เรื่องความขัดแย้งระหว่างมยุราไพรีและทิตตาภาไม่ได้เกินความคาดเดาของปทิตานักหลังจากที่พิมพ์ดาวเล่าให้ฟังว่า เหตุเกิดจากความรักของคนระหว่างสองตระกูล
เหตุการณ์เกิดตั้งแต่เธอยังไม่ลืมตาดูโลก ปรเมศอาของเธอเป็นวิศวกรบนแท่นขุดเจาะพบรักกับ วรรณา น้องสาวคนเล็กของวีณาผ่านทางการแนะนำของเพื่อน พวกเขาติดต่อกันทางจดหมายและตกหลุมรักกันและกัน
ในวันที่ปรเมศขึ้นฝั่งเขานัดพบกับวรรณาที่โรงแรมริมทะเลแห่งหนึ่ง จากนั้นก็เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นกับวรรณาหลังจากที่นัดพบกันเพียงวันเดียว
แม้จะบอกกับตำรวจชัดเจนว่าแยกกับวรรณาก่อนที่เธอจะเสียชีวิต แต่ปรเมศตกเป็นผู้ต้องสงสัยและพวกทิตตาภาก็กล่าวหาเขาอย่างเต็มที่ ส่วนปรเมศเองปฏิเสธ บิดาของปทิตาเองก็ปกป้องน้องชายเพราะเชื่อว่าน้องชายผู้อ่อนโยนไม่เคยฆ่าแม้แต่ยุงที่มากัดตัวเองจะกลายเป็นฆาตกร
ซ้ำปรเมศเองก็เสียใจที่คนรักถูกฆ่าเป็นอย่างมาก เขาบวชอุทิศส่วนกุศลให้กับวรรณา แต่พวกทิตตาภากลับด่าทอหาว่าเขาอาศัยผ้าเหลืองหนีความผิด แต่สุดท้ายการตรวจพยานหลักฐานต่างๆ ก็พบว่าปรเมศไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุในช่วงที่วรรณาตาย เขามีพยานบุคคลที่เชื่อถือได้ว่าหลังจากแยกกับวรรณาเขาอยู่กับเพื่อนตลอด
แต่ถึงจะรอดพ้นข้อกล่าวหาก็จริงแต่ความเกลียดชังก็บ่มเพาะในใจของพวกทิตตาภา หนำซ้ำยังกล่าวหาว่ามยุราไพรีให้เงินกับทีมสืบสวนเพื่อกลับดำให้เป็นขาวปกปิดความผิดของปรเมศ จนต้องรื้อคดีใหม่เป็นเรื่องอื้อฉาวในหน้าหนังสือพิมพ์ในขณะนั้น
การสอบสวนอีกครั้งก็ยืนยันความบริสุทธิ์ของปรเมศ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความเกลียดชังหรือคำกล่าวหาหมดไปจากปากพวกทิตตาภา
ปรเมศฆ่าตัวตายหลังจากที่คดีจบลง เขาเขียนจดหมายสั้นๆ ให้ทุกคนได้อ่านว่าเขามีชีวิตอยู่เพื่อพิสูจน์ความจริงว่าเขาไม่ได้ฆ่าคนที่เขารักเมื่อทุกคนรู้และเข้าใจแล้วเขาก็จะจากไปเพื่อไปหาคนที่เขารัก ขอร้องให้เก็บเถ้ากระดูกของเขาไว้ข้างๆ วรรณา แต่ทางทิตตาภาไม่ยอมทำเช่นนั้น นั่นยิ่งทำให้มีการทุ่มเถียงกันเกิดขึ้นอีก จากเรื่องของคนสองคนจึงกลายเป็นเรื่องของสองตระกูลเรื่อยมาจนปัจจุบัน เพราะคนในรุ่นพ่อแม่ที่ยังมีความเกลียดชังนั้นยังมีชีวิตอยู่
ส่วนรุ่นลูกอย่างเธอก็ยังสัมผัสได้ถึงความขัดแย้งนั้น...
