สุดท้ายแล้ว...ฉันก็จำต้องยอมซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ของอ้ายกอล์ฟตามที่เขาอยากให้เป็นในที่สุด
อ้ายกอล์ฟพาฉันบิดเร่งความเร็วไปบนถนนใหญ่ พาฉันไปเห็นสถานที่ต่างๆ ที่ฉันไม่เคยมีโอกาสได้เคยมา ไม่ว่าจะห้างสรรพสินค้าใหญ่สองห้างดังที่คนเคยพูดถึงกันบ่อยๆ บริเวณ 5 แยกลาดพร้าว หรือแม้แต่โรงหนังที่อยู่ใกล้กับตัวมหาวิทยาลัย
ตอนนี้ฉันไม่รู้เลยว่าเขากำลังจะพาฉันไปไหน อารมณ์เหมือนกับว่าอ้ายกอล์ฟกำลังพาฉันขับรถเล่นมากกว่า แต่อีกนัยหนึ่งก็เหมือนกับว่าเขากำลังจะพาฉันไปที่ไหนสักแห่งซึ่งจุดหมายคงจะอยู่ในใจเขานั่นแหละ ท้ายที่สุดแล้วอ้ายกอล์ฟก็พาฉันเลี้ยวเข้ามาในซอยแห่งหนึ่ง ก่อนหยุดลงที่หน้าเซเว่นในซอย บริเวณนั้นเต็มไปด้วยนักศึกษาของมหาวิทยาลัยอื่น อารมณ์คล้ายๆ กันว่าแถวนี้มีมหาวิทยาลัยอีกแห่งอยู่ยังไงอย่างงั้น
คนตัวใหญ่จูงมือฉันเดินข้ามถนนไปยังซอยตรงข้ามกับหน้าเซเว่น พาเดินไปยังร้านราดหน้าร้านใหญ่ ซึ่งนั่นตามมาด้วยคำทักทาย
“อ้าวกอล์ฟ ไม่ได้มานานเลยนะ”
“นิดหน่อยป้า” เขาดูสนิทกับป้าร้านราดหน้าจนน่าแปลกใจ
“เอาเหมือนเดิมใช่ไหม”
“ครับ” เขาเหลือบมองหน้าฉันเล็กน้อย มือพลางส่งเก้าอี้พลาสติกมาให้ ก่อนพูดเสริม “2 ชามนะป้า ให้แฟนผมด้วย”
ฉันรีบตีเข้าที่ไหล่ของเขาอย่างทันควัน ส่วนอ้ายกอล์ฟน่ะเหรอไม่ได้ดูสะทกสะท้านกับการถูกตีเลยสักนิด เขายักไหล่แบบไม่ยี่ระทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ จนฉันจำต้องทิ้งตัวลงนั่งตามเขาแบบเสียไม่ได้
ร้านราดหน้าแห่งนี้มีพื้นที่เยอะพอสมควร แถมยังมีอาหารอย่างอื่นให้เลือกสั่ง แต่ที่น่าโมโหก็คือฉันไม่มีโอกาสสั่งสิ่งที่อยากจะกินนี่สิ แถมไอ้ที่อ้ายกอล์ฟบอกแม่ค้าว่าเอาเหมือนเดิม ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร
ตลอดเวลาที่นั่งรออาหารมาเสิร์ฟ คนตัวใหญ่ที่มาด้วยกันไม่พูดอะไรออกมาเลยสักคำ เขาไม่ได้มองฉัน แต่เลือกมองโทรทัศน์ของทางร้านฆ่าเวลา พออยู่ในช่วงที่ไม่ถูกสนใจ คำถามมากมายที่อยู่ในก็เป็นอันสะดุด เพราะฉันไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี
ไม่นาน ช่วงเวลาของการรอคอยก็สิ้นสุดลง เมื่อป้าแม่ค้ายกชามราดหน้าหมีกรอบมาวางลงตรงหน้าเราทั้งคู่ แกมองอ้ายกอล์ฟยิ้มๆ ก่อนเอ่ยขึ้น
“กอล์ฟเนี่ย หน้าตาเหมือนก็อตทุกส่วนเลยจริงๆนะ…” ฉันช้อนตามองป้าแม่ค้าเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ “แล้วก็อตล่ะไปไหน ทำไมไม่มาด้วยกันล่ะ”
