อินถวา พักอยู่ที่ บ้านมหาดำรง สามวันแล้ว เช้าวันที่สี่ พี่สาวทั้งสองของสร้อยสน อยากให้สร้อยสน และยี่หวาเข้าไปดูงานในโรงงาน เพื่อเป็นแนวทาง ครอบครัวมหาดำรง ไม่บังคับว่าลูกสาวคนเล็กอยากทำอะไร พร้อมที่จะสนับสนุนทุกอย่าง ยี่หวามีโอกาสได้เดินทางไปที่โรงงานด้วย เป็นโรงงานทอผ้าลูกไม้ ขนาดใหญ่มาก และยังมีโรงงานผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูป เสร็จจากการดูงานที่โรงงานในรอบเช้าแล้ว ทุกคนแวะไปรับประทานอาหารที่ร้านประจำ ภารดีและพิณสุดา พี่สาวของสร้อยสน นัดลูกค้าไว้
“สร้อย ยี่หวา อยากกินอะไรก็สั่งได้เลยนะ ระหว่างนี้พี่จะคุยงาน”
“ขอบคุณมากค่ะพี่ภารดี “สองสาวกล่าวขอบคุณพร้อมกัน และแยกออกไปนั่งลำพังสองคนที่โต๊ะใกล้ๆ
“ยี่หวา ยี่หวา เงยหน้าหน่อย ”สร้อยสนเรียกเพื่อนที่กำลังตั้งใจดูรายการอาหาร
“อะไรหรือสร้อยสน”
“นี่สร้อยสนจะแนะนำ พี่ชายคนเดียวของเรา พี่ภาสกร”
อินถวา ลุกขึ้น และยกมือไหว้คนที่สร้อยสนบอกว่าเป็นพี่ชาย นึกแปลกใจว่า อยู่ๆ ทำไมสร้อยสนมีพี่ชาย สร้อยเคยเล่าให้ฟังว่า มีพี่สาวสองคน ไม่เคยเล่าให้ฟังว่ามีพี่ชาย ช่างเถอะ พี่เพื่อนไม่ใช่พี่เธอ ไม่เกี่ยวกัน
“สวัสดีคะ”อินถวายกมือไหว้ผู้ชาย ที่เพื่อนบอกว่าเป็นพี่อย่างนอบน้อม
“พี่ภาษ นี่คืออินถวา หรือยี่หวา เพื่อนสนิท และดีที่สุดของสร้อยค่ะ”
“สวัสดีครับ เพื่อนสร้อยสนเหรอ ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ หน้าเข้ม ตาดุ ขนตางอน ดูท่าว่าเขาไม่ได้สนใจที่เธอยกมือไหว้เท่าไหร่ รับไหว้แล้วก็นั่งลงคุยงานกับพี่ภารดี พี่พิณสุดาต่อ
ดูท่าว่า สามคนที่นั่งคุยงานกัน จะมีเรื่องคุยกันยาวนานมาก ดูจากเอกสาร และแบบ งานต่างๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะ
“สร้อยสนกับยี่หวา กินข้าวกันไปก่อนเลยนะ พี่คุยงานกับพี่ภาษยังไม่เสร็จง่ายหรอก ไม่ต้องเกรงใจ หรือจะไปเดินดูของก่อนก็ได้นะ ”
“รับทราบค่ะพี่รดี พี่สุดา” สร้อยสนรับคำพี่สาว และหันกลับมากินข้าวกับยี่หวาต่อ
สองสาวนั่งกินข้าว และต่อด้วยขนมหวาน ส่วนมากเป็นสร้อยสนที่ปลอบใจ และให้กำลังใจยี่หวามากกว่า เพราะเห็นว่า เพื่อนสาวมีทีท่าเป็นกังวล กับเรื่องทางบ้านมาก
“ยี่หวาเราเดินไปดูของทางโน้นไหม สร้อยเห็นร้านมาเปิดใหม่ น่ารักดี”
“บอกพี่เขาก่อนไหมสร้อย เผื่อเราไปนาน”