"แม่เคยเล่าว่าพ่อรักอาเมศมาก คงเสียใจที่อาเมศต้องพบเจอเรื่องแบบนั้นจนจากไปก่อนวัยอันควร เพนนีเคยได้ยินว่าอาเมศฆ่าตัวตายเพราะคนรักเสียชีวิต แต่ไม่เคยรู้เลยว่าเรื่องจะซับซ้อนขนาดนี้" หญิงสาวพึมพำ
"อันที่จริง ทางเราก็ไม่ได้อะไรกับทางนั้นเลยนะ แรกๆ เข้าใจด้วยซ้ำว่าเขาสูญเสียเลยคิดว่าตาเมศทำ แต่เราแก้ข้อกล่าวหาได้สองครั้งสองครายังไม่เชื่อกระบวนการยุติธรรม แถมยังไม่ยอมทำตามคำขอของคนตายอีก นั่นทำให้พ่อของหนูไม่ชอบพวกทิตตาภา พวกไม่ยอมรับความจริง ขนาดที่เป็นข่าวอย่างนี้ยังเอาแต่หาว่าเพนนีเป็นคนทำคิดดูเถอะ"
"พวกเขาคงบ่มเพาะความเกลียดชังมาเพราะว่าสูญเสียโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่เหมือนทางเราที่ทำใจได้กว่าเพราะรู้ว่าอาเมศฆ่าตัวตายเอง" ปทิตาสรุป เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมพวกทิตตาภาถึงได้โกรธแค้นหนักหนา ถึงกล่าวหากันจนตอนนี้ ไปงานการกุศลก็โดนทับถม ในขณะที่บ้านเธอไม่ชอบแต่เน้นว่าไม่ยุ่งเสียมากกว่า... ตอนนี้เธอเข้าใจฝ่ายนั้นแล้ว
"ว่าแต่หลังจากที่อาเมศเสีย หาคนที่ฆ่าน้าวรรณาได้ไหมคะ"
"ไม่ได้ คดียังไม่ปิด แต่น่าจะหมดอายุความแล้วน้าไม่แน่ใจเหมือนกัน ตำรวจพยายามสืบแต่ว่าหาคนทำไม่ได้ นั่นอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ทิตตาภาเกลียดทางเราฝังหุ่น เพราะลึกๆ ยังเชื่อว่าเมศทำ"
"ตอนที่อาเมศยังอยู่ พ่อกับแม่แต่งงานแล้ว น้าพิมพ์ก็คงย้ายมาอยู่บ้านนี้แล้วเหมือนกัน ตอนนั้นต้องรู้จักอาเมศแล้วใช่ไหมคะ น้าพิมพ์คิดว่าเป็นไปได้ไหมที่อาเมศจะเป็นคนทำ"
"ทุกคนที่รู้จักเมศจะไม่คิดว่าเขาทำแน่ เขาเป็นคนดีมาก ถ้าเพนนีรู้จักเขาก็เชื่อแน่นอน แต่นอกจากความเชื่อแล้วยังมีพยานเป็นเพื่อนทั้งกลุ่มที่เห็นเมศเดินแยกกับวรรณา แล้วจากนั้นเขาก็อยู่กับเพื่อนตลอด พนักงานโรงแรมที่วรรณาพักก็บอกว่าเจอวรรณาครั้งสุดท้ายตอนเย็น ซึ่งวันนั้นตอนบ่ายโมงเมศ ออกมาจากหัวหินแล้ว มีพยานอีกหลายสิบคนที่ยืนยันว่าเมศอยู่กรุงเทพตอนบ่ายเพราะเขาพากันมาร้องเพลงทำกิจกรรมที่บ้านพักคนชราตลอดบ่าย แถมยังนอนบ้านเพื่อนจนเช้าไม่ได้ไปไหนยามที่บ้านเพื่อนก็ยืนยันว่าไม่มีคนเข้าออกบ้าน จนตอนสายของวันต่อมานั่นล่ะมีตำรวจมาหาเขาบอกว่าแฟนเขาตายเมื่อคืนนี้และเขาเป็นผู้ต้องสงสัย แต่เพราะไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุเลยทำให้ปรเมศรอดพ้นข้อกล่าวหา" พิมพ์ดาวเล่าเหตุการณ์ให้ฟังอย่างละเอียด เพราะตอนนั้นเธอเป็นนักแสดง ย้ายตามพี่สาวมาอยู่บ้านพี่เขยในกรุงเทพฯ เลยรู้จักปรเมศเป็นอย่างดีเพราะอยู่บ้านเดียวกัน เธอรู้เรื่องคดีเป็นอย่างดีเพราะขณะนั้นเธอโดนนักข่าวถามเกี่ยวกับเรื่องนี้มากมายเช่นกัน
"เพนนีเข้าใจแล้วว่าทำไมน้าพิมพ์ดาวบ่นว่าทิตตาภาไม่เคยเปลี่ยน พวกเขาชอบกล่าวหาแต่ว่าไม่เคยฟังที่เราแก้ข้อกล่าวหา แถมเชื่ออย่างไรไปแล้วก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนความคิดได้ ดังนั้นไม่ต้องไปโกรธเขาหรอกนะคะที่เขามาโวยวายว่าเราสร้างข่าว ถึงเราแก้ตัวยังไงเขาก็ไม่เชื่อ"
"หึ..." พิมพ์ดาวยังขุ่นเคือง "จะว่าไปเราก็นิสัยเหมือนเมศนะเพนนี ตอนนั้นเมศใจดี ยอมอ่อนข้อ ขนาดพวกนั้นมาด่าปาวๆ ยังบอกพ่อเราไม่ให้โกรธ ให้เข้าใจว่าเขากำลังสูญเสีย ไม่สนว่าตัวเองโดนด่าด้วย เสียชื่อด้วยจนต้องลาออกจากงาน"
"เพนนีไม่ได้ใจดีอ่อนโยนเหมือนอาเมศขนาดนั้นหรอกค่ะ แต่การที่เราพยายามเข้าใจเขาและไม่ถือสา มันจะดีกว่า บางเรื่องถ้าคิดมากไปก็ยิ่งลำบากใจนะคะ"
"จ้า... แม่คนดี ไม่เถียงอะไรแล้วจ้า" พิมพ์ดาวทำท่าค้อนใส่หลานสาวควบตำแหน่งลูกเลี้ยง เพราะหลังจากที่พี่สาวเสียตอนคลอด เธอที่พักงานในวงการเพราะมีข่าวเสี่ยเลี้ยงเลยได้ช่วยดูแล จนเกิดเป็นความผูกพัน ปารมีขอเธอแต่งงานเพื่อให้ช่วยกันดูแลปทิตาเธอจึงตอบตกลงและออกจากวงการถาวร ตอนนี้กลับเข้ามาอีกครั้งเพราะต้องพาลูกเลี้ยงเดินสายหากินในเส้นทางที่เธอถนัด เรียกได้ว่าเธอดูแลปทิตามาเต็มที่เหมือนเป็นแม่แท้ๆ จึงเจ็บปวดหัวใจแทนปทิตาเสมอเพราะการถูกหาว่าสร้างข่าวกับวฤทธิ์ทั้งๆ ที่ยังเสียใจกับเหตุไม่คาดฝันที่เกิดขึ้น มันทำให้นางสงสารลูกเลี้ยงและโกรธพวกทิตตาภาที่มากล่าวหากันถึงบ้านสองครั้งสองคราแล้ว
ปทิตาหัวเราะน้อยๆ กับท่าทางของพิมพ์ดาว อีกฝ่ายหยิบมือถือมาเล่นต่อไม่ได้คุยเรื่องความขัดแย้งใดๆ นั่นอีก ดวงหน้าที่ยังสวยของอดีตนางเอกดังขมวดมุ่นเล็กน้อยเมื่ออ่านสิ่งที่มีคนหวังดีส่งมาให้
"เพนนี นี่เมธัสคบกับลูกแก้วจริงๆ นะน้าว่า"
นางยื่นมือถือมาให้ เห็นสองคนเดินห้างสรรพสินค้าด้วยกัน ท่าทางสนิทสนมกันมาก ปทิตาทอดมองแล้วอึ้งไปชั่วขณะ
ลูกแก้ว ดารินยาเป็นนางเอกคู่จิ้นของวฤทธิ์ และเป็นเพื่อนคนสนิทในวงการของเธอ แม้พิมพ์ดาวจะบอกว่าเพื่อนคนนี้ดูไม่จริงใจกับเธอ แต่เธอก็เถียงหัวชนฝา และคบหากับดารินยาด้วยความจริงใจมาโดยตลอด ตอนที่มีนักข่าวถามว่าเพื่อนสนิทของตัวเองคบกับอดีตแฟนลับหลังเธอ เธอก็คิดว่ามันเป็นแค่ข่าว สองคนนั้นคงไม่หักหลังเธอคบกันก่อนนี้ ถ้ามาคบกันในช่วงที่เมธัสเลิกกับเธอแล้วก็จะไม่ว่าอะไร
"นี่มันรูปตอนลูกแก้วแสดงละครกับไวท์ เรื่องที่เพนนีไปเป็นนักแสดงรับเชิญนี่" พิมพ์ดาวเหมือนจะตะลึง เมื่อเห็นว่าเมธัสไปเฝ้าดารินยาในวันเปิดกล้องละคร ซึ่งเป็นตอนที่เขายังคบกับปทิตาอยู่
ปทิตามองภาพแล้วก็นึกย้อนไป ตอนที่ลูกแก้วเปิดกล้องละครเรื่องนี้เธอไปประเทศลาวเพื่อโพรโมตสินค้าบำรุงผิว เมธัสบอกว่าจะตามไปเที่ยวหลังจากเสร็จงาน แต่เขาบอกว่าติดธุระแล้วไม่ได้ตามไป