“มันก็อยู่แถวๆ นี้แหละป้า” ฉันสัมผัสได้ถึงคำตอบที่ไม่อยากพูดถึงของอ้ายกอล์ฟได้ชัดเจน เขายิ้มให้ป้าแม่ค้าก็จริง แต่จากน้ำเสียงเหมือนตอบเพื่อให้บทสนทนาจบลงก็แค่นั้น
“งั้นฝากบอกก็อตด้วยนะ ว่าป้าคิดถึง ว่างๆ ก็แวะมากินราดหน้าหมี่กรอบที่นี่ได้…”
“อ้ายก็อตเขาชอบกินราดหน้าหมี่กรอบที่นี่เหรอคะ?” มันอาจฟังดูเสียมารยาท แต่ว่าพอได้ยินอะไรที่เกี่ยวกับอ้ายก็อต ฉันก็อดไม่ได้จริงๆ ที่จะแสดงความอยากรู้อยากเห็น
“ใช่จ้า ก็อตเขาชอบกินราดหน้าหมี่กรอบ ส่วนกอล์ฟน่ะจะชอบกินราดหน้าเส้นใหญ่…”
“พอเถอะป้า ขอน้ำแข็งสองแก้ว โค้กด้วยนะ” อ้ายกอล์ฟแทรกเสียงขัดแบบไม่รอฟังป้าแม่ค้าพูดจบ ขณะก้มหน้าก้มตาใช้ช้อนส้อมที่ได้มา เกลี่ยคนเส้นและน้ำราดหน้าให้เข้ากัน
“จ้าพ่อคุณ” โชคดีที่ป้าแม่ค้ามีความขี้เล่นในตัวอยู่พอสมควรหรือไม่ก็อาจเพราะเขากับป้าแม่ค้าคงจะสนิทกันมากก็ได้ เธอจึงไม่ได้แสดงท่าทางไม่พอใจ เมื่อถูกเขาขัดออกมาแบบนั้น แม้ว่าจะไม่ได้ข้อมูลอะไรมาก แต่อย่างน้อยฉันก็ได้รู้ว่าอาหารที่วางอยู่ตรงหน้าคือของชอบของอ้ายก็อต และอีกหนึ่งก็ที่ฉันรับรู้ก็คือร้านราดหน้าแห่งนี้คือร้านที่อ้ายก็อตชอบมากินบ่อยๆ จนถึงขั้นกลายเป็นที่รู้จัก
“ไม่กินหรือไง?” ฉันสะดุ้งเล็กน้อย รีบคว้าช้อนส้อมของตัวเองมากำไว้แน่น สายตาเหลือบมองหน้าอ้ายกอล์ฟที่ตั้งใจกินราดหน้าหมี่กรอบในชามอย่างเอร็ดอร่อย
ฉันควรจะชวนเขาคุย จะได้เริ่มถามเรื่องของอ้ายก็อตสักที…
“อ้ายกอล์ฟชอบทานราดหน้าหมี่กรอบตั้งแต่เมื่อไหร่คะ?” คำถามของฉันทำเอาคนตัวใหญ่ตรงหน้าชะงักมือลงทันที อ้ายกอล์ฟวางช้อนส้อมในมือลง เงยมองฉันในท่ากอดอก
“ถามทำไม?”
“ก็เมื่อกี้ป้าแม่ค้าบอกว่า อ้ายกอล์ฟชอบทานเส้นใหญ่ไม่ใช่เหรอคะ?”
“ถามเพราะอยากรู้ หรือถามเพราะจะเปิดประเด็นคุยเรื่องอื่น?” เขาตอบยอกย้อนไม่ได้ตรงกับคำถามของฉันสักเท่าไหร่ แถมสิ่งที่เขาพูดออกมานั้นมันก็แทงใจดำฉันเอามากๆ เลยด้วย
“ค่ะ หนูมีเรื่องจะถาม” พอถูกจับได้ ฉันก็เลยไม่จำเป็นต้องอ้ำอึ้งอีกต่อไป และนั่นทำให้อ้ายกอล์ฟเปลี่ยนท่านั่งเป็นเท้าคางมองฉันยิ้มๆ
“ว่ามาสิ”
“เรื่องอ้ายก็อตน่ะค่ะ…” ฉันเม้มปากลงเล็กน้อย และหลุบตาลงมองเส้นหมี่กรอบในชามของตัวเอง เพราะกลัวจะเห็นสายตาที่ไม่พอใจของคนตรงหน้า “เขาไม่ได้เรียนที่เดียวกับเราใช่ไหม?”