“ก็ได้ๆ พี่ๆคะ เดี๋ยวสร้อยกับยี่หวาไปเดินดูของสักครู่นะคะ เดี๋ยวมาค่ะ”
" แป๊ปเดียวค่ะ สร้อยแค่อยากไปดูกระเป๋า เสร็จแล้วจะรีบกลับนะคะ"
"อย่าไปนานนะ ซื้อของเสร็จแล้วก็รีบมา "ภาสกรกำชับน้องสาวคนเล็ก
"ได้ค่ะ ไม่นานหรอกค่ะพี่ภาษ เสร็จแล้วเราจะรีบกลับนะคะ" สองสาวรีบเดินไปยังร้านที่สร้อยสนหมายตาไว้
“ยี่หวา ฉันอยากได้กระเป๋าใบนั้น ดูสวยดี คล้ายของยี่หวาเลยอ่ะ”
สร้อยสนชี้มือให้ยี่หวาดู ร้านที่มาเปิดใหม่ ต้องเดินเข้าซอยไปในตรอกเล็กๆ กระเป๋าผ้าคล้ายย่ามใบใหญ่ สร้อยสนเห็นยี่หวามีอยู่แล้วหนึ่งใบ เธออยากมีบ้าง สร้อยสนชอบสไตล์การแต่งตัวของยี่หวา ใส่แนววินเทจ ยี่หวาชอบมีเสื้อผ้าแปลกๆ มาใส่ตลอด บอกว่าเป็นเสื้อของแม่
“ลองไปดู แต่....สร้อยสน อย่าดีกว่า ไม่ค่อยปลอดภัย กลับกันเถอะเร็ว”
“อะไรยี่หวา " สร้อยสนตกใจที่อยู่ๆ ยี่หวาลากแขนเธอให้ออกมาจากที่ตรงนั้นอย่างรวเเร็ว
“สร้อยสน จำไว้นะ ว่าอย่ามาที่ตรงนี้อีก ถ้าอยากได้กระเป๋ามาก เดี๋ยวยี่หวาพาไปซื้อเลย มีร้านที่รู้จัก แต่เราต้องกลับไปบอกพี่ๆเขาก่อน”
“ได้ๆ ไปบอกพี่ๆกัน” สร้อยสนตกใจกับท่าทางของยี่หวา เกิดอะไรขึ้น ยี่หวาเห็นอะไร?
“ยี่หวาเบรค เห้อ...เกือบแล้วไหมล่ะ” สร้อยสนตกใจ ที่เมื่อใกล้ถึงโต๊ะที่พี่ๆ เธอนั่งอยู่ ยี่หวาผลักเธอแรงมาก จนเธอถลาเข้าไปหาพี่ชาย
“เป็นอะไรกันสาวๆ มีอะไรหรือเปล่า”ภารดีหันมาถามสร้อยสน และอินถวา เมื่อเห็นว่ายี่หวาลากแขนสร้อยสนมาแบบหน้าตาตื่น และผลักร่างสร้อยสนให้เข้าไปหาภาสกรอย่างเต็มแรง
“สร้อยสนมาตรงนี้”เสียงของภาสกรดัง เขาลุกขึ้นยืนทันที ที่ยี่หวาผลักร่างของสร้อยสนให้มาหาเขา ภาสกรมีสีหน้าตื่นตกใจมาก แต่แค่แป๊ปเดียวเท่านั้น
ในขณะที่ภารดีและพิณสุดา ตกใจที่อยู่ๆ อินทวาลากแขนของสร้อยสน เหมือนวิ่งหนีอะไรมา และเมื่อมาใกล้ๆโต๊ะ ที่พวกเธอนั่งคุยงาน อยู่ๆ อินทวาก็ผลักหลังของสร้อยสนให้มาที่โต๊ะ โดยมีภาสกรลุกขึ้นรับร่างของสร้อยสนไว้ แล้วยืนบังให้ไปอยู่ด้านหลังของเขา ขณะเดียวกัน อินทวาหันหลังกลับ ยืนนิ่งหลังตรง ทุกคนเห็นกับตา เมื่อตู้ปลาที่อยู่ด้านหลังโต๊ะที่ทุกคนนั่งอยู่ อยู่ๆ แตกกระจาย น้ำและปลากระเด็นออกมา เหมือนมีสิ่งของหรืออะไรสักอย่าง มากระแทกทำให้แตก พนักงานในร้านตกใจรีบวิ่งเข้ามาเก็บ และทำความสะอาดทันที
