บทที่ 2 (NC)

3774 Words
Facts are stubborn things. ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย หอพักรวม A เวลา 22.35 นาฬิกา เกร้ง! เสียงชนแก้วดังขึ้นภายในห้องพัก ตรงหน้าผมมีร่างเพรียวบางของผู้หญิงซึ่งผมไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้เจอนั่งอยู่ด้วย เธอน่ารัก ผิวขาว ตาโต โดยรวมคือสวยมากจนผมไม่สามารถละสายตาไปจากเธอได้ ยิ่งได้เห็น ได้มองใกล้ๆ ผมยิ่งอดรู้สึกอิจฉาผู้ที่เป็นเจ้าของหัวใจเธอแบบไอ้ก็อตไม่ได้ นับตั้งแต่ได้เจอหน้า กว่าจะชักชวนเธอมานั่งในห้องได้ก็เล่นกินเวลาไปหลายชั่วโมงอยู่เหมือนกัน เวลานี้ผมดื่มเหล้า แต่เธอเลือกที่จะดื่มเพียงน้ำอัดลมแทนการฉลองที่เราทั้งคู่มีโอกาสได้เจอกัน ถ้าว่ากันตามจริงก็ เธอฉลองเพราะคิดว่าได้เจอไอ้ก็อตนั่นแหละ “อ้ายก็อตพักที่นี่มานานแล้วก่อเจ้า?” ท่ามกลางความดีอกดีใจ (ของเธอคนเดียว) น้องพริกก็ถามขึ้น ก่อนยกแก้วน้ำอัดลมขึ้นจิบตามมารยาททันทีที่ผมส่งแก้วให้ราวกับเป็นการฉลอง “ค่ะใช่ พี่อยู่คนเดียวตั้งแต่ตอน ม.6 แล้ว” ส่วนผมก็ตอบเธอส่งๆ แต่ก็ใช่ว่ามันไม่ใช่ความจริงซะที่ไหน เพราะผมอยู่ที่นี่คนเดียวมาตั้งแต่ ตอน ม.6 แล้ว “บังเอิญเจอกันแบบเนี่ย อ้ายก็อตก็ไม่เซอร์ไพรส์เลยสิ” คนตัวเล็กยู่ปากด้วยท่าทางน่ารัก ถ้าให้ตีความ เธอคงหมายถึงเรื่องที่เธอมาอยู่ที่กรุงเทพฯชัวร์ ซึ่งถ้าถามว่าผมเซอร์ไพรส์ไหม บอกเลยว่ามาก! “แค่ได้เห็นหน้าพริกใกล้ๆ เหมือนสมัยก่อน พี่ก็เซอร์ไพรส์จะแย่แล้วค่ะ” “พออยู่กับอ้ายก็อตแบบนี้แล้ว พริกนึกถึงเรื่องสมัยเรียนด้วยกันขึ้นมาเลย…” น้องพริกยิ้มหวานจนตาปิดและพูดอะไรบางอย่างออกมา “อ้ายก็อตจำอองตองได้ก่อ?” ผมแทบอยากจะยกมือทาบอกหรือไม่ก็ยกเท้าก่ายหน้าผากให้รู้แล้วรู้รอด พอได้ฟังแบบนั้นผมก็ชักเริ่มสัมผัสถึงความซวยร่ำไรอยู่ตรงหน้า เสียงในอกตะโกนดังขึ้นมาว่า ฉิบหายแล้ว อองตองคือห่าอะไรวะ?! ทำไมไอ้ก็อตไม่เห็นเคยพูดถึง!? แต่แล้วในตอนนั้น เธอพูดออกมาอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “อองตองมันตายแล้วนะคะ...” ผมไม่รู้หรอกว่าอองตองที่ว่านี่มันสำคัญอะไรสำหรับเธอกับไอ้ก็อต แต่ดูจากท่าทางตอนพูดของเธอแล้ว ดูเหมือนไอ้อองตองอะไรนี่จะดูสำคัญมากจริงๆ “มันวิ่งออกไปที่ถนน ก็เลยถูกรถกระบะส่งผักบนดอยชนตาย” “อ๋ออออ…อองตอง” ผมแสร้งลากเสียงยาว เดาผิดเดาถูกไปตามรูปการที่ได้ฟังและเริ่มออกปากว่า “ไอ้หมาไม่รักดี บอกกี่ทีแล้วว่าอย่าวิ่งไปที่ถนนแบบนั้น!” พูดจบก็รีบกระดกเหล้าเข้าปากทันทีเพื่อลดอาการประหม่า ทว่า อีกฝ่ายดันขัดออกมา “ไก่ป่าเจ้า อองตองคือไก่ป่าต่างหาก!” ผมสงบนิ่งจนเกือบสำลัก เมื่อถูกแย้งกลับมาแบบนั้น อาการร้อนตัวเริ่มประทับองค์ทรงร่างทันที “หมาน่ะ มันชื่ออองแองต่างหากล่ะ” เหยดเข้! นอกจากไก่จะชื่ออองตองแล้ว ยังมีหมาชื่ออองแองอีกเหรอ?! “หนูว่าจะบอกในข้อความหลายทีแล้ว แต่ก็ลืมทุกที เพิ่งมานึกได้ตอนอยู่ด้วยกันนี่แหละ… อ๊ะ” เสียงหวานๆ ของคนตรงหน้าเงียบลง เมื่อผมตัดสินใจเอื้อมมือวางลงบนไหล่ แสดงสีหน้าเศร้าสร้อยให้เธอเห็น จนอีกฝ่ายเอ่ยปากถาม “อะ อ้ายก็อตเป็นหยังเจ้า?” สิ้นเสียงคำถาม ผมก็จงใจสั่นตั้งแต่ปลายนิ้วที่จับไหล่เธอไล่ยาวมาตามแขน สั่นแรงเสียยิ่งกว่าเจ้าประทับร่างในรายการโทรทัศน์ก็ว่าได้ จากนั้นก็ตอบออกไปด้วยน้ำเสียงที่สั่นไม่แพ้กัน “พะ พี่…” ผมเว้นช่วงหายใจเล็กน้อย ก่อนสะบัดหน้าหลบสายตาคล้ายกับเศร้าอะไรนักหนาพร้อมทั้งละล่ำละลักคำพูดเสียงสั่นเทาเคล้าเสียงสะอื้น “พะ พี่ตกใจที่อองตองมันตาย…ฮึก” ไม่ใช่แค่พูดแต่ผมยังฉวยโอกาสในตอนนั้นวางแก้วเหล้าในมือลงโผเข้าสวมกอดเธอที่นั่งอยู่ใกล้ โดยไม่ลืมพูดแสดงความรู้สึกในใจออกไป ตามประโยคที่ว่า ‘วางมือบนบ่าน้ำตาก็ไหล’ “ฮึกๆ เศร้าแรง…” หมับ! ปุบๆ! แล้วตอนนั้นเอง ผมก็ได้พบกับสิ่งไม่คาดฝัน เมื่อคนตัวเล็กตรงหน้าอ้อมแขนกอดตอบกลับมา ไม่ใช่แค่นั้นแต่เธอยังตบเบาๆ กลางหลังคล้ายกับเป็นการปลอบปะโลม ขณะพูดไปด้วย “ไม่ต้องเสียใจเน้อ อองตองมันไปดีแล้ว” อาจเพราะว่าเธอคงเชื่อว่าผมคือไอ้ก็อตจริงๆ ล่ะมั้ง พริกถึงไม่ได้แสดงท่าทางรังเกียจอะไรยามถูกผมจู่โจมเข้ากอด เรียกว่าเธอเหมือนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังถูกผมหลอกแตะเนื้อต้องตัว เมื่อผลประมวลสถานการณ์แสดงออกมาเช่นนั้น ผมก็ยิ่งรู้สึกสนุกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก อย่างที่บอกนั่นแหละ ผมเกลียดทุกอย่างที่ไอ้ก็อตมีหรือได้ไป อะไรที่เป็นของมันผมก็อยากแย่ง อยากพังมันให้พินาศไปซะให้หมด ตอนนี้ก็เช่นกัน ผมรู้สึกอยากทำลาย