซื้อให้ก็ได้”
“เอาแบบมีปีกนะ”
“เออ” พยักหน้ารับอย่างเข้าใจก่อนจะเดินกลับเข้าไปในโรงอาหารอีกครั้ง มินิมาร์ทมันอยู่หน้าโรงอาหารน่ะ
ระหว่างรอจ่ายเงินกลุ่มพี่ทิวก็เดินเข้ามาซื้อขนมเช่นกันค่ะ
“ทิวกินไร เดี๋ยวเราซื้อให้”
“ไม่อ่ะ”
“อ้าว ไม่อยากกินขนมแล้วเข้ามาทำไม”
“ไม่ต้องยุ่ง!” โอ้โห ปากร้ายใช่ย่อยค่ะ พี่ผู้หญิงคนนั้นถึงกับเบะปากใส่เลยทีเดียว
พอจ่ายเงินเสร็จ จังหวะที่จะออกคือคนเยอะพอสมควร มันก็เบียดกันบ้างค่ะ พี่ทิวเอาขนมใส่กระเป๋าเสื้อฉันแล้วเขาก็เดินนำออกไปเลยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หยิบขึ้นมาดูมันเป็นคุกกี้ค่ะ แบบเดียวกับที่ให้ฉันเมื่อวันกีฬาสีเลย เห็นแบบนั้นฉันจึงหันไปดูที่ชั้นขนมว่ามีแบบนี้ขายไหม ปรากฏว่าไม่มีค่ะ ...
“อยู่กับความเป็นจริงหน่อยนะ สภาพแบบนี้ทิวมันไม่มองหรอก”
“ทำตัวเองให้เหมือนคนก่อนดีกว่า ฮ่า ๆ ”
“...” เสียงหัวเราะค่อย ๆ ห่างหายไปพร้อมกับความรู้สึกมากมายในใจฉัน
ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ถูกต่อว่าแบบนี้จากคนอื่น นึกว่าตัวเองสวยมากหรือไงถึงได้เอาแต่ด่าคนอื่นอยู่ได้
“ช่างแม่งมันเหอะ อย่าไปสนใจ” ไม่รู้ว่าไอ้จูนตามมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่มันคงเห็นและได้ยินหมดแล้ว
“พี่เขาก็พูดถูกแหละ สภาพกูอย่างกับครึ่งผีใครจะมามอง”
“ดูถูกตัวเองเกินไปแล้วมั้ง เดี๋ยวโตไปก็สวยเองแหละ”
“แต่เราต้องอยู่กับความเป็นจริงไม่ใช่เหรอ”
“ก็ใช่! มึงจะคิดมากกับคำพูดคนอื่นไปเพื่ออะไร ก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าพี่ทิวเอามาให้เอง มึงไม่ได้ไปตามวอแวเขาสักหน่อย มีแต่พวกอิจฉาเท่านั้นแหละที่เป็นเดือดเป็นร้อนน่ะ”
“...”
ฉันพยายามที่จะไม่สนใจคำพูดของใคร แต่มันก็อดน้อยใจไม่ได้จริง ๆ อ้วนก็รู้ตัวค่ะ ดูไม่ได้เลยก็รู้ตัวเหมือนกัน ก็แค่แอบชอบมันจะเดือดร้อนชีวิตใครนักหนา ...