เสียงของเด็กน้อยรู้สึกว่าช่างคุ้นหู แต่ชื่อของเธอนั้นไม่ผิดแน่ แพรวาหันไปมองที่ประตูรั้วด้านข้างที่อยู่ติดกับบ้านหลังใหญ่อีกหลัง ก็พบเป็นน้องน่านฟ้าเด็กนักเรียนชายที่มีเธอเป็นครูประจำชั้นอยู่นั่นเอง
“สวัสดีครับน้องน่านฟ้า”
แพรวารีบเดินเข้าไปหาเพื่อไม่ให้น้องน่านฟ้าตะโกนเรียกชื่อของเธอเสียงดัง ซึ่งเหตุผลก็เป็นเพราะไม่อยากให้ใครอีกคนได้ยิน
“สวัสดีครับครูแพรวา”
“นี่บ้านของน้องน่านฟ้าเหรอครับ” แพรวาถามคำถามที่อยากรู้มากที่สุดเป็นอันดับแรก
“ใช่ครับ นี่บ้านของผมเองครับ”
“น้องน่านฟ้ามาเล่นอะไรตรงนี้คนเดียวคะ แล้วคนในบ้านไปไหนกันหมด”
ขณะที่ถามแพรวาก็สอดสายตามองเข้าไปในบ้าน ก็เห็นผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังเดินมาทางนี้พอดี
“น้องน่านฟ้าคุยกับใครอยู่คะ” ป้ามนแม่บ้านพ่วงตำแหน่งพี่เลี้ยงเอ่ยถามน้องน่านฟ้า
“คุยกับคุณครูครับ” เด็กชายหันไปตอบ
“สวัสดีค่ะ แพรวาเป็นครูประจำชั้นของน้องน่านฟ้าค่ะ” แพรวายกมือไหว้พร้อมกับแนะนำตัว
“สวัสดีค่ะครูแพรวา ป้าชื่อมนนะคะ เป็นพี่เลี้ยงของน้องน่านฟ้าและก็เป็นแม่บ้านของที่นี่ ป้าก็นึกว่าใครที่ย้ายมาอยู่ใหม่ ดีจังเลยนะคะที่เป็นคุณครูของน้องน่านฟ้า” ป้ามนเอ่ยทักทายพร้อมกับรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร แลเป็นคนที่มีจิตใจดีและเป็นกันเองเป็นอย่างมาก
“คุณครูเข้ามานั่งในบ้านก่อนไหมคะ”
“อย่าดีกว่าค่ะ พอดีแพรวายังเก็บของไม่เสร็จน่ะค่ะ ถ้าอย่างนั้นขอตัวไปเก็บของต่อก่อนนะคะ” แพรวารีบโบกมือปฏิเสธ ใครจะกล้าเข้าไปในบ้านของคนที่เธอกำลังหนีหน้ากันล่ะ
“ครูแพรวาเข้าบ้านก่อนนะครับน้องน่านฟ้า ไว้เจอกันที่โรงเรียนนะครับ” แพรวาหันไปลากับเด็กน้อย
“ครับ” น้องน่านฟ้าตอบเสียงอ่อย แล้วเดินตามป้ามนเข้าบ้านไป
แพรวาถอนหายใจเดินเข้าบ้านตัวเอง ไม่รู้โชคชะตาจะกลั่นแกล้งอะไรเธอนักหนา แค่เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นมันก็ถือว่าผิดพลาดมากพอแล้ว แต่นี่ดันย้ายมาอยู่ข้างบ้านของคนที่ไม่อยากเจอหน้าอีกหรือเนี่ย ค่าเช่าก็จ่ายล่วงหน้าไปแล้วตั้งสามเดือน แถมยังทำสัญญาเช่าระยะยาวอีกหนึ่งปี แล้วเธอจะย้ายออกไปอยู่ที่ไหนได้ล่ะเนี่ย คิดแล้วก็หนักใจ