“อินทวา”เสียงของภาสกรดังขึ้นหลังจากที่ยี่หวายืนอยู่ในท่านั้น เกือบสิบนาที
ยี่หวาหันกลับมา หายใจหอบแรง ท่าทางเหนื่อยมาก หญิงสาวค่อยๆหย่อนตัวนั่งลงที่เก้าอี้ สร้อยสนหายตกใจ เข้ามาจับมือยี่หวาทันที
“ยี่หวา เกิดอะไรขึ้น นี่เราหนีอะไร แล้วทำไม โอ้ย...สร้อยงงไปหมดแล้ว”
“เธอเห็นพวกที่เคยทำร้ายสร้อยสนใช่ไหมอินทวา”เสียงภาสกรถามยี่หวาดังขึ้น
“ใช่ค่ะใช่ ยี่หวาเห็นพวกเขา เลยรีบพาสร้อยวิ่งหนีค่ะ ขอโทษนะคะที่ทำให้พี่ๆตกใจ”
อินทวารีบรับมุขของภาสกร เธอไม่อยากให้พวกสาวๆ สามคนตกใจและตื่นกลัว แต่แปลกใจกับท่าทางของภาสกร เหมือนเขารู้ว่าเธอหนีอะไรมา
“แล้วนี่เป็นยังไง หนีพ้นแล้วใช่ไหม พวกมันไม่ตามมาใช่ไหม”พิณสุดารีบถามสองสาว
“ปลอดภัยแล้วค่ะ ยี่หวาว่าเรา รีบกลับบ้านกันดีกว่าไหมคะพี่ๆ”
“ไปทุกคน เดี๋ยวไปคุยกันต่อที่บ้านพี่ดีกว่า”
ภาสกรชวนทุกคนกลับบ้าน ใจเขายังเต้นไม่หายหันไปมองหน้าอินทวา ผู้หญิงคนนี้หน้านิ่งมาก เขานึกสงสัยอยู่ในใจ
“ยี่หวาเดินนำหน้าไปพร้อมสร้อยสน พี่จะตามหลัง เร็วเข้า” ภาสกรออกคำสั่ง น้ำเสียงร้อนรน
ยี่หวาไม่ได้หูฝาดแน่ เสียงของภาสกรกระซิบอยู่ใกล้หูเธอ เธอรู้สึกถึงพลังงานบางอย่าง ทำให้ตัดสินใจรีบจูงแขนสร้อยสนไปที่รถของภาสกรทันที
“ยี่หวา รู้ได้ยังไงว่ารถของพี่ภาษคันนี้ “สร้อยสนสงสัย
“เอ่าก็ระดับพี่ชายสร้อยสน จะขับรถคันเล็กได้ยังไง พี่เขาตัวใหญ่ ต้องรถใหญ่ๆแบบนี้แหละ”
“เหรอ สร้อยสนเพิ่งรู้นะ ว่ายี่หวาก็เดาเก่งเหมือนกัน”
“ยี่หวานั่งหน้ากับพี่ภาษไปนะ เดี๋ยวพี่สามคน นั่งหลังไป ดูท่าทางสร้อยยังตกใจไม่หาย"
ภารดีและพิณสุดา รู้สึกถึงความไม่ปกติของอินถวา หน้าตาของอินทวาตอนที่ผลักหลังของสร้อยสนให้เข้าไปหาภาสกร เหมือนกับเป็นการผลักให้สร้อยสนหนีอะไรบางอย่าง พอสร้อยอยู่ข้างหลังภาสกรแล้ว เธอตาไม่ฝาดแน่ อินถวาหันหลังให้พวกเธอ แล้วยกมือพนม หลับตานิ่ง ที่เธอเห็นเพราะเธอยืนอยู่เยื้องๆ ทำให้เห็นว่ายี่หวาทำอะไรบ้าง และอะไรมากระแทกตู้ปลา ถึงได้แตกกระจายขนาดนั้น สองสาวสับสนมาก งงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อครู่
