กลใจกลรัก

1234 Words
เบนตะแคงหน้ามองพร้อมส่ายหน้าช้าๆ ไม่ใช่ว่าจะสรุปว่าหน้าไม่เหมือน แต่การกระทำของสาวสวยตรงหน้าต่างหากเหมือนกับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องขำๆ คิ้วเรียวขมวดมุ่นมองใบหน้า ที่อยู่ภายใต้หมวกกันน็อคใบหนา สงสัยขึ้นมาทันควัน แต่มั่นใจว่าที่ชายหนุ่มพูดมาถูกต้อง แต่เธอต้องการคำตอบจากเขาเช่นกัน “แล้วคุณรู้ได้ไง?” “แต่ดูเหมือนคุณไม่กลัวคนพวกนั้นเลย?” เบนไม่ตอบคำถาม แต่เขาอยากรู้ว่าเหตุใดเธอคนนี้ จึงไม่มีอาการหวาดหวั่นหรือหวาดกลัว หากเธอเสแสร้ง เธอคงได้รางวัลตุ๊กตาทองไปแล้ว เพราะเธอทำได้เนียนมาก จะช่วยเธอต่อไปดีไหม?...  ถามตัวเองพร้อมกลอกตาไปมา “....” ชลิดาไม่คิดจะตอบ เพราะทุกอย่างเธอรู้ดีอยู่แล้ว แต่ที่อยากรู้คือเขารู้และไหวตัวเหมือนจะรออยู่ในทีได้ยังไง “ตกลงคุณจะเอาคำตอบจากผมหรือ?” เมื่อหล่อนไม่ให้คำตอบ เขาก็อยากจะตอบให้หายข้องใจ หากเล่นซักไซ้ไม่เข้าเรื่อง สงสัยมีเข้าตัวกันบ้าง... “อือ...” เธอพยักหน้าครางในลำคอ “ขึ้นรถสิ แล้วผมจะบอกคำตอบเมื่อถึงที่หมาย” เบนยื่นข้อต่อรอง เพราะไม่ไว้ใจหากยืนเถียงกันอยู่ตรงนี้ “ที่หมาย... แล้วมันที่ไหนล่ะ?” แม้จะเคยช่วยเหลือเธอมาแล้ว หากผิดที่ผิดถิ่นเกินไปใช่ว่าเธอจะไม่กลัว “จะไปหรือไม่ไป หากไปก็ขึ้นมา เดียวพวกนั้นก็ตามมาฆ่าตายหรอก!” เอ่ยขู่ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเริ่มลังเล “อ๊าย อะไรของคุณกันเล่า...” ร้องโวยวายไปอย่างนั้น แล้วพยายามปีนขึ้นกลับไปนั่งบนรถอย่างเดิม “นั่งให้ดีละ ไม่เอานะที่โถมหาผมทั้งตัวน่ะ... มันหนัก” แกล้งว่าไปทั้งที่จริงหัวใจซ่านลึก วาบหวิวอบอุ่นเหมือนคนรักที่เคยร้างลากลับมาโอบกอดตนเองอีกครั้ง “เบาๆ ผมเจ็บ...” เขาร้องบอก ขาแกร่งยันพื้นไว้มั่น มือเรียวหนาขยำแฮนด์ไว้ทัน ทั้งที่เกือบเสียหลักกับอาการจู่โจมขึ้นรถของผู้หญิงที่ลากมา เบนรู้สึกเหมือนแผลจะเปิดเพราะแรงกระชากของเจ้าหล่อน ความคิดถึงคนรักที่โอบกอดให้ไออุ่น พังคลืน เธอตัวเล็กหรือว่ารถมอเตอร์ไซค์มันใหญ่เกินไป ถึงได้ขึ้นยากเย็นนัก... เบนถามตัวเองในใจ จะขำจะหงุดหงิดก็ให้คำตอบกับตัวเองไม่ได้ เหมือนผู้หญิงคนนี้จะนั่งรถมอเตอร์ไซค์ไม่เป็นด้วยซ้ำ... จากแขนเรียวที่ยามเกาะและดึงรั้งตัวเขาเพื่อดันตัวหล่อนขึ้นมามันดูขัดหูขัดตาเป็นอย่างมาก “อะไร แค่นี้ก็เจ็บ ชิ! สำออย” เสียงหวานเอ่ยออกมาเบา ขยับชิดแผ่นหลังหนาให้เข้าที่ โดยลืมไปว่าอีกคนมีบาดแผลตรงที่ใดบ้าง คนเจ็บเปิดกระจกหมวกกันน็อคด้านหน้า “ผมคิดถูกหรือผิดที่เอาคุณมาด้วย” เอ่ยถามเสียงขุ่น กรามหนาขบเข้าหากัน กดอาการเจ็บจี๊ดของแผลบนไหล่เพราะการรั้งของเจ้าหล่อน ไม่แน่ใจกับการเงอะงะของสาวเจ้า หากพาตามติดเจ้าหล่อนจะทำอะไรเปิ่นๆ กว่านี้อีกหรือเปล่า นั่นคือสิ่งที่เขาหนักใจ เพราะแค่หล่อนขึ้นนั่งบนรถ ก็ทำเอาเขาเกือบเสียหลัก หากคนร่างไม่ได้มาตรฐานกับรถที่ใช้ คงพากันล้มหงายท้องนอนกองบนพื้นถนนไปแล้ว... “แล้วคุณกล้าเอาฉันกลับไปส่งที่บ้านหรือเปล่าละ?” ชลิดาเองก็เริ่มอึดอัด ทั้งที่ไม่ได้รู้จักอะไรกันมาก่อน แต่กลับมาอยู่ร่วมทางแบบไม่ทันตั้งตัว ด้วยความหมั่นไส้จึงโพล่งถามออกไป รู้ว่าเขาคงรำคาญตัวเธอเต็มที