อาหารแช่แข็งค้างคืนตั้งแต่เมื่อวานก่อนถูกเอามาอุ่นในไมโครเวฟ ผมทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้ เตรียมจะจัดการสปาเก็ตตี้ที่เหลืออยู่ครึ่งกล่องเข้าปาก ทว่าพอเปิดกล่องมันออกมา กลิ่นของมันก็ปะทะเข้าจมูกผมอย่างจัง มันก็เป็นกลิ่นสปาเก็ตตี้นี่แหละ แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่ากลิ่นมันชวนคลื่นเ**ยนอย่างบอกไม่ถูก จนผมต้องหันไปไอโขลกตัวโยนอยู่พักหนึ่ง ตั้งสติได้ก็หันกลับมากลั้นใจตักมันเข้าปาก และพอผมส่งเส้นสปาเก็ตตี้เข้าไปในปาก อาการคลื่นไส้ก็รุนแรงขึ้นจนผมต้องรีบวางส้อมลง วิ่งพรวดไปยังซิงค์ล้างจาน สำรอกมันออกมาในทันใด
พอกลับมาสู่ภาวะปกติ ผมก็เดินกลับมายกกล่องสปาเก็ตตี้นั่นทิ้งลงถังขยะ กระเดือกยาแก้ปวดลงคอโดยไม่สนว่าจำเป็นต้องมีอะไรลงท้องก่อนหรือไม่ แล้วกลับมาที่ห้องนั่งเล่นในสภาพอิดโรย
ให้ตายเถอะ... สงสัยจ
15 ชั่วโมงหลังหลบหนี (เวลา 18.00 น.)
ฤทธิ์ของยาแก้ปวดและความอ่อนเพลียที่สั่งสมมาตลอดทั้งคืนทำให้ผมผล็อยหลับไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ รู้สึกตัวตื่นอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงอินโทรของรายการข่าวจากสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งดังเข้ามาในหู ผมดันตัวเองขึ้นนั่งตัวตรง สายตาจับจ้องไปยังจอโทรทัศน์อย่างใจจดจ่ออีกครั้ง
และก็เช่นเคย ยังไม่มีข่าวของผู้ชายคนนั้น ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปช่องไหนๆ ก็ไร้วี่แววจนผมชักจะเอะใจแล้วว่าสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่มันแปลก ไม่แน่ว่า บางทีผู้ชายคนนั้นอาจจะไม่ตาย อาจจะหยุดหายใจไปตอนที่ผมอยู่ที่นั่น แล้วก็กลับมาหายใจเหมือนเดิม เดินกลับบ้านหน้าตาเฉยก็เป็นได้
ทว่าคิดเข้าข้างตัวเองไปก็เท่านั้น มันจะเป็นไปได้ยังไงที่หยุดหายใจแล้วกลับมาหายใจเหมือนเดิม ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็นิยายแฟนตาซีเกินไปแล้ว!
หรือผมควรจะไปดูให้เห็นกับตาตัวเองดีว่าศพยังอยู่ตรงนั้นหรือเปล่า?
...บ้าแล้ว ถ้าไปแล้วเจอศพอยู่ที่เดิมแล้วผมจะทำอะไรต่อได้ล่ะ ซ่อนศพเหรอ? ไม่มีทางเลย โผล่หัวไปอย่างนั้น รังแต่จะทำให้ตัวเองตกเป็นผู้ต้องสงสัยมากขึ้น ทำตัวเฉยๆ รอดูข่าวอยู่ที่บ้านนี่แหละเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
ผมปลอบใจตัวเอง ลุกเข้าไปในครัวอีกครั้งเมื่อเห็นว่าถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว จริงๆ แล้วผมก็ไม่ใช่คนกินอาหารตรงเวลาอะไรนัก แต่ที่พยายามพาตัวเองไปหาอะไรกินก็เพราะว่าวันนี้ทั้งวันผมยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง นอกจากยาแก้ปวดและน้ำเปล่าเท่านั้น
ผมสอดส่ายสายตามองวัตถุดิบในตู้เย็น พิจารณาอยู่ครู่หนึ่งว่าจะทำอะไรกินดี เพราะตอนนี้ไม่มีอาหารกล่องแช่แข็งหลงเหลืออยู่แล้ว ปกติแล้วผมทำอาหารกินเองนะ แต่ส่วนใหญ่จะขี้เกียจเลยชอบซื้ออาหารกล่องแช่แข็งมาแช่ทิ้งเอาไว้มากกว่า มันสะดวกและเร็วดี เหมาะกับคนที่ไม่ชอบอะไรจุกจิกอย่างผม
ระหว่างกำลังเลือกวัตถุดิบและคิดว่าจะทำเมนูอะไร สายตาก็ปะทะเข้ากับเลมอนสีเหลืองสดลูกโตเข้า พลันน้ำลายในปากก็หลั่งเยอะกว่าปกติจนน่าแปลกใจ มิหนำซ้ำ ยังมีประโยคแปลกๆ ลอยเข้ามาในหัวอีกด้วย
เปรี้ยวปาก...
