“แล้วแสงสว่างที่พระองค์ต้องการคืออะไรหรือพะย่ะค่ะ?”
เนเฟอร์ติตีจำกล้ำกลืนบางอย่างกลับเข้าไปในพระอุระ เมมนอนไม่มีวันเข้าใจว่าการเป็นเจ้าฟ้าผู้สูงศักดิ์บางครั้งก็มิใช่เรื่องง่ายที่จะกระทำตามใจทุกเรื่อง
“แสงสว่างชั่วชีวิต...คือความรักที่ข้ามีอำนาจตัดสินใจ...ด้วยตัวข้าเอง”
“องค์หญิง...”
เมมนอนอุทานเสียงแผ่ว ทั้งสองยังคงสบสายตาแนบนิ่งราว ณ ปัจจุบันขณะโลกทั้งโลกของเจ้าฟ้าหญิงผู้งดงามและราชองครักษ์หนุ่มต่างถูกดูดกลืนหายเข้าไปในห้วงเวลาของกันและกันกระนั้น
“แต่ท่านอาจตัดสินใจในเรื่องความรักได้อย่างเสรีกว่าข้า ท่านคงตัดสินใจเรื่องนี้ไปแล้ว กับสตรีนางใดนางหนึ่งในธีบส์”
คำตรัสคล้ายตัดพ้อและรอคำตอบในทีทำให้เมมนอนส่ายศีรษะน้อย ๆ ก่อนโน้มร่างสูงใหญ่เข้าไปเกาะกุมพระหัตถ์เรียวบางซึ่งถือคบเพลิงเอาไว้ เรือลำน้อยโยกไหวคล้ายดังขับกล่อมช่วงกาลอันชิดใกล้เหนือสายนทีแห่งไนล์ที่ยังไหลริน เจ้าของนัยน์เข้มราวเหล็กกล้าจ้องลึกลงไปในพระเนตรสีน้ำตาลลึกล้ำราวปรารถนาค้นหาบางอย่างที่ยังหลบเร้น
“พระองค์จักเชื่อหรือไม่...ก่อนหน้านี้ หม่อมฉันยังมิเคยตัดสินใจในเรื่องใด ๆ เกี่ยวกับสตรี... แม้เพียงนางเดียว”
สายลมวูบไหวไล้ลงบนพระเกศาสีน้ำตาลเข้มเหลือบทองแดงสะท้อนแสงสีเงินจากดวงจันทราเมื่ออาบด้วยความสุกสว่างจากคบเพลิง เนเฟอร์ติตีนิ่งงันโดยมิยอมขัดขืนแม้ยามนี้พระหัตถ์ยังอยู่ในการเกาะกุมของราชองครักษ์หนุ่มก็ตาม พระองค์รู้สึกอบอุ่นด้วยซ้ำที่ได้ยินเสียงลมหายใจหนักในระยะชิดใกล้ พระหทัยของเจ้าฟ้าหญิงเต้นไม่เป็นจังหวะในชั่วขณะที่สบสายพระเนตรกับเจ้าของนัยน์ตาเข้มคมที่ชอบแสดงทีท่าไม่แยแสสิ่งใดนอกจากหน้าที่ตามพระบัญชาขององค์ฟาโรห์
“แต่ในวันหนึ่งท่านอาจตัดสินใจได้ว่าจะเลือกนางใดมาเป็นคู่ครอง”
“หม่อมฉันเป็นข้ารับใช้ใต้ฝ่าพระบาทขององค์ฟาโรห์ หากมิได้ติดตามมหาราชออกสนามรบก็ยังต้องคอยรักษาความปลอดภัยให้พระองค์ถือเป็นหน้าที่อันสำคัญยิ่ง”
“และการต้องติดตามดูแลข้าในยามนี้...ก็เป็นแค่หน้าที่ของท่าน...เช่นนั้นหรือ?”
พระสุรเสียงอันเว้าวอนนั้นยิ่งทำให้เมมนอนทุกข์ทรมานหัวใจยิ่งนัก เขามิเคยหวั่นไหวต่อสตรีใดและมินึกคาดฝันตนเองว่ากำลังถลำเข้าสู่ห้วงแห่งความเสน่หาในดวงดาราที่อยู่สูงยิ่ง ชายหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะคลายมือออกและดึงด้ามคบเพลิงออกจากพระหัตถ์เรียวบางด้วยความนุ่มนวล
“ขออภัย...กระหม่อม”
ราชองครักษ์หนุ่มถอยห่างออกมานั่งที่เดิมหากทว่าสายตายังคงจับจ้องไปยังร่างบอบบางภายใต้ผ้าคลุมซึ่งพระพักตร์อันผ่องผุดดูเรื่อเรืองใต้แสงเงินยวงผินออกไปยังเวิ้งน้ำอันลึกล้ำจนมิอาจหยั่งคะเนได้เบื้องหน้า
“เมมนอน...” เสียงตรัสแผ่วเบาลอดออกมาจากโอษฐ์อิ่มสีกุหลาบก่อนจะหันกลับมายังผู้ซึ่งคอยสดับฟังขณะดวงนั้นเต้นเร็วดังกลองรัวเมื่อเจ้าฟ้าหญิงทรงพรั่งพรูความนัยออกมา
“หากข้ามิใช่เจ้าหญิงแห่งธีปส์...ข้าก็คงรักบุรุษผู้ไร้ศักดินาได้ ฤาแม้หากข้าปรารถนาจักรัก ฐานันดรใด...ก็มิอาจขวางกั้น”
เมมนอนก้มหน้าลงเบื้องต่ำ ไม่กล้าแม้แต่จะสบสายพระเนตรอ่อนหวานคู่นั้นด้วยกริ่งกลัวเหลือเกิน กลัวหัวใจที่ไร้แรงฉุดรั้งจะหลากไหลไปประดุจสายน้ำ
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
“น่าแปลกใจนัก ใยหนอวันนี้องค์หญิงเนเฟอร์ติตีของคูอิตจึงตื่นบรรทมหลังเทพราเยี่ยมทิวาเหนือนครธีปส์”
เสียงพระนมกระเซ้าเจ้าหญิงซึ่งเพิ่งหยัดพระวรกายขึ้นจากแท่นบรรทมในยามสายที่แสงแดดเริ่มแผดแรงสาดเข้ามาภายในตำหนักสว่างจ้า หญิงวัยกลางคนวางภูษาทอจากลินินและด้ายทองคำอันเป็นฉลองพระองค์ไว้ในขณะสนมนางในเดินเข้าออกขวักไขว่เพื่อเตรียมสิ่งของไว้ให้ธิดาแห่งเจ้าเหนือหัว เนเฟอร์ติตีแย้มสรวลกลบเกลื่อนการณ์เมื่อราตรีพ้นผ่านที่นางแอบหนีออกไปนอกพระราชวังกับราชองครักษ์หนุ่ม ความรู้สึกบางอย่างที่เริ่มแทรกตัวเข้าไปอยู่ในพระทัยบัดนี้ได้เข้าเกาะกุมสำนึกและเสมือนทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ นางบอกตัวเองไม่ได้ว่ามันคืออะไร เริ่มเกิดขึ้นแต่เมื่อใดและใยจึงตื่นเต้นทุกคราที่ระลึกถึง ไม่ว่ายามบรรทมฤาตื่นก็จะเห็นใบหน้าเข้มคมของบุรุษผู้ต้องติดตามถวายการอารักขาและเหนืออื่นใดความตื้นตันอันประหลาดนั้นเป็นเหตุให้พระพักตร์ของนางระเรื่อขึ้นจนพระนมเห็นก็ให้เริ่มสงสัย
“ทรงมีนิมิตดีหรือเพคะ องค์หญิง?”
“หืม...” เนเฟอร์ติตีขมวดพระขนงราวกับไม่เข้าพระทัยในความหมายของคำถาม “นิมิตหรือ คูอิต? เรามิได้มีนิมิตอันใด แต่เราหลับอย่างมีความสุขในราตรีที่ผ่านมา”
“ดีแล้วเพคะ...ถ้าเช่นนั้น ทูลกระหม่อมต้องรีบสรงน้ำและเปลี่ยนฉลองพระองค์เพื่อจะได้นำดอกบัวไปถวายเทวีมัตที่วิหารคาร์นัก”
“เราจะรีบให้ทันเวลาของเจ้า...คูอิต”
เจ้าหญิงโคลงพระเศียรเบา ๆ เพื่อขับไล่ความง่วงงุนก่อนจะลุกขึ้นและปล่อยให้นางสนมเข้ามาจัดแจงกับฉลองพระองค์ตามหน้าที่ที่ต้องปรนนิบัติรับใช้ ฟ้าหญิงแห่งธีปส์ปรารถนาให้เวลาเคลื่อนผ่านไปโดยเร็ว ตราบจนทุกอย่างเรียบร้อยนางจึงเสด็จออกจากตำหนักโดยมีพระนมและนางสนมซึ่งคอยถือดอกบัวพร้อมเครื่องบูชาตรงไปยังวิหารทางใต้ของเขตสีมาร์แห่งคาร์นัก เนเฟอร์ติตีอดไม่ได้ที่จะหันไปสบสายพระเนตรบ้างเป็นครั้งคราวกับราชองครักษ์ซึ่งเดินตามมามิได้ เมมนอนยังคงดูเครียดขึ้งตามหน้าที่ของผู้ถวายการอารักขา องครักษ์หลวงแห่งฟาโรห์เจ้าของเรือนร่างกำยำสูงใหญ่กุมดาบโง้งคมกริบที่เหน็บไว้ข้างกายตลอดเวลา แม้ใบหน้าถมึงทึงทว่านัยน์ตาเข้มกลับมีประกายอ่อนโยนยามทอดมองไปยังสตรีผู้สูงส่งเบื้องหน้า