กลไกของการเดินทาง

1704 Words
เมื่อถึงเป้าหมายก็มีเสียงทักทายขึ้น ทำให้คนที่มาเยือนยิ้มรับหน้าบาน แม้ท้องที่นี้จะขาดความเจริญแต่น้ำใจของผู้คนช่างเป็นเลิศ อยู่กันด้วยความเข้าอกเข้าใจ เอื้อเฟื้อ ไม่แล้งน้ำใจเหมือนคนเมือง ที่คำพูดในแต่ละคำกว่าจะกลั่นออกมา มันต้องวัดด้วยฐานะทางสังคมเป็นที่หลัก  “มาแต่เช้าเลยนะครับวันนี้” ลุงสุกรีผู้สูงวัยท่าทางใจดีและเป็นมิตร เอ่ยทักทายหญิงสาวอย่างเป็นกันเอง ตั้งแต่เธอแสดงตัวว่าต้องการให้ทุกคนอย่าถอยหลังจากผืนดินตรงนี้ ที่เต็มไปด้วยธรรมชาติและวิถีชีวิตเดิมๆ ของชาวบ้านในอดีตที่หาดูได้ยาก ลุงสุกรีจึงยอมเปิดใจและยอมปรึกษาเรื่องต่างๆ กับเธอ แม้จะไม่รู้ที่มาที่ไปของเธอ แต่นั่นเป็นเพราะมารยาทของลุงสุกรีที่ไม่อยากซักไซ้อะไร แค่เห็นความจริงใจและมุ่งมั่นทำอย่างที่ปากพูด ก็เป็นสิ่งยืนยันความจริงให้เห็นว่าเธอมาดีไม่ได้คิดร้ายหรือต้องการอะไร นอกจากชักจูงให้ชาวบ้านแถบนี้อย่าด่วนตัดสินใจหรือขายพื้นแผ่นดินที่หลงเหลือ ท้องทุ่งนา และวิถีชีวิตของคนรุ่นก่อนๆไป แม้ชาวบ้านบางคนที่ขายไปก่อนหน้าหลายคน แต่นั่นมันยังคงไม่เพียงพอ นายทุนยังต้องการที่ดินทั้งหมดของชาวบ้านเพื่อการลงทุนธุรกิจของตัวเอง โดยไม่คิดคำนึงถึงสิ่งที่เป็นหลักการดำรงเลี้ยงชีพของชาวชุมชนว่าจะต้องเสียไป และที่น่าวิตกไปมากกว่านั้นก็คือคนที่ขายที่ดินไปแล้ว แต่ไม่มีอาชีพอื่น จะต้องกลับมาเช่าที่ดินที่ตกเป็นของนายทุนไปแล้ว ทั้งที่เมื่อก่อนที่ดินผืนนั้นเป็นเคยของตนเอง “เป็นไงบ้างคะ คนพวกนั้นติดต่อมาบ้างหรือยัง” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเอ่ยขึ้น ด้วยความอยากรู้ความคืบหน้า สีหน้านวลเต็มไปด้วยความทุกข์ใจ หม่นลง และคนสูงวัยนั้นรู้ดีว่าจริงแล้วสาวผู้นี้เข้ามาอาสาช่วยแก้ปัญหาเรื่องนี้ด้วยความเต็มใจมากแค่ไหน “ยังครับ คนพวกนั้นคงไม่เห็นความเดือดร้อนของพวกคนจนอย่างเราๆ หรอกครับ” ใบหน้าที่เต็มใบด้วยริ้วรอยตามวัยเอ่ยขึ้นด้วย      สีหน้าไม่สู้ดี เมื่อหลายวันก่อนมีชายฉกรรจ์หลายกลุ่มแวะเวียนเข้ามาด้อมๆมองๆ แต่ไม่ได้เข้ามาซักถามอะไร แต่ล่าสุดมีชายฉกรรจ์สามคนที่ดูจะเป็นคนละกลุ่มที่เข้ามาด้อมๆ มองๆ แวะมาบอกข่าวกับตนเองว่าเจ้านายของพวกมันจะเริ่มสร้างโรงงานในอีกไม่กี่เดือน จึงรีบออกมาไล่ที่ที่ชาวบ้านเช่าทำกินอยู่ แม้จะยังไม่หมดสัญญาเช่าแต่จะชดเชยค่าเสียหายให้ และเริ่มติดต่อขอซื้อที่ดินของชาวบ้านที่อยู่ตามละแวกใกล้เคียง และวันนี้กลุ่มชายพวกนั้นจะกลับมาฟังข่าว โดยคำตอบที่จะให้นั้นลุงสุกรีเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เหลือก็แต่ชาวบ้านบางกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยคำพูดและข้อเสนอแนะของผู้นำอย่างเขา... “ทุกคนไม่ได้จนเงินทอง แค่มีไม่มากเท่าคนพวกนั้น แต่คนที่นี่มีน้ำใจกว้างกว่าผืนแผ่นดินที่นาของตัวเองเสียอีก