ระหว่างที่ขับรถกลับบ้าน ภาสกรสังเกตเห็นคนที่นั่งข้างๆ ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าย่ามใบใหญ่ หันหน้าออกนอกรถ ทำปากขมุบขมิบ ลักษณะอาการเหมือนนับอะไรสักอย่าง กระทั่งถึงบ้านของเขา อินถวาหยุดนับ ชายหนุ่มถอนใจอย่างโล่งอก เหตุการณ์เมื่อสักครู่ เขาคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องธรรมดา แรงเหลือเกิน ถ้าเขาไม่อยู่ อินถวาจะรับไหวไหม รู้สึกเห็นใจคนข้างๆ คงต้องมีเรื่องคุยกันยาว
“พี่ภาษสร้างออฟฟิศใหม่เหรอคะ พวกเราไม่ได้มานานเลย”ภารดีส่งเสียงดังเมื่อถึงบ้านพี่ชาย
“ใช่ เสร็จเมื่อสองเดือนที่ผ่านมา คิดว่าถ้าทำบุญออฟฟิศใหม่จะเชิญทุกคนมาทำบุญร่วมกัน “
“น่าอยู่มากค่ะ เหมาะเลย พวกเราอยากทำบ้างจังของบพ่อสร้างเหมือนของพี่ภาษดีกว่า”
“ไม่แพงหรอก ถ้าสุุดา กับรดี อยากได้ ก็เอาแบบไป พี่เขียนเอง ยกให้เลย”
สามสาวเข้าไปสำรวจด้านใน ตื่นตาตื่นใจกับออฟฟิศใหม่ของพี่ชาย
อินถวา ค่อยๆ เดินไปที่ศาลพระภูมิเจ้าที่ และศาลพระพรหม หญิงสาวยกมือไหว้ ยื่นมือไปแตะที่ขอบศาลทั้งสอง พึมพำอะไรสักอย่าง ยิ้มเล็กน้อย ก่อนที่จะเดินตามสามสาวเข้าไปด้านใน ด้วยท่าทางผ่อนคลาย ทุกอิริยาบถของอินถวา ไม่รอดพ้นสายของภาสกรไปได้ เขาเดินผ่านทั้งสองศาลไปด้วยความยินดี
“สร้อยชอบที่นี่จังเลย กว้างขวาง ทันสมัยมาก หรือยี่หวา ว่าไง ชอบไหม ”
“ชอบ ที่นี่ร่มเย็น ทำมาค้าขายอะไรก็ดี มีแต่จะเจริญรุ่งเรือง ”
“พรุ่งนี้ยี่หวาจะพาสร้อย ไปซื้อกระเป๋าที่อยากได้นะ ไม่แน่สร้อยอาจชอบมากกว่าใบนี้ก็ได้”
อินทวาชวนสร้อยสนคุยเรื่องกระเป๋า เพื่อกลบเกลื่อนบางอย่าง เธอรู้ว่าเพื่อนอยากถาม แต่เธอไม่อยากตอบ”
“ที่นี่ทำอะไรเหรอสร้อย ดูเหมือนว่าข้างหลังเป็นโรงงาน”
“พี่ภาษทำน้ำหอม จากกุหลาบ และไม้กฤษณา ส่งต่างประเทศ”
โห...ดีจังเลย เหมาะมาก ทำเลดี ถึงว่าอยู่กับเครื่องหอมนี่เอง ถึงได้ใจดี หญิงสาวหมายถึงเจ้าที่เจ้าทาง ที่ทักทายเธอ และเธอก็ขออนุญาต เข้ามาด้านในแล้ว คนบางคนไม่เห็นก็ไม่ต้องขอ แต่คนเห็นต้องขอ เพราะไม่งั้น จะถือว่าบุกรุก เอาจริงๆ เธอไปอยู่ที่ไหนเธอก็ขอหมด เห็นไม่เห็นก็ขอ ตามมารยาท
“เอาล่ะ สาวๆ เดี๋ยววันนี้กินข้าวกันที่นี่นะ เย็นๆ พี่ไปส่งที่บ้าน จะได้แวะหาพ่อกับแม่เล็กด้วย”
“ได้เลยค่ะ ไหนคะน้ำหอมที่จะให้เทส ขนมาเลยค่ะพี่ภาษ”พิณสุดาเร่งพี่ชาย เธอชอบน้ำหอมมาก
“สร้อยสน กับอินถวา เข้าไปช่วยพี่ยกน้ำหอมหน่อย ตัวเล็กๆ น่าจะเหมาะ”
“ได้เลยค่ะ สร้อยก็ชอบน้ำหอม ไปยี่หวาไปกัน”
“ที่นี่เรามีห้องทดลองเอง ทำเองหมดทุกอย่าง “