“มั้ง” อ้ายกอล์ฟตอบสั้นๆ แบบขอไปที
“ถะ ถ้างั้นอ้ายก็อตเขาอยู่ที่ไหน เรียนที่ไหนเหรอคะ?” ฉันไม่ได้มองเขาหรอกนะ แต่หูน่ะคอยเงี่ยฟังคำตอบจากปากของคนถูกถามอยู่ตลอด อ้ายกอล์ฟเงียบไปเกือบสิบวินาทีตามความรู้สึก ก่อนพ่นคำพูดประโยคหนึ่งออกมาดูไม่ได้ตรงกับที่ฉันอยากรู้เท่าไหร่นัก
“ไอ้ก็อตมันไม่ได้แสนดีขนาดนั้นหรอก…” แต่ก็กะไว้แล้วว่าถ้าถามเรื่องอ้ายก็อตจากคนที่บอกว่าเกลียดขี้หน้าเขายิ่งกว่าอะไรดี ก็คงไม่ได้คำตอบดีๆกลับมาแบบนี้นี่แหละ “ไม่มีผู้ชายคนไหนทนรอผู้หญิงคนเดียวได้เป็นปีๆ หรอกนะ”
ฉันเงยมองคนตรงหน้าอีกครั้ง ก่อนพบว่า อ้ายกอล์ฟกำลังเหยียดยิ้มเล็กๆ ซึ่งฉันไม่ชอบรอยยิ้มของเขาเลย แววตาที่เขาใช้มองก็ด้วย มันคล้ายกับว่าเขากำลังดูถูกความรักของฉันและสมเพชไปในคราวเดียวกัน
“ไอ้ก็อตเองก็เหมือนกัน... มันรอเรานานๆ ไม่ได้หรอกนะ”
“...”
“มันมีเมียใหม่ไปนานแล้ว เลิกโง่ เลิกถามถึงมันสักที” พออ้ายกอล์ฟพูดจบ ความเงียบก็เข้าแทรกระหว่างเราสองคนทันที ฉันลดสายตา พยายามแสร้งยิ้มขณะจับช้อนและส้อมเขี่ยหมี่กรอบที่เริ่มชุ่มน้ำส่วนปากก็พูด
“ล้อกันเล่นใช่ไหมคะ…”
“คิดเอาสิ โตแล้วนี่” เขาทิ้งท้ายไว้ให้ฉันใจหายเพียงแค่นั้น ก่อนลุกขึ้นจากที่นั่งเดินเข้าไปด้านในของร้าน เสียงเร่งเร้าขอแก้วน้ำแข็งกับเครื่องดื่มที่สั่งดังขึ้น ก่อนตามมาด้วยเสียงพูดคุยแบบเป็นกันเอง แต่ไม่ใช่กับฉันที่ตอนนี้ในหัวเริ่มถูกกัดกินด้วยความเป็นกังวล
‘ปวดหัวจะตายอยู่แล้ว! ปีนี้พริกคงสอบเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกับอ้ายก็อตไม่ได้แน่ๆ เลย...’ เสียงของฉันที่พูดผ่านโทรศัพท์มือถือ ตอนนั้นฉันจำได้ว่ามันเป็นช่วงที่ลำบากที่สุดเลยก็ว่าได้ ชีวิตฉันต้องจมอยู่กับตำราเรียนมากมาย เพื่อเตรียมตัวสอบ คะแนนและเกรดที่มีในตอนนั้นก็ดูริบหรี่จนเกือบหมดหวัง แต่
‘น้องพริกซะอย่าง...ทำไมจะทำไม่ได้ล่ะคะ?’
‘ก็มันยากนี่…ที่อ่านมาก็ไม่เข้าหัวสักอย่าง’
‘พี่รู้ว่าพริกทำได้ พี่จะรอวันที่พริกมาเรียนกับพี่ที่มหา’ลัยนี้นะ…’ ตอนนี้ฉันทำได้แล้ว และที่ทำได้มันก็เพราะได้รับกำลังจากอ้ายก็อตทั้งนั้น เขาคือคนๆ เดียวที่ให้กำลังใจไม่เคยหายไปไหน ป้อชายใจดี นิสัยน่ารักคนนั้นน่ะเหรอ จะหลอกให้ฉันมาเรียนที่กรงเทพฯ คนเดียว
ไม่จริงหรอก…
ในเย็นวันนั้นฉันแตะราดหน้าที่อ้ายกอล์ฟพามากินเพียงนิดเดียว เพราะคำพูดของเขานั่นแหละมันก็เลยพานให้กินอะไรไม่ลง แม้ว่าจะรู้สึกหิวมากแค่ไหนก็ตาม ฉันแยกกับเขาอีกครั้งที่หน้าห้องพักใครห้องพักมัน ส่วนเรื่องที่เราคุยค้างไว้ตอนอยู่ร้านราดหน้า อ้ายกอล์ฟก็ไม่ได้ปริปากพูดถึงเรื่องน้องชายตัวเองอีก ส่วนฉันก็หมดคำพูดและคำถามเหมือนกัน
พอเข้ามาในห้องของตัวเองสิ่งแรกที่ฉันอยากทำมากที่สุดคือการส่งข้อความหาอ้ายก็อตนั่นแหละ เพียงแค่หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดหน้าจอแชทที่คุยค้างไว้ มือไม้มันก็สั่นไปหมด
พริก :: หนูถึงห้องแล้วนะ
พอกดส่งข้อความเสร็จ ฉันก็ไม่ได้รอข้อความตอบกลับจากเขาหรอก แต่เลือกจะวางโทรศัพท์เอาไว้ แล้วหันไปจัดแจงกับกระโปรงนักศึกษาเพื่อเปลี่ยนเป็นกางเกงขาสั้นใส่สบายๆ แทน
ปี๊บ! ปี๊บ!
ถึงจะบอกว่าไม่ได้รอก็เถอะ แต่พอเสียงเตือนข้อความดังขึ้น ฉันก็รีบย้ายตัวเองตรงไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นเปิดดูทันที
อ้ายก็อต :: เหนื่อยไหม ทำไมกลับถึงห้องค่ำจัง
พริก :: หนูแวะไปทานข้าวกับเพื่อนใหม่มาค่ะ
ฉันโกหกเขาอีกแล้ว…
อ้ายก็อต :: ดีจัง แล้วนี่พริกมีเพื่อนใหม่กี่คนแล้วเนี่ย
พริก :: คนเดียวเองค่ะ ฮ่าๆ
เคยได้ยินแต่ที่คนบอกกันว่า บางทีคนที่กำลังพิมพ์เลข 5 หรือเสียงหัวเราะอยู่ในช่องแชทนั้น บางคนกำลังร้องไห้อยู่ก็มี คล้ายกับฉันตอนนี้ แม้ไม่ได้ร้องไห้ แต่กลับรู้สึกเป็นกังวล ไม่ได้มีอารมณ์ขำขันตามอย่างที่พิมพ์ไปเลยสักนิ
พริก :: อ้ายก็อต หนูมีเรื่องอยากถาม
สุดท้ายฉันก็ทำนิสัยเดิมๆ ลงไป เมื่อทนไม่ไหวกับความสงสัยที่มี ปลายนิ้วจึงพิมพ์ถามเขาออกไปแบบนั้น
อ้ายก็อต :: ถามมาสิคะ
พริก :: ตั๋วไม่ได้เรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกับเฮาใช่ก่อ?
ปลายทางเงียบไปราวๆ 2 นาทีเห็นจะได้ เหมือนกับตอนที่ฉันถามเขาผ่านสายโทรศัพท์ไม่มีผิด แต่แล้วไม่นานเขาก็ตอบกลับมา
อ้ายก็อต :: ใช่ค่ะ
แถมยังยาวเสียด้วย…
อ้ายก็อต :: พี่ไม่ได้เรียนที่นั่น คนที่เรียนคือพี่ชายของพี่เอง
อ้ายก็อต :: โกรธพี่หรือเปล่าคะ?
จริงๆ ด้วยสินะ เขาไม่ได้เรียนที่นี่ตามอย่างที่อ้ายกอล์ฟว่าไว้จริงๆ ถึงอย่างนั้นฉันก็อยากรู้ความจริงในสิ่งที่เขาเป็นอยู่ดี
พริก :: แล้วอ้ายก็อตเรียนอยู่ที่ไหน
อ้ายก็อต :: ห่างจากมหาวิทยาลัยที่หนูเรียนไปหน่อยหนึ่ง
พริก :: ที่ไหนคะ?
อ้ายก็อต :: มหาวิทยาลัยเอกชน K
อ้ายก็อต :: โทรคุยกันดีกว่านะ พี่อยากอธิบาย
ไม่ถึง 5 วินาทีหลังจากฉันเปิดอ่านข้อความ โทรศัพท์ในมือก็ส่งเสียงดังพร้อมทั้งสั่นอย่างรุนแรง ชื่อที่ขึ้นปรากฏอยู่บนหน้าจอคือชื่อของ ‘อ้ายก็อต’ จริงๆ นั่นแหละ เห็นดังนั้นฉันจึงกดรับสาย
“เจ้า…”
[พริก…] เสียงจากปลายสายฟังดูอ่อนและเบา แถมเขายังเป็นฝ่ายพูดขอโทษฉันออกมาก่อนตามอย่างที่บอกไว้ในข้อความ [เรื่องที่เราคุยค้างกันไว้น่ะ พี่ขอโทษนะ]
ฉันไม่ได้ตอบแต่เลือกที่จะฟังเขาเงียบๆ
[พี่อยากให้พริกสอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ มหาวิทยาลัยที่พี่ไม่สามารถเข้าได้…] น้ำเสียงของเขาฟังดูเป็นห่วงฉันเหมือนทุกครั้ง จริงใจและเต็มไปด้วยการตั้งความหวัง [พริกไม่โกรธพี่ใช่ไหม…]
แต่ฉันก็ยังรู้สึกช็อกอยู่ดีที่เขาโกหกฉันเรื่องที่เรียน...
“โกรธค่ะ” ฉันตอบเขากลับไปสั้นๆ จนปลายสายเงียบไป “หนูโกรธที่พี่หายไป ทั้งที่บอกว่าเราจะได้เจอ หนูโกรธที่ไม่ว่าจะถามเรื่องพี่กับใครก็ไม่มีใครรู้จักพี่เลยสักคน แถมยัง…”
[…]
“มีคนบอกว่าพี่มีคนอื่น” ต่อให้จะคิดว่าคำพูดอ้ายกอล์ฟมันไม่น่าเชื่อถือ แต่ว่า มันก็อดเก็บมาคิดมากไม่ได้จริงๆ ในเมื่อสถานการณ์ทั้งหมดมันส่อสื่อออกมาเป็นแบบนั้น
[พี่มีคนอื่นไม่ได้หรอก… แค่กๆ] อ้ายก็อตกล่าวขึ้นเสียงเรียบ และไอออกมาเสียงดัง [พี่มีแค่พริกคนเดียวมันก็เกินพอแล้ว]
“อ้ายก็อต… ไม่สบายเหรอ?” ฉันน่ะเบื่อตัวเองตรงที่ ต่อให้จะโกรธหรือโมโหใครก็แล้วตาม แต่พอได้ยินน้ำเสียงของเขาหรือเห็นท่าทางที่แปลกไป ก็มักจะลืมตัวถามด้วยความเป็นห่วงทุกที
[ค่ะ ก็พี่บอกแล้วไง ว่าพี่ไม่สบาย แค่กๆ]
“ทานข้าว ทานยาหรือยังคะ?”
[เรียบร้อยแล้วค่ะ] พอเราเริ่มคุยเรื่องอื่นกัน ฉันก็ไม่กล้าที่จะย้อนกลับไปถามเรื่องที่ค้างคาใจ แค่รู้ว่าเขาไม่สบายฉันก็รู้สึกเป็นห่วง จนไม่มีกระจิตกระใจทำเรื่องอื่นแล้วล่ะ
“อ้ายก็อตไปนอนพักไหมคะ?”
[ไม่เอา ไม่ไปหรอก] เขาทำเสียงจริงจัง [พริกยังโกรธพี่อยู่ แถมยังทำเหมือนไม่เชื่อใจกันแบบเนี่ย พี่ไม่วางแล้วหนีไปนอนหรอกค่ะ]
“บ่ต้องมาอู้เลย!” พอได้ฟังเสียงออดอ้อนของเขามันก็อดหัวเสียไม่ได้ ซึ่งในขณะเดียวกันมันก็รู้สึกเขินไปด้วย “อ้ายก็อตทำตั๋วบ่น่าเชื่อใจ้ น้องจะกล้าไว้ใจได้กา”
[ทำไมเวลาโกรธต้องอู้เหนือใส่พี่ด้วยล่ะ ฮ่าๆ]
“บ่ต้องมาคักใส่น้องเน้อ น้องโกรธอ้ายอยู่ ฮู้ก่อ!?”
[ฮู้ครับ ฮ่าๆ ไม่เอาไม่งอนนะ...เออ พี่มีอะไรจะส่งให้ด้วย]
“อะหยัง?”
[น้องพริกเปิด Mail ดูสิ แค่กๆ] ฉันเบ้ปากเมื่อได้ฟัง เอาจริงๆ ตอนนี้ฉันเกือบลืมไปแล้วว่าโกรธเขาอยู่ เพราะไม่เคยไว้ใจ ไม่เคยเชื่อใจใครได้เท่ากับอ้ายก็อตมาก่อน อาจดูเหมือนคนโง่ แต่เพียงแค่เขาพูดว่า รักและมีฉันคนเดียว เหตุผลอื่นที่เป็นประเด็นในวันนี้ก็หมดความหมายไปแล้วล่ะ
“เปิดก็ได้ แต่อ้ายก็อตต้องรีบวางสายไปนอนพักเน้อ เดี๋ยวบ่หาย”
[ไล่ตลอดเลย แอบมีคนอื่นป่ะเนี่ย] ต่อให้นั่นจะเป็นคำถามล้อเล่นของอ้ายก็อตก็ตาม หากแต่มันดันเป็นคำถามแทงใจดำฉันสิ้นดี มันคงไม่ดีแน่ถ้าหากว่าเขารู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับพี่ชายของตัวเอง
“อย่ามาอู้อะหยังมั่วๆ เน้อ!” ฉันแย้ง ต่อให้สิ่งที่อ้ายก็อตสงสัยเล่นๆ จะมีเศษเสี้ยวความจริงหลงเหลืออยู่ก็ตามที
[ฮ่าๆ พอโดนถามมาบ้างถึงกับโวยวายเชียว ร้ายนะเรา] อ้ายก็อตแซวเสียงติดตลก ก่อนเสริมขึ้นอีกครั้งเมื่อฉันเลือกที่จะเงียบ [ถ้างั้นพี่วางแล้วนะ อย่าลืมดูที่พี่ส่งไปทางเมลล์ล่ะ]
“ฮู้แล้ว อ้ายก็อตก็รีบไปนอนด้วย จะได้หายไวๆ” สิ้นเสียง ปลายสายไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แต่กดวางสายไป
ส่วนฉันเองก็ไม่รอช้ารีบโยนโทรศัพท์ลงบนเตียง วิ่งตรงไปที่กระเป๋าข้าวของที่เตรียม เพื่อจัดการหยิบโน็ตบุคเครื่องสำคัญออกมา จากนั้นก็จัดการต่อ Wifi ของหอพัก เพื่อเปิดดูเมลล์ที่อ้ายก็อตว่าด้วยความตื่นเต้น
ในส่วนของหน้าจอ E mail นั้นมีข้อความจากอ้ายก็อตซึ่งไม่ได้เปิดดูอยู่ 2 ฉบับ ดังฉันเลยเลือกกดเปิดดูเมลล์ฉบับแรกที่ถูกส่งเข้ามาวันนี้เมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วเป็นฉบับแรก
ภาพที่ปรากฏในจอสี่เหลี่ยมคือภาพวิดีโอของผู้ชายคนหนึ่ง ในชุดนักศึกษาสีขาวสะอาดตา เขาแต่งกายด้วยชุดของมหาวิทยาลัยเอกชน K จริงๆ ตามอย่างที่บอกไว้ในสาย นอกจากเข็มตราที่ติดบนเนคไทแล้ว ที่ข้างตัวเขายังมีป้ายผ้าของมหาวิทยาลัยผูกอยู่ด้วย
(พริกพี่หล่อไหม?) คำถามสั้นๆ กับใบหน้ายิ้มแย้มในแบบที่ฉันชอบ กำลังเล่นหูเล่นตาผ่านกล้อง อ้ายก็อตในภาพเคลื่อนไหว กำลังเต๊ะท่าน่ารัก ก่อนเลื่อนมือไม้ขึ้นจัดทรงผมของตัวเอง ส่วนปากก็พูดไป (กำลังโกรธพี่อยู่หรือเปล่า ที่พี่หายไปแบบนี้ ไม่โกรธนะคะ คนดี)
“คนบ้า ยะหยังก็บ่ฮู้!” ฉันบ่นพึมพำ อมยิ้ม ขณะที่สายตามองหน้าอ้ายก็อตผ่านภาพเคลื่อนไหวตรงหน้า
(ตอนนี้ วันนี้ เราอาจจะไม่ได้เจอกัน แต่พี่สัญญาพี่จะไปหาพริกแน่นอน) และทุกๆ คำพูดของอ้ายก็อตที่ดังผ่านลำโพงโน็ตบุคมันก็ทำให้ฉันยิ้มได้ทุกครั้ง (เชื่อใจพี่นะคะ พี่รักพริกคนเดียว…รักที่สุดในโลกเล้ยยย)
“คนผีบ้า…” ฉันหลุดพึมพำด้วยความเขิน และเริ่มรู้สึกเกลียดตัวเองตรงนี้นี่แหละ ที่ดันเชื่อใจ มั่นใจในตัวเขาเสียทุกอย่าง เขาชี้นกเป็นนก เขาชี้ไม้เป็นไม้ได้ขนาดนี้
หลังคลิปภาพเคลื่อนไหวจบลง ฉันจึงตัดสินใจกดเปิดเมลล์ที่เหลือของอ้ายก็อตขึ้นมา และเมื่อภาพเคลื่อนไหวปรากฏขึ้นบนหน้าจอฉันก็ต้องตกใจเมื่อพบว่า ในภาพดังกล่าวคือผู้ชายสองคนที่มีลักษณะหน้าตาคล้ายกัน ราวกับว่าโคลนนิ่ง
(ไอ้กอล์ฟ มองกล้องหน่อย!) เสียงของอ้ายก็อตในคลิปฟังดูมีความสุข แต่ไม่ใช่กับผู้ชายอีกคนที่ถูกสั่งให้มองกล้องแบบไม่เต็มใจนัก (พริก วันนี้พี่จะแนะนำให้รู้จักร่างโคลนของพี่)
ท่าทางของอ้ายก็อตที่ปรากฏในคลิปดูสนิทกับอ้ายกอล์ฟตามอย่างที่ปากพูดจริงๆ แต่ที่ฉันสนใจตอนนี้มันดันไม่ใช่สีหน้ากับท่าทางร่าเริงของอ้ายก็อตนี่สิ แต่กำลังสนใจสีหน้าเบื่อโลกกับนัยน์ตาคมที่มองจ้องผ่านการถ่ายภาพ คล้ายกับจะเจาะทะลุหน้าจอมองผ่านมาที่ฉัน
อ้ายกอล์ฟกอล์ฟในภาพวิดีโอดูนิ่งกว่าตัวจริงมากนัก โดยเฉพาะกับแววตาที่จ้องกล้องนิ่งๆ ไม่แสดงสีหน้าหรือความรู้สึกใด
(มึงไม่ยิ้มเลยอ่ะกอล์ฟ ทำหน้าแบบนี้ เดี๋ยวพริกเห็นก็ตกใจพอดี)
(ตกใจเหรอ?)
เสียงเข้มของอ้ายกอล์ฟย้อนถามนิ่งๆเหมือนไม่สบอารมณ์เหมือนลืมไปว่าพวกเขากำลังถ่ายคลิปกันอยู่ เขาเหลือบหางตามองน้องชายตัวเองเล็กน้อย ก่อนกลอกตากลับมาที่หน้ากล้องแล้วพูดขึ้นเสียงเดิม
(เห็นแล้ว...คงไม่ใช่แค่ตกใจหรอก แต่อาจจะช็อกตายไปเลยก็ได้)