ผมไม่รู้ว่าอาการนี้มันเป็นผลข้างเคียงจากความเครียดหรือเปล่า แต่ผมก็ไม่สนใจจะหาคำตอบนัก นอกจากเอื้อมมือไปหยิบมะนาวลูกนั้นมาฝานเป็นแผ่นบางๆ แล้วโรยเกลือนิดหน่อย ก่อนจะจับบีบเข้าปากอย่างกระหาย
มันไม่ได้ทำให้ผมอิ่มท้องเลยสักนิด แต่มันช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้ที่ยังหลงเหลืออยู่ได้พอสมควร เพียงเวลาไม่นาน เลมอนลูกนั้นก็ถูกผมดูดกลืนน้ำไปจนหมดสิ้น ผมมองจานที่มีเลมอนฝานเหลืออยู่เพียงชิ้นเดียวนิ่งๆ ไม่รู้ตัวเลยว่าผมจัดการมันไปเกือบหมดตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ที่รู้ๆ คือ มันไม่พอ ผมอยากกินอีก ....อยากกินมากกว่านี้
ผมรีบจัดการบีบน้ำรสเปรี้ยวจากเลมอนชิ้นสุดท้ายเข้าปาก แล้วไปแต่งตัว ออกไปซูเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่ใกล้กับละแวกที่พักทันใด ะเครียดมากเกินไปแน่ๆ
20 ชั่วโมงหลังหลบหนี (เวลา 22.00 น.)
หลังจากที่ผมกลับมาที่ห้องอีกครั้งพร้อมกับเลมอนกว่าสิบลูก ผมก็ผล็อยหลับไปอีกครั้ง ไม่รู้ทำไมวันนี้ผมถึงอ่อนเพลียมากกว่าปกติเหลือเกิน ทั้งๆ ที่ถ้าอดนอนหรือเมาแฮ้งค์ นอนไม่เกินสิบชั่วโมง ผมก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้แล้ว
นี่ต้องเป็นเพราะผมเครียดจัดด้วยแน่ๆ ร่างกายถึงได้มีอาการแบบนี้
ผมดันตัวขึ้นนั่ง เอื้อมตัวไปคว้ารีโมทที่วางอยู่ข้างจานเลมอนซึ่งเหลือแต่เปลือกมาเปิดโทรทัศน์ดูข่าวต้นชั่วโมงอีกครั้ง ผลยังคงเหมือนเดิม... ไม่มีข่าว ไม่มีการพูดถึง ไม่มีอะไรเลย
สงสัยจะยังไม่มีใครพบศพจริงๆ...
ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก อย่างน้อยผมก็รอดจากการตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมหนุ่มหน้าหล่อคนนั้นไปอีกคืน
ผมปิดโทรทัศน์ ลุกขึ้นยืน กะว่าจะไปล้างหน้าล้างตาแล้วเข้านอน พรุ่งนี้ค่อยตื่นมาลุ้นใหม่ ทว่าในจังหวะที่ลุกขึ้น ผมก็เกิดวิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรงจนต้องทรุดตัวนั่งลงไปบนโซฟาอีกครั้ง ในจังหวะนี้เองที่ผมสังเกตเห็นว่าร่างกายของตัวเองมันเปลี่ยนไป หน้าท้องภายใต้เสื้อยืดป่องยื่นออกมาทำให้ผมเบิกตาโพลง รีบถลกเสื้อขึ้นดูอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตกใจหนักกว่าเดิมเมื่อเห็นว่าหน้าท้องแบนราบที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามซิกส์แพ็ค บัดนี้กลายเป็นวันแพ็คเหมือนกับท้องของคนท้องก็ไม่ปาน แถมสะดือยังจุ่นออกมาจนเหมือนจะระเบิดให้ได้อีกด้วยทั้งที่จริงๆ แล้ว ผมเป็นคนสะดือโบ๋
ผมรีบตั้งสติ ข่มความวิงเวียนนั่นทิ้งไปแล้วรีบกลั้นใจวิ่งไปยังห้องน้ำ ถอดเสื้อออกแล้วส่องกระจกมองซ้ายมองขวาด้วยสีหน้าตื่นๆ
“อะ...อะไรวะเนี่ย” ผมครางออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา
นี่มันท้องของคนท้องชัดๆ เลยให้ตาย! เกิดอะไรขึ้นกับผมเนี่ย! หรือว่าจะเป็นเพราะผมกินเลมอนแบบไม่บันยะบันยังเข้าไปกัน!? หรือจะป่วย? ท้องผูก? ท้องมาน? มะเร็ง?
เป็นเวรอะไรวะ!
ผมแทบจะร้องไห้ออกมาเมื่อเห็นตัวเองในสภาพไม่น่าดูนัก พระเจ้าเล่นตลกอะไรกับผมหนักหนา แค่เห็นคนตายต่อหน้าแล้วต้องมานั่งกังวลว่าตัวเองจะตกเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมยังไม่พออีกหรือไง ทำไมต้องมาทำให้เรื่องมันยุ่งยากไปมากกว่าเดิมด้วย
“โอเคไอ้กวินทร์ มันก็แค่ท้องอืด... แค่ท้องอืด ขี้ออกเดี๋ยวก็หาย”
ผมสูดหายใจเข้าเต็มปอด ปลอบตัวเองอย่างเต็มที่ ถอดกางเกงออก ไปนั่งบนโถชักโครกอย่างไม่รีรอ ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ไม่มีอะไรหลุดไหลออกมาจากปากประตูหลังเลยแม้แต่น้อย จากที่พยายามปลอบตัวเองในตอนแรกว่าแค่ท้องอืด ตอนนี้ผมคิดเข้าข้างตัวเองไม่ลงแล้วว่ามันเป็นแค่นั้น