ภาสกรเดินน้ำหน้าสองสาวเข้าไปในห้องทดลอง เล่าถึงรายละเอียดการทำงานต่างๆ ตั้งแต่ต้นกฤษณาเป็นต้น จนจบกระบวนการขาย สองสาวสนใจมากโดยเฉพาะยี่หวา เธอไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเอง เธออยากทำน้ำหอมจากกุหลาบ แล้วเธอก็บังเอิญมาเจอ โรงงานผลิตน้ำหอม อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น เธอคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติ
“ยี่หวา แน่ใจไหมว่าพวกนั้นจะไม่ตามมา”
“คะ คุณว่ายังไงนะคะ “อินถวาถามกลับแทบจะเป็นกระซิบ เพราะกลัวว่าสร้อยสนจะได้ยินสิ่งที่เธอคุยกับภาสกร
“เรียกพี่เหมือนที่เขาเรียกกัน นี่ถ้าพี่ไม่อยู่ตรงนั้นมิแย่หรอกรึ จะปกป้องได้ยังไงตั้งสามคน”
“เอ่อ....พี่ภาษ รู้ด้วยเหรอคะ”
“อย่ามาทำแกล้งพูด ถ้ายี่หวาไม่รู้ว่าพี่รู้ แล้วจะผลักสร้อยสนเข้ามาหาพี่ได้ยังไง”
“ขอโทษค่ะ พอดียี่หวาไม่แน่ใจ”
“ไม่แน่ใจได้ยังไง พี่รู้ว่ายี่หวารู้ตั้งแต่เห็นหน้าพี่ครั้งแรกแล้ว”
หญิงสาวถอนหายใจ เหนื่อยใจกับสิ่งที่เห็น ทั้งที่เธอไม่ได้อยากเห็นเลย
“ตรงนั้นวิญญาณแรงมากค่ะ เหมือนจะดึงดูดคนด้วย ยี่หวาพยายามห้ามหลายคน แต่สู้เขาไม่ไหวเลย และเขาโกรธมาก บอกว่าอย่ายุ่ง ยี่หวาเห็นท่าไม่ดี เลยพาสร้อยสนออกมา เขาจะดึงสร้อยสนนะคะพี่ภาษ ที่นี่พอจะมีพระหรือด้ายไหมคะ พอดีของยี่หวาหมด อยากให้สร้อยสนกับพี่ๆใด้ใส่ป้องกันตัวไว้”
“เดี๋ยวช่วยกันขนของพวกนี้ออกไปก่อน พี่หาให้ ขอร้องนะ ห้ามเล่าให้ทั้งสามคนฟังเด็ดขาด ว่าเจออะไรมา”
“ได้ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”หญิงสาวยกมือไหว้ภาสกร เธอรู้สึกได้ว่า อบอุ่นขึ้นมาก อย่างน้อยภาสกรก็แข็งแรงกว่าเธอมาก ช่วงเวลาที่ผ่านมา เธอไม่ค่อยได้สวดมนต์ แผ่เมตตา สะสมบุญ เพราะยุ่งกับการเตรียมสอบ
สองสาวช่วยกันขนกล่องใส่ขวดน้ำหอมสำหรับเทสออกมาที่ห้องนั่งเล่น ภารดี กับพิณสุดา กำลังรื้อเอกสาร ที่ทำค้างมาจากร้านอาหารมาดูอีกครั้ง สองพี่น้องชอบมาคุยกับพี่ชาย ชอบมาที่โรงงานนี้ เพราะจะได้น้ำหอมฟรีไปใช้ฟรี
ภาสกรเป็นลูกชายคนโตของคุณกำธร ที่เกิดกับคุณกัลยา คุณกำธรเลิกกับคุณกัลยา มานานหลายปี เลิกกันด้วยดี แต่ยังคงดูแลธุรกิจ และลูกร่วมกัน คุณกัลยาไม่ได้แต่งงานใหม่ เธอชอบชีวิตโสด ส่วนคุณกำธร พบรักใหม่กับคุณอาภรณ์ และแต่งงานกัน คุณอาภรณ์ มีฐานะอยู่่แล้ว ไม่ต้องการทะเบียนสมรส แต่งงานแล้วก็มีลูกด้วยกัน สามคน คือ ภารดี พิณสุดา และสร้อยสน คุณอาภรณ์เคารพนับถือคุณกัลยา ไม่เคยมีปัญหา ลูกๆก็รักกันดี สามสาวนับถือพี่ชาย ให้เกียรตินับถือว่าเป็นพี่ชายคนโต
สองสาวดูแลธุรกิจโรงงานเสื้อผ้า เวลาที่มีปัญหา ภาสกรก็จะเข้าไปช่วยดู กว่าเขาจะเก่งมาได้ขนาดนี้ ก็ผ่านมาเยอะพอสมควร โชคดี ที่สามารถรู้ก่อนล่วงหน้า ว่าทำอะไรถึงจะดี เขามีสัมผัสพิเศษบางอย่าง มาตั้งแต่ยังเด็ก ไม่มีใครรู้นอกจากพ่อและเขาสองคน พ่อส่งเขาไปบวชเพื่อเรียนและศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ กับพระอาจารย์ชื่อดังทางภาคเหนือ แรกๆเขาขัดขืน ไม่ยอมไป เพราะไม่อยากเห็น ไม่อยากทำ มีความรู้สึกว่า ไม่เป็นส่วนตัว แต่ยิ่งหนีเหมือนยิ่งต้องเจอ ดังนั้นเขาเลยตัดสินใจศึกษา และอยู่กับมันอย่างมีความสุข
ดวงวิญญาณที่สามารถช่วยได้ เขาก็ช่วย ช่วยเท่าที่ช่วยได้ วันนี้เขาได้เจอคน ที่มีความพิเศษเหมือนกับเขา อินถวายังเด็กมาก เขาเข้าใจ บางสิ่งบางอย่างเราไม่ได้อยากเจอ แต่ต้องเจอ บางสิ่งที่เราไม่อยากเห็น ก็ต้องได้เห็น ถ้าช่วยได้ก็มีความสุข ถ้าช่วยไม่ได้ก็เครียดไปกับวิญญาณ
ภาสกรไม่คิดว่า จะได้มาเจอคนพิเศษแบบตัวเอง อินถวาเข้มแข็งมาก ทั้งๆที่อายุแค่นี้ แสดงว่ารู้ตัวมาตั้งแต่เด็ก แน่นอนคนที่คอยบอกคอยสอนต้องเก่งมากๆ เขารู้ว่า กว่าจะผ่านแต่ละขั้นตอนมาได้ มันหนักหนามาก ชีวิตก็ไม่เป็นส่วนตัวเลย ไม่ค่อยมีเพื่อน ไม่ค่อยอยากไปไหนมาไหน ไม่อยากไปในที่ใหม่ๆ เพราะกลัวว่าจะต้องเจอกับวิญญาณที่ไม่เคยรู้จัก เพราะกว่าจะคุยกันรู้เรื่อง มันเหนื่อย วิญญาณบางตน พอรู้ว่าเรามองเห็นเขา ก็อยากให้เราช่วย บางตนหิว ไม่มีญาติพี่น้องทำบุญไปให้ เราก็ต้องทำให้ และเมื่อทำให้คนนี้ได้ คนนั้นก็อยากได้บ้าง
ในโลกของวิญญาณ ก็เหมือนโลกมนุษย์ บางคนก็พูดง่าย บางคนก็พูดยาก วิญญาณบางตน ตอนยังมีชีวิตอยู่นิสัยไม่ดี ตายไปก็ยังไม่ทิ้งนิสัยเดิม พวกนี่น่ารำคาญ บอกสอนไม่ค่อยได้ พูดยาก เขาเป็นผู้ชายจิตใจเข้มแข็ง เขายังเกิดอาการเบื่อ อินถวาก็น่าจะเป็นเหมือนกัน อยู่ๆเขาก็นึกเห็นใจเพื่อนของน้องสาวคนเล็กขึ้นมา แต่ก็ดีใจที่มีคนแบบเขา จะได้คุยกันรู้เรื่อง พอที่จะได้ระบายบ้าง ไปพูดให้คนอื่นฟัง เขาก็จะหาว่าบ้าอยู่เรื่อย