ที่สำคัญเธอจับอารมณ์ชายหนุ่มผู้นี้ไม่ถูกเช่นกัน                                                                                                         “กล้า... แล้วคุณจะกลับไปหรือเปล่า?” อดย้อนกลับไม่ได้ หงุดหงิดเพราะรู้สึกว่าเสียเวลามากเกินไปแล้วกับเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตัวเขาเลยแม้แต่น้อย “อือ... ใจร้าย รู้ว่ามีคนดักทำร้าย ยังจะกล้าไปส่งอีก” ใบหน้าเริ่มมีเม็ดเหงื่อ หงิกงอค้อนขวับสะบัดหน้าไปอีกด้าน ด้วยคำพูดอีกคนที่เหมือนจะเปลี่ยนความตั้งใจ ทั้งที่เขาเป็นคนลากหล่อนมาตั้งแต่เริ่มต้น ชลิดารู้ดีว่าไม่ควรแสดงกิริยาตอบกลับไป เหมือนคนสนิทคุ้นเคยเง้างอดงอนให้อีกคนง้อกระนั้น ทั้งที่จริงเธอกับเขาไม่ได้สนิทอะไรกันเลย แม้แต่ชื่อก็ยังไม่รู้ เพื่อนก็ไม่ใช่ ใครก็ไม่รู้ที่โผล่เข้ามา แล้วมันก็รู้สึกดีเสียด้วยสิ... ชลิดารับรู้ถึงความรู้สึกของตัวเองตอนนี้ แบบนั้นจริงๆ “แล้วทำตัวให้น่าช่วยเหลือมั้ยล่ะ?” คนที่อาการของขึ้น อดย้อนไม่ได้ คนอย่างเขาไม่เคยต้องทำอะไรที่รู้สึกอึดอัดมาก่อน “ก็ไม่ได้ว่าอะไร ไปก็ไปสิ ตาย ใครบ้างไม่กลัว...” ใบหน้าหวานสลดลง คิดถึงผู้คนที่กำลังรอความหวังจากเธอ หัวใจบอบบางยังห่วงใยงานที่ยังค้างคา ความฝันและความหวังของชุมชนคือตัวเธอ  ความตั้งใจจริงคือการได้เห็นชุมชนยังคงมีสภาพเหมือนเดิม ที่ยังคงกลิ่นอายแห่งชนบทบ้านหนองจอก สุดท้ายต่างคนต่างเงียบ ชลิดาไม่ได้สนใจเส้นทางนัก เมื่อรถที่เร่งเครื่องใช้ความเร็วจนหล่อนต้องหลบอยู่ด้านหลังของแผ่นหลังหนา เพื่อช่วยกำบังแรงปะทะของลม และแสงแดดที่เริ่มแรงขึ้น จนเผลอหลับไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบ รู้สึกตัวขยับดันตัวเองออกจากแผ่นหลังของอีกคนสายตาปรือขึ้น  เมื่อรับรู้ถึงการจอดสนิทพร้อมเสียงเครื่องยนต์ที่เงียบสนิทลง เปลือกตาภายใต้ขนตางามงอนขยับปรับแสงสว่างให้คุ้นชิน ทอดมองสิ่งรอบข้าง สัมผัสถึงความร่มรื่นของร่มเงาต้นไม้ใหญ่ บ้านสองชั้นด้านล่างก่อด้วยปูนทั้งหมด มุขด้านหน้าปูด้วยกระเบื้องลายดอกสีสด ด้านบนชั้นสองฝาบ้านเป็นไม้แผ่นหนาวางเรียงซ่อนทับเป็นแนวนอนเคลือบด้วยน้ำยาขัดเงา สีน้ำตาลสภาพยังใหม่เอี่ยม ตั้งเด่นอยู่กลางลานกว้างที่ห้อมล้อมด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ ใบหน้ายู่ยี่ของชลิดาคลี่ยิ้ม ดวงตาเบิกกว้าง สภาพแวดล้อม ตรงหน้ามันพาให้หัวใจดวงน้อยอิ่มเอิบ ต้นไม้ปลูกแบ่งแนวเป็นทิวแถวกินเนื้อที่ไปกว้างขวางพอควร หากเดินวันเดียวคงไม่ทั่ว ต้นไม้ยืนต้นหลากหลายชนิดน้อยใหญ่เรียงไปตามร่องน้ำ เห็นไปแต่ไกล พร้อมกับท้องทุ่งนาไม่ต่างกับที่ที่เธอไปขลุกอยู่เกือบสองอาทิตย์ “บ้านใคร... แล้วที่นี่ที่ไหน?” สายตากลมโตกวาดไปทั่วบริเวณเหมือนต้องการดูให้แน่ใจว่าใครกันที่เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ “ผมว่าลงจากรถก่อนดีมั้ย แล้วค่อยตั้งคำถาม ผมเมื่อยจะแย่อยู่แล้ว” เอ่ยบอกไปอีกอย่าง เขาเตรียมพร้อมจะลงจากรถตั้งนานแล้ว แต่อีกฝ่ายกับนั่งนิ่งไม่ขยับ เดือดร้อนเขาที่ลงไม่ถนัด เลยต้องรอให้หล่อนลงไปก่อน เพื่อที่เขาจะได้ลงสะดวก  
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD