“เฮ้ย! ทำไรอ่ะ?”
ร่างกายทุกส่วนชะงักงันอย่างอัตโนมัติ เท้าที่กำลังตั้งท่าจะกระทืบใส่กาละมังเบรกเอี๊ยด รีบหันขวับเหลียวหลังมองต้นเสียงโดยฉับพลัน ก่อนพบว่าผู้ชายที่ฉันพยายามจะเอาคืนทางอ้อมกำลังยืนคาบบุหรี่เกาะขอบประตูห้องน้ำมองด้วยสายตาไม่ค่อยพอใจนัก
สมองฉันรวน อาการค้างกับไวรัสลงเครื่องคอมพิวเตอร์ ปากพะงาบๆ พยายามหาคำตอบที่ดีส่งให้เขา
“นะ…” พออ้าปากจะตอบ เขาก็ดันใช้สายตาเขม้นมอง ราวกับจะคาดคั้นให้ฉันพูดความจริง
“อะไร” แถมยังย้อนถามน้ำเสียงหาเรื่อง ทางเลือกสุดท้ายที่มีคือการฉีกยิ้มหวาน ประสานมือไว้แนบอก ทำตาปริบๆ แล้วพูดโต้ตบออกไปด้วยน้ำเสียงที่หวานที่สุดเท่าที่ชีวิตนี้เคยทำมา
“น้องก็ซักผ้าให้อ้ายกอล์ฟไงเจ้า~” คนตัวสูงกลอกตามองผ้าในกาละมัง พลางก้าวเท้าเข้ามาภายในห้องน้ำโดยไม่พูดอะไร เห็นดังนั้นฉันจึงรีบชิงเปิดปากพูดออกไปก่อนตามประสาคนร้อนตัว
“คนบ้านหนูเขาบอกว่าใช้เท้าย่ำผ้า จะทำให้ผ้าสะอาดขึ้น”
“เหรอ?” เขาย้อนสั้นๆ
“เจ้า~” ฉันรีบเอื้อมมือดันแขนเขาที่ทำท่าจะเดินมาใกล้ ส่วนปากก็พูดไป “อ้ายกอล์ฟออกไปรอข้างนอกก่อนเน้ออ~”
หมับ!
ฉันสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกมือหนาของคนตัวใหญ่คว้าหมับเข้าที่ข้อมือ แบบไม่ทันตั้งตัว ก่อนเริ่มรู้สึกถึงแรงบีบรัดที่เพิ่มมากขึ้น จนต้องช้อนตามองเขาแบบตรงๆ
“ไม่ไป” อ้ายกอล์ฟพ่นคำพูดสั้นๆ เขากำลังมองฉันอยู่ และดูท่าว่าจะมองแบบนี้มาสักครู่แล้วด้วย “อยากอยู่ด้วย”
“หนูจะซักผ้า!” ฉันปฏิเสธคำพูดดังกล่าวแบบไม่ลังเล รีบสะบัดแขนให้หลุดเป็นอิสระ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ทำให้ความต้องการของคนตัวใหญ่ลดลงเลย
อ้ายกอล์ฟยังคงยืนกรานความต้องการของตัวเองด้วยการเคลื่อนกายหันเข้าหาฉันในระยะประชิด เมื่อเห็นว่าท่าไม่ดีเท้าข้างถนัดจึงเริ่มก้าวถอยหลังเพื่อเว้นช่องว่างระหว่างเราเอาไว้ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความซวยหรือความโง่ของฉันกันแน่ ที่เท้าข้างที่ก้าวดันพลาด เหยียบเข้ากับก้อนสบู่ที่วางอยู่บนพื้นจนเสียหลักล้มตึงลงไปกองอยู่ในกาละมังซักผ้า และ…
กึก! โครมมม!
เพราะเสียการทรงตัวฉันก็เลยพลาดล้มก้นจ้ำเบ้าลงไปในกาละมังซักผ้าซึ่งเต็มไปด้วยฟองของผงซักฟอก
“เบ๊อะ!” อ้ายกอล์ฟซึ่งมองเหตุการณ์อยู่ใกล้ๆ ก่นคำต่อว่า พลางย่อตัวลงนั่งยองๆ ข้างกาละมัง หรี่ตามองฉันสภาพน่าอายนิ่งๆแล้วถาม “ทำไมไม่หัดระวังตัวบ้าง?”
รู้ไหมน้ำเสียงของเขาในตอนนี้ไม่เหมือนอย่างที่เคย ต่อให้เขาจะดูร้ายกาจมากแค่ไหน แต่น้ำเสียงที่ฉันได้รับในครั้งนี้กลับฟังดูใจดีและให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
“ถ้าเป็นไรไปจะทำยังไง” ไม่ใช่แค่คำพูดต่อว่าที่คล้ายกับเป็นห่วงฉัน ต่างจากภาพลักษณ์ปกติที่เขาแสดงให้เห็นเท่านั้น แต่อ้ายกอล์ฟยังแสดงน้ำใจ ยื่นมือเข้ามาช่วยดึงฉันให้ลุกขึ้นอีกด้วย
“ขะ ขอบคุณค่ะ…” ท่าทีที่เปลี่ยนไปของเขาตอนนี้ มันเริ่มทำให้ฉันทำตัวไม่ถูก
ฟึ่บ!
“ว๊ายยย” และในช่วงเวลานั้นเองฉันก็ต้องหวีดเสียงร้อนออกมา เมื่อจู่ๆ อ้ายกอล์ฟใช้มือช้อนร่างฉันขึ้นจนลอยแบบไม่ทันให้ระวังตัว
“ที่เข่าเลือดออก…” เขาพูดออกมาแค่นั้นก่อนอุ้มประคองร่างฉันที่ชุ่มไปด้วยน้ำในกาละมังเดินออกจากห้องน้ำ และพอมองดีๆ แล้วมันก็จริงอย่างที่เขาว่า เข่าฉันมีเลือดซึมออกมานิดหน่อย อาจเพราะตอนพลาดล้มลงไปในกาละมังเข่าฉันคนกระแทกหรือครูดเข้ากับขอบพลาสติกคมๆ ก็ได้
อ้ายกอล์ฟอุ้มฉันมานั่งพักอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่กลางห้อง เขาจัดการเดินหาผ้าขนหนูเพื่อเตรียมให้ฉันเช็ดตัว รวมไปถึงกล่องปฐมพยาบาลเพื่อที่จะทำแผลให้ ตลอดเวลาที่เขาทำแผลติดพลาสเตอร์ให้นั้น คนตัวใหญ่ไม่ได้พูดอะไรสักคำ เหมือนกับฉันที่เอาแต่นั่งมองเขาเงียบๆ จนกระทั่งทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย
“ระวังๆ บ้างนะ…” นี่ไม่รู้เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วที่เขาพูดจาดีๆ แบบนี้ใส่ฉัน โดยเฉพาะกับแววตาที่อ้ายกอล์ฟใช้มอง มันเต็มไปด้วยความเป็นห่วงในแบบที่ฉันไม่เคยรู้ว่าคนอย่างเขามีให้คนอื่น
ไม่รู้เพราะว่าเขาคือพี่ชายฝาแฝดของอ้ายก็อตหรือเปล่า ชั่ววูบหนึ่งฉันถึงได้รู้สึกว่าเขาในตอนนี้น่ะ
ใจดีเหมือนกับอ้ายก็อตของฉันไม่มีผิด...
ก๊อกๆ!
เสียงเคาะประตูทำเราทั้งคู่ที่ตกอยู่ท่ามกลางความเงียบสะดุ้งอย่างพร้อมเพรียงกัน ก่อนที่อ้ายกอล์ฟจะเป็นฝ่ายผละตัวไปก่อน เขาเดินไปยังประตูตามเสียงเคาะเรียก แต่ยังไม่ทันที่จะไปถึง อีกฝากของประตูไม้ก็มีเสียงเล็กแหลมของผู้มาเยือนดังขึ้น เสียงของเธอคนนั้นฟังดูโกรธจัดและเอาเรื่องน่าดูซึ่งนั่นรวมถึงเสียงเคาะประตูอย่างมีมารยาทในตอนแรกก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
“กอล์ฟ! แอลโทรไปหลายรอบทำไมไม่รับสาย!”
ตึง!! ตึง!!
“เปิดประตูให้แอลเดี๋ยวนี้นะ!!”
ตึง! ตึง!
เสียงทุบประตูที่ดังสนั่นปานว่าตึกไฟไหม้ ทำฉันที่นั่งมองสถานการณ์จากภายในห้องนั่งเล่น เม้มปากลงเล็กน้อยด้วยความตกใจและสงสัยไปในคราวเดียวกัน ส่วนเจ้าของห้องก็เอาแต่ยืนนิ่งไปครู่ใหญ่ๆ ก่อนจะจัดการปลดล็อกกลอนและเปิดประตูห้องในที่สุด
แอ้ดดด…
“ทำไมกอล์ฟไม่รับสายแอล!” เสียงเล็กแหลมหวีดดังขึ้นทันทีที่เมื่อเธอถูกต้อนรับ จากมุมนี้ฉันสามารถมองเห็นเธอได้ชัดอยู่พอสมควร
แขกที่มาเยือนห้องนี้คือหญิงสาวรูปร่างผอมเพรียวในชุดนักศึกษา เธอทำผมสีจัดพอๆ กับสีสันบนใบหน้า แต่เธอไม่ได้มาคนเดียวหรอกนะ เพราะที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอนั้นคือเด็กสาวอีกคน แต่มีลักษณะภายนอกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เธอทำผมสั้นแต่งกายด้วยชุดนักศึกษาหากแต่กระโปรงยาวคลุมเข่าลงมา ดูแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“กอล์ฟนอกใจแอลเหรอ!?” เสียงตะคอกเชิงหาเรื่องของหญิงสาวแปลกหน้าคนเดิม ทำฉันสะดุ้งเฮือก เพราะในจังหวะเดียวกันเธอก็ใช้มือผลักไหล่อ้ายกอล์ฟให้หลบพ้นทาง พุ่งสายตามายังฉันที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แน่นอนว่าเธอไม่รอช้า รีบสาวเท้าเดินไวตรงมาทางฉันทันแบบเร่งด่วน ไม่ต้องมีคำพูดจาหรือแนะนำตัวต่อกันซ้ำร้ายยังถือวิสาสะกระชากแขนฉันให้ลุกออกจากเก้าอี้พร้อมทั้งพ่นคำถามใส่
“เธอเป็นใคร!?”
“ฮะ… เฮา”
“อ๋อออ” เธอหวีดลากเสียงแบบไม่รอฟังให้จบ ริมฝีปากสีสดเหยียดยิ้มคล้ายกับรู้ทัน ก่อนจะพูดออกมาเอง “ชื่อเฮาเหรอ?”
“บ่ใจ้!” ฉันรีบรัวคำพูดเพื่อแก้ต่างให้ตัวเองทันที พอพูดปฏิเสธออกไป หญิงสาวชาวกรุงตรงหน้าก็นิ่งลงแทบจะทันทีเช่นกัน เธอสะบัดมือที่จับแขนฉันเอาไว้แล้วหันไปมองพี่กอล์ฟที่เอาแต่ยืนนิ่งหลังพิงกำแพงไม่พูดไม่จา
“กอล์ฟ ยัยนี่เป็นใคร!”
“ถามเอาสิ” ส่วนนั่นคือคำตอบของพี่กอล์ฟ ต่อให้ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้มันเกิดเรื่องวุ่นวายอะไรขึ้น แต่เชื่อเถอะว่าสัญชาตญาณของฉันมันบอกได้ว่าทุกคนดูไม่เป็นมิตรเลยสักราย เว้นแต่หญิงสาวอีกคนที่ยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูแบบเดียวกับอ้ายกอล์ฟ
“หล่อนเป็นใคร!” เพราะเมื่อกี้พูดภาษาบ้านเกิดออกไป แต่เธอคนนั้นกลับเข้าใจผิด ฉันก็เลยกลั้นใจตอบออกไปอีกหนด้วยภาษาสำเนียงที่เธอน่าจะฟังออก
“หนูชื่อพริกค่ะ”
“พริก!?” เธอย้อนเสียงสูง ฉันจึงพยักหน้าหงึกๆ แทนคำตอบเพื่อเลี่ยงการต่อปากต่อคำ
“เธอเป็นอะไรกับกอล์ฟ!?” ต่อให้ไม่รู้ว่าเธอคนนี้ชื่ออะไรและเป็นใคร แต่จากลักษณะที่คำพูดคำจาเหมือนจงอางหวงไข่ คงจะมีแค่คนโง่เท่านั้นแหละที่มองความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเจ้าของห้องนี้ไม่ออก
“คือ…”
“อ้ำอึ้งอะไรล่ะ รีบๆ ตอบสิ!!” อีกครั้งที่เธอเริ่มทำรุนแรงใส่ฉันด้วยการพุ่งมือเข้าเขย่าไหล่สองข้างไปมาอย่างแรง
บอกเลยนะว่าฉันไม่ได้กลัวเธอคนนี้หรอก แต่ฉันแค่เป็นคนมีมารยาทพอที่จะพูดดีๆ กับเธอก่อน แต่ถ้าหากมากไปฉันก็คงต้องเริ่มทำนิสัยเสียแบบนี้บ้างเหมือนกัน
“ฉันเป็น…” ทว่า ในตอนที่กำลังจะตอบเพื่อกลบเกลื่อนออกไปนั้น กลับมีเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“ยัยนั่นเป็นกะเหรี่ยง ฉันจ้างมาทำความสะอาดห้อง มีไรป่ะ?” ฉันอ้าปากค้างเมื่อได้ฟังคำพูดดังกล่าวของเจ้าของห้อง รีบหันขวับมองค้อนเจ้าของคำพูดด้วยความไม่พอใจ
“จริงเหรอ?” อีกครั้งที่เจ้าหล่อนยิงคำถาม เพราะไม่ได้เป็นคนสร้างเรื่องโกหก ฉันเลยลังเลที่จะมีปากมีเสียง ใช้เพียงสายตาจดจ้องหน้าอ้ายกอล์ฟและหวังว่าเขาจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง แต่
“ยัยนั่นพูดไทยไม่ชัด พูดเป็นแค่หนูชื่อพริก” เขาดันพูดจาเหมือนจงใจจะแกล้งฉันชัดๆ
“เธอพูดไทยไม่ได้เหรอ?” คำถามต่อมาของหญิงสาวทำฉันสะดุ้งเฮือก รีบละสายตาจากหน้าพี่กอล์ฟมาที่เธอ และต้องพบว่าเธอกำลังมองฉันกลับมา ไม่ใช่แค่นั้นแต่เธอยังย้ำคำถามเดิมออกมาด้วย “ถามว่าพูดไทยไม่ได้เหรอ?”
ฉันกลอกตามองหน้าอ้ายกอล์ฟสลับกับเจ้าหล่อนไปมา คนหนึ่งก็ส่งสายตากดดัน อีกคนก็ส่งสายตาประมาณว่าให้สวมรอยเป็นกะเหรี่ยงโดยสมบูรณ์
เดี๋ยวนะ! นี่ฉันมาเรียนหรือมายะอะหยังในกรุงเทพฯ เนี่ย!
“ว่าไง สรุปพูดไทยได้ไหม?” คำถามเร่งเร้าคำถามเดิม กับสายตาสามคู่ที่มองมาเป็นจุดเดียวกัน มันทำให้ไม่มีทางเลือก เพื่อเลี่ยงปัญหาเรื่องความสัมพันธ์รวมไปถึงความลับที่เกิดขึ้น ฉันก็เลยจำต้องพูดในสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะต้องทำ…
“นู พู ทา ม่า ด้า ค่า!”