ไม่ต้องกลัวหากทุกคนที่นี่ต่างพร้อมใจกัน ไม่ยอมรับเงินทดแทน ทางโน้นก็ไม่มีทางได้ที่ตรงนี้ไป ความร่วมมือของทุกคนจะเป็นกำแพงที่ดีที่สุด ลุงอย่าเพิ่งท้อ ดาเชื่อว่าชาวบ้านต้องเชื่อคำพูดที่มีน้ำหนักของลุง” น้ำเสียงนุ่มเอ่ยให้กำลังใจคนสูงวัย น้ำเสียงแม้จะอ่อนหวานนุ่มนวล หากแต่มันเต็มไปด้วยพลัง ทำให้คนที่ได้ยินถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ “หนูดาช่างมีจิตใจดี ลุงอยากให้ทุกคนได้ยินคำพูดนี้ของหนูดาจริงๆ จะได้รู้เสียทีว่าใครหวังดีหรือหวังร้าย แค่เงินไม่กี่หมื่นบาททุกคนก็ต่างอยากได้ โดยไม่คิดถึงผลเสียที่จะตามมา...” หยุดเก็บความรู้สึกอัดอั้นให้กระจายหายไป แล้วเอ่ยต่อ “คำพูดของหนูดา กล่อมชาวบ้านหลายคนจนเปลี่ยนใจไม่ยอมรับเงินจากพวกนั้น ลุงดีใจจนไม่รู้จะพูดยังไงดี... แต่ก็ยังมีหลายคนที่หัวดื้อจริงๆ” ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำชุมชนเอ่ยทั้งน้ำตาโดยไม่คิดอายใคร ก่อนจะรีบเช็ดน้ำตาที่หยดลงพื้นไปหลายหยดอย่างลวกๆ กับความรู้สึกเสียดาย หากที่ดินที่ตกทอดกันมาจะถูกนายทุนกว้านซื้อและทำลาย เพื่อปลูกสร้างแหล่งทำเงินด้วยเครื่องวัตถุสมัยใหม่เข้ามาแทนที่ การทำนาไร่ในอาชีพหลักของพวกตนก็จะสูญหายไปตามกาลเวลา... “ใช่... เงินที่คนพวกนั้นให้มามันจะเอาไปทำอะไรได้ ซื้อกระเบื้องมุงหลังคาได้ไม่ถึงครึ่งเงินก็หมดแล้ว  แล้วกว่าเราจะหาที่ซุกหัวนอนได้ใหม่ไม่รู้เมื่อไหร่” ชายวัยกลางคนที่ยืนฟังการพูดคุยอยู่นานเอ่ยให้ความเห็น ชนิดาพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดนั้น                                                                  ชาวบ้านเริ่มทยอยรวมกลุ่มล้อมวงกันเดินเข้ามา เก้าอี้ที่มีไม่กี่ตัว เตรียมไว้ตรงลานหน้าบ้าน ถูกนั่งจนหมด คนที่เหลือจึงพร้อมใจกันยืน เพื่อร่วมประชุมเรื่องนี้โดยตรงอย่างพร้อมเพรียงกัน  “ชิชะ... แต่หากพวกนั้นมารื้อโดยที่เราไม่ได้เงินสักบาท แล้วเราจะเอาเงินที่ไหนจากใครละ ในเมื่อเขาให้สิทธิ์แล้วเราไม่รับ พอถึงเวลานั้นก็อย่าไปเรียกร้องให้เสียเวลา เพราะทุกคนจะเหนื่อยเปล่าเมื่อถึงวันนั้น...” เสียงห้าวๆ เอ่ยแทรกพร้อมหยุดพูด มองไปยังลุงที่เลี้ยงตนเองมา อย่างไม่แคร์ พร้อมกับแทรกกายฝ่าวงล้อมของชาวบ้านเข้ามา เท้าหนายังคงเดินตรงเข้ามา สายตากลมเต็มไปด้วยความลำพองตน สาดมองไปยังทุกคนที่ยืนฟังนิ่ง แล้วตัดสินใจเอ่ยต่อเมื่อแน่ใจว่าจะไม่มีผู้ใดเอ่ยขัดขึ้นมา “ผมว่าทุกคนรีบๆ รับข้อเสนอคนพวกนั้นไปเถอะ ถึงเราจะฟ้องร้อง ยื่นใบสัญญาเช่า เชื่อเถอะว่าคนเงินน้อยอย่างพวกเราไม่มีทางชนะ เงินที่ควรจะได้ก็อด แถมเงินที่มีอยู่น้อยนิดก็จะมีแต่หมดกับหมดนะครับ” คนหน้าตาเถื่อนๆ ร่างบึกบึนผิวดำแดง ใบหน้าแหลมรับกับเครื่องหน้าได้เป็นอย่างดี หากแต่ทุกคนไม่มองที่หน้าตาของหนุ่มผู้นี้ เพราะเท่าที่ดูจากหน้าตาหาข้อหวังดีต่อชุมชนนั้นไม่มีสักนิด ชายหนุ่มที่เดินเข้ามาท่าทางยโส ไหล่ตั้งหน้าเชิด พร้อมจะเป็นฝ่ายค้านยุแหย่ให้ทุกคนขายที่ดิน เหมือนกับว่าตัวเองเป็นนายหน้ากระนั้น เท้าหนาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าหญิงสาวและลุงของตนเอง ไม่สนใจคำพูดของตนเองว่าจะทิ่มแทงใจใครบ้าง คนที่โดนมากที่สุดคงไม่พ้นชายวัยกลางคน ที่พยายามเกลี้ยกล่อมลูกบ้านของตนเอง คำพูดของชายหนุ่ม มันแทงใจของคนที่ได้ขายที่ดินไปแล้ว แต่ตอนนี้ได้เช่าที่ดิน เพื่อทำกินในระยะยาวและอีกหลายปีกว่าจะหมดสัญญา สิ่งที่ลงทุนไปก็ยังไม่ได้คืนเต็มร้อย แต่คนที่มีที่ดินเป็นของตัวเอง ก็เริ่มหวั่นใจเช่นกันเพราะมันก็ต้องมีผลกระทบตามมา หากต่อไปที่นาส่วนอื่นๆ ก็จะกลายเป็นโรงงาน หรืออะไรก็ตาม ที่ทำให้สภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป การทำนาหรือวิถีชีวิตก็ย่อมเปลี่ยนตาม ไม่เหมือนปกติแน่นอน... เสียงอื้ออึงดังแทรกขึ้นเมื่อชายหนุ่มกล่าวจบ แต่อีกเสียงไม่ได้เป็นเช่นนั้น ความไม่เข้าใจของคนเป็นลุงถูกระเบิดออกมาเป็นคำถาม “ไอ้นพ มึงเป็นคนของใครกันแน่ มึงเติบโตมาได้ทุกวันนี้เพราะพื้นดินตรงนี้ แล้วทำไมมึงจึงไม่คิดจะหารือเรื่องทุกอย่าง ให้เราอยู่ตรงนี้ต่อไป มึงเป็นหลานกูนะ” ใบหน้าเหี่ยวย่นส่ายหน้าไปมาช้าๆ รู้สึกเคืองคำพูดของหลานชายตนเองจนระงับอารมณ์ไม่อยู่ ความเสียใจในตัวหลานชายไม่มากไปกว่า ความรู้สึกของลูกบ้าน หากเกิดเปลี่ยนใจ! คนที่โดนถามไม่ทันได้เอ่ย เสียงหวานแหลมที่ยืนฟังอยู่อย่างอดทนก็โพล่งขึ้นอย่างเหลืออด “ใช่ คุณเป็นลูกหลานของคนแถวนี้ น่าจะหวงแหนที่ของตนเองไว้ จะยอมขายไปง่ายๆ ได้ยังไง” อาการทนไม่ไหวของชลิดา จ้องมองชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะอายุมากกว่าเธออย่างตำหนิ เมื่อเห็นว่าชาวบ้านบางคนเริ่มเอนเอียงไปทางคนหนุ่มตรงหน้าที่หล่อนรู้ชื่อว่า นพ! “หรือว่าไม่จริง เธอก็ไม่ใช่คนที่นี้ ใครจะได้เงินหรือไม่ได้เงินมันก็ไม่เกี่ยวกับเธอเพราะเธอมันคนนอก ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องตรงนี้อยู่แล้ว ฉันว่าเธอไปให้ไกลๆ ซะดีเสียกว่า” ท่าทางถือดีหยิ่งทะนงเอ่ยอย่างไม่ชอบใจ “ไอ้นพ เอ็งพูดแบบนี้ได้ยังไง ไอ้หลานไม่รักดี” ชายวัยกลางคนผวาลุกขึ้น ฝ่ามืออวบอูมง้างขึ้นเหนือหัว รู้สึกโกรธจนยั้งใจไม่อยู่เพราะหญิงสาวที่ยื่นมือเข้ามาช่วยยังมีจิตใจดีกว่าหลานชาย เธอห่วงแหนที่ทำกินแทนคนในหมู่บ้าน แต่หลานชายกลับทำเป็นไม่ให้เห็นข้อดีตรงนี้... “อย่าค่ะคุณลุง...!” เสียงหวานแหลมร้องห้าม พร้อมกับคว้าแขนลุงสุกรีอีกข้างเอาไว้ เพื่อไม่ให้ไปถึงอีกคนที่ยืนยิ้มร่า ไม่สะทกสะท้านกับอาการโกรธกริ้วของคนสูงวัย ชลิดาเสียอีกที่อยากตั๊นหน้าอีกฝ่ายให้หายโมโหกับคำพูดนั้นและท่าทางกวนเบื้องล่าง          
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD