วันแรกของการปิดเทอมใหญ่ ฉันตั้งปณิธานกับตัวเองไว้เลยว่าจะต้องทำให้ได้ นั่งมองคนในกระจกพลางสำรวจตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้า ทั้งสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ ไหนจะรอยสิวอีกยอมอดค่าขนมเพื่อเก็บเงินไปซื้อครีมบำรุงผิว อันไหนที่เขาว่าดีอีนี่ก็กวาดมาหมดค่ะ ที่เห็นผลชัดเลยคือรอยสิวรอยแผลเป็นบนใบหน้าที่จางลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วงหนึ่งเดือนแรก เรื่องการลดน้ำหนักก็เหมือนกันกว่าจะหักห้ามใจเลิกกินขนมได้แทบลงแดงเลยทีเดียว จากที่ไม่ชอบกินผักก็ต้องฝืนใจกินโดยเฉพาะมื้อเย็น ไม่กินเลยคืออยู่ไม่ได้ กินน้อยก็ไม่อยู่ท้องอีก ความจริงถ้าน้ำหนักไม่ลดฉันก็ไม่ซีเรียสนะคะ แต่อย่าขึ้นอย่างเดียวก็พอ อ๋อ! แล้วฉันก็เล่นฮูล่าฮูปวันละหนึ่งถึงสองชั่วโมงด้วยนะ ทำแบบนี้ทุกวันจนกระทั่งถึงวันเปิดเทอม...
มัธยมศึกษาปีที่สาม
“เชี่ย! กูไม่ได้ตาฝาดแน่ ๆ ”
“สวยขึ้นเยอะเลย”
“มึงเป็นใคร!! ออกจากร่างเพื่อนกูไปเดี๋ยวนี้นะ”
“ยัง... ยังไม่เลิกเล่นกันอีก” ฉันว่าพลางมองหน้าพวกมันสามคนอย่างเอือมระอา
“ตาลมึงสวยขึ้นจริง ๆ นะพูดแบบไม่อวยเลย ดูดีขึ้นมากอ่ะ” ไอ้จูนค่ะ ไม่พูดเปล่ามันยังจับฉันหมุนไปมาอีกด้วย
“จริง! คนละคนกันเลย”
“ว้าวมากแม่!”
ไอ้หมูกับไอ้พลอยเสริมขึ้นมาอีก ฉันก้มมองตัวเองมันก็ปกตินะคะ หรือว่าฉันชินกับตัวเองอยู่แล้วก็ไม่รู้
เป็นการมาเรียนที่ทำให้รู้สึกใจหายไม่น้อยเลย เพราะอีกแค่ไม่นานทุกคนก็ต้องแยกย้ายกันไป รวมไปถึงใครคนนั้นก็ด้วย
“มึงคาดหวังให้พี่ทิวสนใจถึงขนาดต้องลดน้ำหนักเลยเหรอ” คำถามนี้ฉันไม่ลังเลที่จะตอบเลยด้วยซ้ำ
“เปล่า กูอยากสวยเพื่อตัวกูเองบ้างไม่ได้เหรอน้อง ใคร ๆ เขาก็ต้องดูแลตัวเองกันเปล่าวะ”
“เชื่อตายแหละ! เฝ้ามองเขามาสองสามปีไม่คาดหวังเลยสิแปลก”
“แล้วแต่... กูพูดให้ฟัง ไม่ได้พูดให้เชื่อ” เลิกสนใจมันแล้วพากันเดินเข้าโรงเรียนตามปกติ
แต่ระหว่างทางรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกจ้องมองอยู่ตลอด หันไปมองรอบตัวก็ไม่มีใครนะคะจนกระทั่งเห็นซุ้มไม้ที่มีคนกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่
“ลงทุนฉิบหาย”
“ฮ่า ๆ คิดว่าทิวจะต้องชอบมึงจริง ๆ ใช่ไหม” น้ำเสียงเย้ยหยันดังมาจากด้านหลังก่อนจะเดินนำหน้าพวกเราไป
“คนที่ใช่ไม่ต้องใช้ความพยายาม เนอะ!!” ไอ้จูนพูดลอย ๆ ขึ้นมา ฉันรู้ว่ามันจงใจให้ประโยคนี้กระแทกเข้าไปในโสตประสาทของใครบางคน และมันได้ผลค่ะ หันกลับมามองตาแทบปริ้น ฮ่า ๆ
“มึงจะออกตัวแรงตั้งแต่วันแรกไม่ได้นะ”
“ไม่แคร์โว้ย! เป็นพี่มอสามแล้วจะทำอะไรก็ได้”
“อีสัส ห้าวแต่หัววันเลย”
“ฮ่า ๆ ”
หยอกล้อกันตามประสาเพื่อนจนถึงซุ้มไม้ที่ใครบางคนนั่งอยู่ ฉันทำเป็นไม่เห็น ไม่สนใจแล้วพูดคุยหัวเราะกับไอ้จูนต่อ แต่หางตาก็แอบเหล่มองเหมือนกันนะคะ พี่ทิวเขาดูดีขึ้นมากเลย แต่แววตายังนิ่งเหมือนเดิม
“กูรู้สึกว่าเทอมนี้ใครบางคนจะงานเข้านะ”
“บ่นไรมึงไอ้ริว”
“เสือก!”
“ไอ้สัส! ถามนิดถามหน่อยก็ไม่ได้”
ไม่ได้หยุดฟังนะคะมันลอยเข้ามาในหูเอง แต่ช่างเถอะ! ฉันไม่อะไรแล้วแหละ
ถึงเวลาเข้าแถว แน่นอนว่ากรรมการนักเรียน ประธานนักเรียนจะต้องถูกเลือกใหม่ทั้งหมด พี่ริวลงสมัครเป็นประธานนักเรียนด้วยค่ะ ส่วนอีกสองคนเป็นผู้หญิง เขาให้ส่งตัวแทนห้องละหนึ่งคน
บรรยากาศมันก็จำเจเหมือนเดิมนั่นแหละ หรือเป็นเพราะฉันไม่ได้โฟกัสตรงนั้นเหมือนเมื่อก่อนแล้วก็ไม่รู้นะ
“ตาล ขอเบอร์หน่อยดิ” เกมส์เพื่อนผู้ชายร่วมห้องมันพูดขึ้น
“สามแปด”
“อะไรวะสามแปด?”
“เบอร์รองเท้า”
“ชั่วร้ายมาก!”
“ใครขอ?” ฉันถามออกไปตรง ๆ เพราะเป็นเพื่อนกันมานาน ไม่ใช่มันแน่นอน
“บอกก็รู้อ่ะดิ ”
“กวนตีน”
เลิกสนใจมัน พอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีพี่ทิวก็มายืนอยู่ตรงหน้าแล้วค่ะ บัตรที่แขวนคอเขาอยู่บ่งบอกให้รู้ว่านี่คือกรรมการนักเรียน
“อย่าคุยกัน”
“...” พยักหน้ารับอย่างเข้าใจก่อนจะตั้งใจฟังสิ่งที่อาจารย์ชี้แจงอยู่ พูดโคตรนาน ใจคอจะพูดวันนี้ให้หมดทุกเรื่องเลยมั้ง ไม่ได้ขี้เกียจนั่งฟังหรอกแต่แดดมันร้อนค่ะ อาจารย์จะพูดกี่ชั่วโมงก็ได้เพราะตัวเองอยู่ในร่มไง
พอเลิกแถวก็แยกย้ายกันเข้าห้อง แจกตารางเรียนกันตามปกติ วิชาแรกภาษาไทยค่ะ ระหว่างเปลี่ยนคาบเรียนก็เดินผ่านห้องวิชาการที่ตอนนี้กำลังประชุมกรรมการนักเรียนกันอยู่
“แวะมองได้นะเดี๋ยวพวกกูรอ”
“มึงก็มองไปคนเดียวดิ”
“จ้า ๆ แม่คนเก่ง”
“วันนี้มึงกวนตีนกูมากนะจูน”
“ก็...”
“ ไหนเบอร์อ่ะ” ไอ้แกรมค่ะ หมอนี่มันเป็นนักดนตรีของโรงเรียนอยู่ห้องหนึ่ง ไม่รู้ว่ามันพรวดพราดมาจากไหน
“เบอร์เรา?”