วันนี้น่านน้ำมีนัดกับกลุ่มเพื่อนที่คอนโดของภูผา เพื่อช่วยกันหาข้อมูลจากหัวข้อวิจัยที่ได้รับมา ทุกคนต่างก็ก้มหน้าช่วยกันหาข้อมูลทั้งในโทรศัพท์มือถือ และโน้ตบุ๊กมาตั้งแต่ช่วงสายของวันจนกระทั่งตกเย็น
“เฮ้อ เสร็จสักที” เสียงของภูผาเจ้าของห้องเอ่ยขึ้นพร้อมกับบิดขี้เกียจ
“เล่นซะปวดหลังหมดเลย มีอะไรเย็นๆ กระแทกปากบ้างมั้ยวะ รู้สึกไม่ค่อยมีแรงเลยว่ะ” เจย์หันไปถามเจ้าของห้องกระตุกยิ้มมุมปาก
“อะไรเย็นๆ ก็ต้องอยู่ในที่เย็นๆ สิวะ โน้นในตู้เย็น ไปเอามาเผื่อทุกคนด้วย”
เมื่อเจ้าของห้องชี้โพลงให้กระรอกเจ้าเล่ห์อย่างเจย์ เขาก็ลุกไปที่ตู้เย็นแล้วหยิบเบียร์กระป๋องออกมาให้เพื่อนคนละกระป๋อง
เสียงแก๊สที่อัดแน่นอยู่ในกระป๋องดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงเมื่อทุกคนต่างพากันกดเปิดปากกระป๋องเบียร์ แล้วยกน้ำสีเหลืองทองกระดกลงคอราวกับน้ำเปล่า
“มีครั้งไหนบ้างที่มึงจะไม่ชวนดื่ม” น่านน้ำหันไปถามเจย์
“โห่เพื่อน ใช้สมองมาทั้งวันก็ต้องหาอะไรมาผ่อนคลายมันหน่อยสิครับ” เจย์กระตุกยิ้มเอ่ยตอบ
“ดื่มนิดหน่อยพอเป็นสีสัน มันก็รู้สึกดีนะน่านน้ำ” โดนัทหันมาเอ่ยกับเพื่อนรัก
“ถูกต้องแล้วครับ” เจย์ยกนิ้วโป้งและนิ้วชี้เป็นเชิงสัญลักษณ์ถูกต้อง แล้วยื่นออกมาด้านหน้า
“ในตู้เย็นกูยังมีอีกเพียบ จะดื่มกันทั้งคืนก็ไม่ว่า” เจ้าของห้องเอ่ยขึ้น เจย์ก็รีบหันไปส่งยิ้มให้ทันที
“เธอเป็นผู้หญิงไม่ต้องดื่มเยอะล่ะ” น่านน้ำหันไปปรามเพื่อนสาว
แม้ว่าพวกเขาทั้งสี่คนจะคบกันมานาน แต่ยังไงโดนัทก็เป็นผู้หญิงที่อยู่ในหมู่ผู้ชาย แม้จะเป็นเพื่อนกันแต่ก็ต้องรู้จักระวังตัว
“นายนี่น่ารักที่สุดเลยนะ รู้จักเป็นห่วงฉันด้วย” โดนัทหันไปส่งยิ้มแล้วเอ่ยปากชม
“แหวะ เลี่ยนซะไม่มี อย่ามาชมกันแบบนี้ได้ไหมวะ ถ้าไม่ติดว่าเป็นเพื่อนกันมา พวกกูจะคิดว่าเป็นแฟนกันแล้วนะเนี่ย” ภูผาทำท่าจะอ้วกเมื่อได้ยินคำชมของโดนัท
“แฟนพ่อง” น่านน้ำรีบด่าสวน ใครจะคิดเกินเลยกับเพื่อนได้ล่ะ