“เออดิ ให้ไอ้เกมส์มาขอไม่ได้เรื่องเลย”
“ยังไม่ให้ได้ป่ะ”
“ได้ดิ แต่แอดHiไปรับเพื่อนด้วยนะ”
“อืม” ตอบกลับมันยิ้ม ๆ ก่อนจะแยกกันคนละทาง
“กูสัมผัสได้ถึงสายตาอัมหิต”
“น่ากลัวฉิบหาย”
เสียงไอ้หมูกับไอ้จูนพูดตามหลัง ฉันไม่ได้สนใจฟังค่ะ ก้มหน้าก้มตาเดินขึ้นตึกไป
ตัดมาตอนเลิกเรียนเลยแล้วกันนะคะ แยกกับเพื่อนฉันก็เดินออกทางประตูหลังเหมือนเดิม แต่วันนี้เส้นทางเปลี่ยนนิดหน่อยเพราะว่าต้องมาเอาชุดที่แม่ตัดไว้ใกล้ ๆ โรงเรียนน่ะ
“ต้องหลบหน้าขนาดนี้เลยหรือไง” น้ำเสียงคุ้นหูเอ่ยขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะเดินออกมาจากหลังกำแพง
“ใครหลบคะ ทำไมหนูต้องหลบหน้าพี่ด้วย”
“พี่ถามเราอยู่นะ ไม่ได้ให้เรามาย้อน”
“...”
“คำพูดคนอื่นมันมีผลต่อความรู้สึกมากขนาดนั้นเลยเหรอถึงต้องทำอะไรแบบนี้”
“ใช่ค่ะ! มันมีผลต่อความรู้สึกของหนูมาก พี่ไม่ได้เป็นฝ่ายถูกต่อว่านี่พี่จะรู้สึกอะไร”
“...” พี่ทิวถอนหายใจออกมาเบา ๆ เหมือนกำลังระงับอารมณ์ตัวเองอยู่ “แล้วจะไปไหน ปกติรอรถตรงโน้นไม่ใช่เหรอ”
“ไปเอาชุดให้แม่ที่ท้ายตลาดค่ะ”
“อืม ไปสิ เดี๋ยวเดินไปเป็นเพื่อน”
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูไปคนเดียวได้”
“จะห้าโมงเย็นแล้วนะ มองดูรอบ ๆ ว่ามันมีคนหรือเปล่า”
“...” กวาดสายตาไปรอบบริเวณมันไม่มีใครจริง ๆ ค่ะ คือโรงเรียนมันติดกับวัดไง ถัดจากวัดก็จะเป็นตลาดแล้วร้านตัดเสื้อมันก็อยู่ในตลาดอีกที แน่นอนว่าบรรยากาศมันวังเวงแม้ว่าฟ้าจะสว่างก็ตาม
ระหว่างทางเดินพวกเราเงียบมาก ฉันแอบได้ยินเสียงพี่ทิวลอบถอนหายใจออกมาอยู่หลายครั้งจนต้องหันไปมอง เหมือนว่าเขาจะอึดอัดนะคะ ความรู้สึกมันบอกแบบนั้น
“คุยกับใครอยู่เหรอตอนนี้”
ตึกตัก! ตึกตัก!
“คบกับใครอยู่หรือเปล่า” คำถามตรง ๆ ของพี่ทิวทำเอาใบหน้าฉันร้อนเห่อขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ทำไมต้องรู้สึกหวั่นไหวกับผู้ชายคนนี้ด้วยนะ
“ไม่ได้คุยค่ะ ไม่ได้คบกับใครด้วย” พี่ทิวไม่ได้ตอบอะไรแค่อมยิ้มออกมาเท่านั้น ความตั้งใจของฉันจะมาพังไม่เป็นท่าเพียงเพราะรอยยิ้มของผู้ชายคนนี้ไม่ได้นะ เขาไม่ได้บอกว่าชอบเราสักหน่อย อย่าหลงตัวเอง อย่าคิดไปเอง ฉันเตือนตัวเองแบบนี้เสมอ