ทั้งสี่คนนั่งดื่มเบียร์จนหมดไปนับสิบกว่ากระป๋อง น่านน้ำที่วันนี้ยังไม่มีกะจิตกะใจจะดื่มสักเท่าไรจึงได้ขอตัวกลับก่อน
“พวกมึงดื่มกันต่อเลยนะ กูขอตัวก่อน”
“อ้าว น่านน้ำ จะกลับแล้วเหรอ” โดนัทรีบเอ่ยถามทันที
“มึงจะรีบไปไหนวะ” ภูผาถามขึ้นมาอีกคน
“นั่นดิ ทำไมรีบกลับ หรือว่าแอบนัดใครไว้” เจย์เอ่ยถามราวกับตัวเองกำลังสวมบทนักข่าว และกำลังจ้องจับผิดเพื่อนอยู่
“กูจะนัดใครล่ะ จะรีบกลับบ้าน” น่านน้ำพูดแทรก ตัดความคิดเพ้อเจ้อของเพื่อน
“ถ้านายอยากกลับแล้ว งั้นฉันขอติดรถกลับไปด้วยนะ” ถ้าน่านน้ำไม่อยู่ โดนัทก็ไม่อยากจะดื่มต่อแล้วเหมือนกัน
“อืม” น่านน้ำหันไปตอบโดนัท ก่อนจะเอ่ยกับเพื่อนรักทั้งสอง “กูกลับก่อนนะ”
“เออๆ” เจย์ตอบกลับอย่างเสียอารมณ์ คิดว่าน่านน้ำจะอยู่ดื่มด้วยกันจนดึกเสียอีก
“ไม่เป็นไรเว้ย กินกันสองคนก็ได้วะ” ภูผาเลื่อนลำแขนมากอดคอของเจย์ แล้วหยิบกระป๋องเบียร์มาชนกันแล้วยกขึ้นดื่มไปหลายอึก
ในระหว่างทางกลับบ้าน บรรยากาศบนรถก็กลับมาเงียบสงบ โดยปกติน่านน้ำก็เป็นคนไม่ค่อยพูดอยู่แล้วถ้าไม่มีใครชวนคุย และโดนัทเองก็มักจะเป็นฝ่ายชวนเขาคุยเสียส่วนใหญ่ แต่ก็ได้รับคำตอบแบบถามคำตอบคำอยู่เรื่อยมา
“น่านน้ำ”
“อืม” ชายหนุ่มหันหน้ามาขานรับแล้วก็หันกลับไปมองถนนต่อ
“นายเคยคิดจะมีแฟนบ้างไหม”
โดนัทก็อยากรู้คำตอบนี้มานานแล้ว แต่ก็ไม่เคยกล้าที่จะถามสักที พอครั้งนี้ได้ดื่มเบียร์เข้าไปมันก็เกิดความกล้าที่อยากจะถามคำถามนี้ขึ้นมา
“ยังไม่ได้คิด” น่านน้ำตอบกลับสั้นๆ
ส่วนคนฟังก็กระตุกยิ้มเล็กน้อยกับคำตอบที่ได้รับ เพราะนั่นก็หมายความว่าเขายังไม่คิดจะเปิดใจคบใคร
“แล้วถ้ามีคนมาจีบนายล่ะ นายจะลองเปิดใจคบดูรึเปล่า”
“ตอนนี้ฉันยังไม่อยากมีแฟน” น่านน้ำตอบกลับเสียงเรียบ สายตาจับจ้องไปที่ถนนด้านหน้าอยู่ตลอด
สำหรับเขาการมีแฟนมันคงหน้าเบื่อกว่าการอยู่ในห้องทดลอง ขนาดน้องชายยังแทบจะไม่มีเวลาให้ แล้วเขาจะเอาเวลาที่ไหนไปมีแฟน
แต่จะว่าไปทำไมคำถามนี้ของโดนัท ทำให้เขาคิดถึงหน้าของใครบางคนขึ้นมาได้ คนที่ทำให้เขาหงุดหงิดใจกับการหายตัวไปของเธอ แต่แล้วจู่ ๆ ก็มาโผล่เป็นครูประจำชั้นน้องชาย
โลกมันช่างกลมจริงๆ