อยากได้มาไว้ในครอบครอง ทั้งหมดนั่นหมายถึงผู้หญิงที่เป็นคนรักของน้องชาย พอรู้สึกมากขึ้น ในหัวก็เริ่มมีความคิดเลวอย่างหนึ่งแทรกเข้ามา ความต้องการกำลังเรียกร้องและบอกผมว่า ถ้าจะทำ โอกาสมันมีแค่ในคืนนี้เท่านั้น และใช่! ผมต้องเอาเธอมาเป็นของตัวเองให้ได้ภายในคืนนี้! เมื่อสถานการณ์บังคับให้เป็นเช่นนั้น ผมก็เลยต้องตามน้ำ และเป็นฝ่ายผละตัวออกห่างจากเธอเสียเอง “อ้ายก็อตเนี่ย ยังเซ้นซิทีฟเหมือนเดิมเลยนะคะ” ส่วนเธอที่เชื่ออย่างสนิทใจว่าผมคือไอ้ก็อตก็เอ่ยออกมาแบบไม่รู้ชะตากรรม “ค่ะ พี่เป็นคนอ่อนไหวง่าย” ปากน่ะพูดก็จริง แต่ผมไม่ได้สนใจเธอหรอก เพราะในหัวกำลังคิดหาแผนการดีๆ สำหรับใช้เผด็จศึกในคืนนี้ ส่วนมือก็คว้าแก้วเหล้าที่กินค้างไว้กระดกไปพลางใช้ความคิดไปด้วย ไม่รู้เพราะว่าในสายตาน้องพริกมองเห็นว่าผมกำลังเศร้าจนต้องดื่มย้อมใจหรือเปล่า จู่ๆ เธอถึงได้พูดขึ้นแบบนี้ “ดื่มเหล้าเยอะไม่ดีเน้ออ้ายก็อต” “ทำไมล่ะคะ?” “มันเสียสุขภาพค่ะ อีกอย่างเหล้าน่ะขมจะตาย ไม่เห็นจะอร่อยตรงไหน” “พูดแบบนี้แปลว่าพริกไม่เคยดื่มใช่ไหมคะ?” ผมแกล้งย้อนเธอกลับไป “อ้ายก็อตอย่ามาดูถูกหนูเน้อ หนูเคยดื่มค่ะ แค่รู้สึกว่ามันไม่อร่อยเท่านั้นเอง” ท่าทางมั่นอกมั่นใจ หากแต่ดูซื่อๆ ใสๆ ของเธอทำผมเผลอหลุดหัวเราะดังหึในลำคออย่างห้ามไม่ได้ ร่างกายตอบสนองคำพูดอวดเก่งดังกล่าวด้วยการยื่นแก้วเหล้าในมือส่งไปให้ จนอีกแสดงสีหน้าแปลกใจ “งั้นดื่มให้พี่ดูหน่อย” คำพูดลองใจถูกเอ่ยขึ้น ทำคนฟังแสดงสีหน้าตกใจ และก่อนที่เธอจะปฏิเสธ ผมก็เลยชิงพูดออกไปอีก “ถ้ากินไม่ได้ แปลว่าน้องพริกขี้จุ๊นะ” “หนูบ่ได้ขี้จุ๊เน้อ หนูพูดจริงๆ” “ถ้าพูดจริง งั้นก็กินให้พี่ดูสิคะ คิดซะว่าเป็นการฉลองที่เราได้เจอกันก็ได้” คนตัวเล็กดูมีท่าทางลังเล แต่ด้วยข้ออ้างกึ่งบังคับที่ผมเสนอออกไป ทำให้เธอจำยอมรับแก้วเหล้าไปจากมือในที่สุด วินาทีที่ปลากำลังฮุบเหยื่อ ผมก็ไม่พลาดที่จะพูดบางสิ่งบางอย่างให้เธอรู้ตัว “แต่ถ้าเมาขึ้นมา คืนนี้น้องพริกเสียตัวนะคะ...” “อ้ายก็อต!” เธอหันมาดุ “ฮ่าๆ ล้อเล่นค่ะ กินอึกใหญ่ๆ นะคะ” ผมย้ำคำพูดเชิงสั่งติดเสียงหัวเราะ ซึ่งในทางตรงข้าม มันก็ฟังดูคล้ายกับเป็นการขอร้องคนตรงหน้าไปในตัว น้องพริกทำหน้าเหยเกเมื่อยกแก้วเหล้าจากผมขึ้นจ่อที่ปาก เธอหลับตาปี๋ก่อนยกแก้วเหล้าขึ้นกระดกตามอย่างที่ผมอยากให้เป็น พอได้เห็นเหยื่อยอมทำอย่างว่าง่ายมันก็กระตุกยิ้มเยาะอย่างพึงพอใจไม่ได้ “อ๋า…” น้องพริกกระเดือกเหล้าจากแก้วผมไปเยอะพอสมควร เธอทำท่าพะอืดพะอมก่อนจะรีบคว้าแก้วโค้กของตัวเองกระดกตามไปแบบติดๆ “เป็นไงคะ อร่อยไหม” ผมจงใจถาม แม้ว่าเธอไม่ตอบผมก็พอเดาได้ “ไม่อร่อยค่ะ!” เธอตอบเสียงแข็ง แถมยังยื่นแก้วโค้กที่หมดแล้วส่งมาให้ ผมเองก็ไม่รอช้า รีบรับแก้วน้ำมาจากเธออย่างว่าง่าย ก่อนขยับตัวลุกเดินไปยังห้องครัวเล็กๆ เพื่อจัดการรินน้ำให้ตามอย่างที่เธอต้องการ “อ้ายก็อตดื่มเข้าไปได้ยังไงคะ ขมจะตาย” เสียงหวานท้วงดังไล่หลังมาจากกลางห้องพัก ส่วนผมก็ได้แต่ยิ้มเยาะกับตัวเองโดยไม่ลืมที่จะตอบเธอกลับไป ขณะที่มือวุ่นวายกับการเปิดฝาขวดโค้กรินใส่แก้ว “น้องพริกเนี่ยเด็กจังเลยนะคะ ท่าทางคออ่อนน่าดู” “ก็หนูไม่ได้กินเหล้าบ่อยนี่คะ หนูเกลียดเหล้าจะตาย…” “ดีแล้วค่ะที่เกลียด ถ้าเกลียดก็ห้ามไปกินเหล้ากับคนอื่นนะ” ผมพูดขณะหันไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำแข็งก้อนเล็กๆ ใส่ลงในแก้วของเธอแบบไม่รีบร้อน “ทำไมคะ?” “คนนิสัยไม่ดีเดี๋ยวนี้มีเยอะแยะไป ถ้าพริกเมาแล้วโดยทำมิดีมิร้ายขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ?” ไอ้ที่ผมพูดน่ะมันคือเรื่องจริง คนสมัยนี้น่ะไว้ใจไม่ได้หรอก ขนาดความรู้สึกของตัวเอง ก็ยังไม่สามารถไว้ใจได้เลย “แล้วอ้ายก็อตล่ะคะ” คำถามต่อมาของเธอทำมือที่จัดการปิดตู้เย็นชะงักไปเล็กน้อย เพื่อเงี่ยหูฟัง “ถ้าพริกกินกับอ้ายก็อตแล้วเมา อ้ายก็อตจะทำมิดีมิร้ายหนูก่อ?” สิ้นเสียงคำถามปากผมก็กระตุกยิ้มหยันทันทีโดยอัตโนมัติ ร่างกายตอบสนองคำถามของเธอด้วยการหันไปคว้าขวดแก้วบรรจุน้ำสีอำพัน ก่อนบรรจงเปิดฝาแล้วเทผสมลงใส่ในแก้วโค้กที่เตรียมเอาไว้ ส่วนปากก็ตอบออกไปอย่างหนักแน่น “ไม่ค่ะ!” ไม่ได้ลงจากเตียงแน่นอน! สายตาช้อนมองคนฟังจากมุมอับของเคาน์เตอร์ห้องครัว มองสีหน้ายิ้มแย้มน่ารักราวกับกำลังส่งผ่านความประทับใจมาให้ แน่นอนว่าผมก็ยิ้มตอบ แต่ไม่ใช่รอบยิ้มของความภาคภูมิใจหรอกนะ แต่เป็นความสะใจต่างหาก… หลังจากจัดการผสมเครื่องดื่มมึนเมาใส่ในแก้วโค้กเสร็จ ผมก็ถือเดินออกจากห้องครัวตรงหาน้องพริกอีกครั้ง ด้วยท่าทางเป็นปกติ และจัดการส่งแก้วเหล้า เอ้ย! แก้วโค้กให้พร้อมทั้งทิ้งตัวนั่งข้างเธอทันที น้องพริกที่รออยู่ก่อนแล้วก็ไม่รอช้า พอรับแก้วไปเธอก็ยกแก้วกระดกเข้าปากไปหลายอึกใหญ่คล้ายกับจะล้างคอ คงเพราะเหล้าที่ผสมลงไปมันเยอะอยู่พอสมควรล่ะมั้ง คนตัวเล็กเลยทำหน้าพะอืดพะอม และบ่นออกมา “ทำไมหนูกินโค้กแล้วรู้สึกเหมือนมีเหล้าเลยล่ะคะ” ผมแสร้งทำหน้าแปลกใจกับคำถามที่ได้รับ ก่อนยกแก้วเหล้าของตัวเองขึ้นจิบเล็กน้อย โดยไม่ลืมตอบให้เธอคลายความสงสัย “คงเพราะน้องพริกกินเหล้าจากแก้วพี่เข้าไปเยอะมั้งคะ รสชาติเหล้ามันก็เลยติดอยู่ที่ลิ้น” แน่นอนว่านี่แม่งเป็นตรรกะสำหรับการแถล้วนๆ ก็ไอ้ที่เธอกระเดือกเข้าไปน่ะ มันเหล้าเข้มข้นทั้งนั้น แต่... “นั่นสิค่ะ! คราวหลังอ้ายก็อตห้ามให้หนูกินเหล้าอีกนะ!” คนตัวเล็กกลับเชื่อคำพูดของผมอย่างง่ายดาย เชื่อใจคำพูดของผู้ชายที่คิดว่าเป็นคนรักของตัวเองได้อย่างไม่มีข้อโต้แย้ง... และเมื่อสถานการณ์ตรงหน้าไม่ติดขัดอะไร ผมก็เลยชูแก้วเหล้าของตัวเองขึ้นยิ้มๆ น้องพริกทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ครู่เดียว ก่อนที่เธอจะคว้าแก้วเหล้าของตัวเองชูขึ้นทำแบบเดียวกัน “ชนแก้วค่ะ” ผมเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ พร้อมด้วยรอยยิ้มพึงพอใจบนดวงหน้า “ดื่มหมดแก้ว แทนการฉลองที่เราได้เจอกัน” “ชนค่ะ!” ความว่าง่ายของแฟนไอ้ก็อตดูจะเป็นเรื่องที่ดีสำหรับผู้ร้ายอย่างผมเสียเหลือเกิน เธอไม่สังหรณ์ สงสัยหรือรู้สึกแคลงใจกับการกระทำหรือสิ่งที่ผมเป็นคนเริ่มเลยสักนิด เกร้ง! เหล้าแก้วแล้ว แก้วเล่า ถูกผมยกกระดกเข้าปาก เหมือนๆ กับน้องพริกที่ดื่มโค้กผสมเหล้าเข้าไป มันอย่างที่ผมคิดนั่นแหละ ผู้หญิงคนนี้ท่าจะเป็นคนอ่อนจริงๆ เวลาไม่นานหลังจากเธอดื่มน้ำอัดลมผสมเหล้าจนเกินลิมิต ผู้หญิงที่เคยพูดจาฉะฉานรู้เรื่องก็เริ่มเปลี่ยนไป เธอพยายามชวนผมคุยเรื่องของเธอกับไอ้ก็อตในอดีต ไม่รู้ที่ชวนคุยเพราะพยายามปกปิดอาการเมาหน้าแดงของตัวเองอยู่หรือเปล่า ไม่ใช่แค่คำพูดหรอกที่เริ่มฟังไม่รู้เรื่อง แต่สภาพของเธอที่นอนกองอยู่บนพื้นพลางชูมือสะเปะสะเปะไร้ทิศทางแน่นอนนั่นก็ด้วย “อ้ายก็อตฮู้ก่อ ว่าน้องฮักอ้ายก็อตม๊ากมาก~ (พี่ก็อตรู้ไหม ว่าหนูรักพี่ก็อตม๊ากมาก)” อีกทั้งยังเริ่มพูดภาษาที่ผมไม่ค่อยจะเข้าใจความหมายออกมายาวเหยียดยิ่งกว่าที่เคย “ทั้งฮักทั้งกึ้ดเติงงง(ทั้งรักทั้งคิดถึง)~” “พี่ก็ปื๊ดสะก๊าดน้องพริกเหมือนกันค่ะ” ผมก็เลยพูดมั่วๆ ตอบกลับไป “นักก่อ?(มากไหม)” แต่เธอก็ยังถามออกมาไม่หยุด เรียกว่าเมาแล้วพล่ามก็ว่าได้ “มากก่ะ…” “มากเต้าใด?” “ม๊ากมาก!” เพราะไม่รู้จะตอบเธอยังไง อะไรที่แว๊บเข้ามาในหัวเลยถูกพ่นคำตอบออกไป ส่วนมือก็พยายามดึงร่างเล็กให้ลุกขึ้นยืนเพื่อประคองไปอีกที่ซึ่งน่าจะทำอะไรๆ ได้สะดวกมากกว่าบนพื้น คนตัวเล็กซึ่งดูไม่เหลือสติก็เหลือบมองหน้าผมที่พยุงกายเธอไว้ เธอเลิกคิ้วสูง ปรือตามองคล้ายกับสงสัย “อ้ายก็อตจะยะอะหยัง?” ถ้าผมจำไม่ผิดรู้สึกว่าไอ้ที่เธอพูดน่าจะถามว่า ผมจะทำอะไรล่ะมั้ง “พาพริกไปนอนที่เตียงไงคะ” ไม่รู้หรอกว่าไอ้ที่เดาคำพูดเธอไว้ มันถูกหรือคิดผิด รู้แค่ว่าผมตอบเธอออกไปแบบนั้นแล้ว “แค่นอนใช่ก่อ ดีแล้ว เดี๋ยวมันจะผิดผี~ คิกๆ” ผมไม่ได้สนใจคำพูดคำจาไร้สติของเธอนักหรอก เพราะต้องพยายามพยุงเธอมายังสถานที่ที่เป็นจุดหมาย และกว่าจะลากมาที่เตียงได้ก็เล่นใช้เวลาไปร่วมหลายนาทีพอตัว ไม่รู้ว่าเธอจะพร่ำอะไรออกมานักหนา หูผมได้ยินแต่ ผิดผี! ผิดผี! ฟุบ! “อื้อ… ฝันดีเน้ออ้ายก็อต~” พอคนตัวเล็กถูกลากมาถึงเตียงหัวถึงหมอน ยัยขี้เมาก็บอกฝันดีทันที เธอนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงท่าทางสบายอกสบายใจ แต่ไม่ใช่กับผมที่กำลังกวาดสายตาสำรวจร่างกายเธอด้วยความรู้สึกอื่นๆ เมื่อทุกอย่างภายในห้องพักสงบลง แผนการต่อไปจึงเริ่มขึ้น ผมปีนขึ้นเตียงช้าๆ อย่างเงียบเชียบที่สุด ขยับกายคร่อมทับร่างเล็กเอาไว้ ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยปรอยผมยาวที่ปรกข้างแก้มออกพร้อมด้วยคำพูดเชิงร้องขอสั้นๆ “อย่าเพิ่งรีบนอนสิคะ…” แรงยวบของเตียงทำเอาน้องพริกซึ่งทำท่าจะหลับ ปรือตามองอีกครั้ง เธอขมวดคิ้วคล้ายกับสงสัย แต่ก่อนที่เธอจะถามอะไรออกมาผมจึงชิงพูดความต้องการของตัวเองออกไปก่อน “เรายังไม่ได้ทำเรื่องนั้นกันเลยนะ...” ผมใช้ลิ้นเลียขอบปากตัวเองเพื่อแสดงความต้องการให้คนตัวเล็กใต้ร่างรับรู้ ยิ่งได้มองเธอใกล้ชิดขนาดนี้เครื่องผมมันก็ร้อนจนแทบหยุดไม่ไหวต้องก้มลงจูบแก้มนุ่มเธอเบาๆ เพื่อบอกอีกฝ่ายให้รู้เป็นนัยๆ ว่าในอีกไม่กี่นาที ผมจะเริ่มภารกิจระหว่างเราซึ่งยังคั่งค้างเอาไว้ “อื้อ...อ้ายก็อตต เหม็นเหล้า..” เพราะขยับเข้าใกล้มากเกินไป ปฏิกิริยาของผู้หญิงที่น่าจะรักนวลสงวนตัวอย่างเธอจึงรีบปฏิเสธการเข้าหาด้วยการยกมือไร้เรี่ยวแรงปะเข้าใส่หน้าผมอย่างเต็มๆ จำต้องใช้มือข้างถนัดรวบตรึงข้อมือเธอออกไปให้พ้นทาง แต่ก็ใช่ว่าจะหยุดเสียงอื้ออึงไม่ได้ศัพท์ของเธอลงที่ไหน “ยะหยังอ้ายก็อตต” ครั้งนี้ผมก็ไม่ได้ตอบอะไรเธอ ขณะเดียวกัน มือไม้ข้างที่เหลือก็เริ่มอยู่ไม่สุข ลูบไล้ไปตามเรียวขาสวยเพรียวไต่ระดับขึ้นสูงอย่างชำนาญมือ “อื้อ อย่านาอ้ายก็อตมันผิดผี…” เสียงหวานฟังไม่ได้ศัพท์เอ่ยขึ้นอีกครั้ง เธอบิดตัวเล็กน้อย หลบหนีจากการถูกสัมผัส แต่ทุกอย่างที่เธอตอบสนองต่อการกระทำทั้งหมดดูจะช้าเกินไป เมื่อปลายนิ้วที่ไวกว่าจัดการเกี่ยวขอบกางเกงขาสั้นของเธอให้ร่นลงไปพร้อมแพนตี้ โดยไม่ลืมที่จะพูดแก้ต่างออกมาด้วย “ผีมันไม่ผิดหรอก…” สิ้นเสียงราวกับความต้องการทั้งหมดของผมถูกปลดเปลื้องออกจนหมดไปพร้อมกับอาภรณ์ปิดกายช่วงล่างของคนใต้ร่าง “พริกนั่นแหละที่ผิด” “อะ อื้อ…” ว่าจบผมก็หยุดเสียงร้องปรามไม่ได้ศัพท์ของเธอทันที กลิ่นของแอลกอฮอล์ภายในโพรงปากเปรียบเหมือนเชื่อเพลิงชั้นดีที่พร้อมติดไฟในกายในลุกโชนและร้อนแรงกว่าที่เคยเป็น ลิ้นเล็กพยายามหลบหนีจากการถูกไล่ต้อนยามถูกรุกราน แต่เมื่อหมดทางหนีความจำยอมจึงตามมา เธอเก้ๆ กังๆ ที่จะตอบโต้สัมผัสที่ผมมอบให้ภายใน ร่างกายเธอเกร็งจัดและสั่นยามถูกโอบอุ้มไว้ในอ้อมกอด สองมือไร้เรี่ยวแรงพยายามยกขึ้นดันไหล่ผมให้ออกห่าง แต่มันก็ยากเพราะผมไม่สามารถหยุดความต้องการที่กำลังโหมลุกไว้ได้อีกต่อไปแล้วเช่นกัน หลังตักตวงความหวานจากริมฝีปากและลิ้นน้อยๆ จนพอใจ ผมจึงเป็นฝ่ายผละริมฝีปากออกมาเองตามมาด้วยเสียงกระซิบร้องขอ “เป็นของพี่นะคะ..” ซึ่งถ้าว่าตามความจริงแล้ว ควรเรียกว่าเป็นคำสั่งถึงจะถูก “อะ...อ้ายก็อต อื้อ...” ความหฤหรรษ์ครอบคลุมไปทั่วพื้นที่บนเตียงกว้าง เมื่อผมจัดการปลดกระดุมกางเกงตัวเองออก ก่อนครอบครองเรือนร่างเล็กบนเตียงนอนอย่างเต็มรูปแบบ ยัดเยียดตัวตนแทรกกายหลอมร่วมเป็นหนึ่งกับเธอ สวมรอยบทบาทคนรักในคราบมิจฉาชีพ คนตัวเล็กเกร็งจิกปลายเล็บไปตามวงแขนราวกับระบายความเจ็บที่เริ่มแทรกซึมผ่านกายอย่างไม่สามารถดิ้นหนี เสียงครวญหวานดังกระท่อนกระแท่นแผ่วๆ ผ่านริมฝีปากอวบอิ่มเคล้าเสียงหอบเบาบางอย่างที่ผมเริ่มเคลื่อนไหวอยู่ภายในตัวเธอ คิ้วเล้กขมวดชิดจนแทบจะผูกเป็นปมยามที่จังหวะราคะถูกเร่งเร้าจากจังหวะเนิบนาบผันไปตามแรงอารมณ์ที่ก่อตัวขึ้นจนไม่สามารถหยุดได้ ผมมองหน้าเธอ มองหน้าคนรักของน้องชายที่ยามนี้เอาแต่ครวญไม่เป็นภาษา เรียกชื่อเดิมๆ ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า “อะ อ้ายก็อต...อื้อ...” เสียงของเธอมันน่ารำคาญจนต้องใช้ปากเก็บทุกเสียงร้องชวนขัดใจนั่นเสีย แม้จะเป็นแบบนั้นแต่ร่างกายก็ยังเคลื่อนไหวครอบครองร่างกายของเธอต่อไปอย่างไม่คิดจะหยุด จนทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง พูดให้ถูกก็คือร่างกายของเรากำลังเชื่อมรวมเป็นหนึ่งกันได้สมบูรณ์ จะว่ารีบร้อนก็ใช่ ว่าไม่ก็ถูก แต่เพราะผมมีเวลาไม่มากนักอย่างต่ำก็แค่ถึงเช้าเท่านั้น… “อื้อ... หนูเจ็บ...” คนตัวเล็กเกร็งจัดและสั่นกว่าที่เคย มือเล็กๆ กดจิกลงบนไหล่แน่นจนผมรู้สึกแสบไปทั่วบริเวณ แต่ถึงอย่างงั้นร่างกายก็ยังกระทำทุกอย่างตามอารมณ์และความต้องการของตัวเองต่อไป สองมือประครองร่างเล็กไว้ในออมกอดส่งแรงทั้งหมดที่มีผ่านกายเธอไปเป็นจังหวะเนิบนาบทุกครั้งที่รับรู้ความรู้สึกอีกฝ่าย “ตะ ตัวพริก...ร้อนจัง...” ผมพูดปนหอบขณะที่ร่างกายแสดงความเผด็จการ ขยับเร็วขึ้นตามแรงอารมณ์และฤทธิ์ของแอลกอฮอล์สั่งสมอยู่ในเลือด อารมณ์ในกายที่แทบจะล้นทะลักจนเกินกว่าที่จะควบคุมไหว รุกสอดประสานร่างกายอย่างย่ามใจ ซุกไซร้ปลายจมูกไปตามแก้มหอมไล่ลงต่ำไปยังซอกคอเพื่อบรรเทาความเจ็บ “อะ อ๊ะ…” เสียงอู้อี้ยานคางฟังไม่ได้ศัพท์ของน้องพริกเริ่มกระท่อนกระแท่นเปลี่ยนไปจนกลายเป็นเสียงหอบเบาหนักๆ ตามแรงกายที่เคลื่อนไหวดุดันและหนักหน่วงขึ้น เสียงปรามหรือเสียงขานชื่อบุคคลที่สามระหว่างเราตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว เหลือเพียงเสียงหอบหนักของเราทั้งคู่เท่านั้นที่ดังเป็นจังหวะสลับกันไปมา ผมไม่รู้ว่าความสุขผิวเผินจนแทบสำลักระหว่างเรามันจะจบลงที่ตรงไหน รู้แค่ว่าผมกำลังพึงพอใจกับสิ่งที่ผมกำลังทำ และอย่างน้อยแผนการยึดครองของรักของน้องชายในคืนนี้มันก็ทำให้ผมรู้ว่า ผมได้ตัดหน้าไอ้ก็อตไปแล้วก้าวหนึ่ง ถ้าเรื่องนี้ต้องมีใครผิดสักคน ผมบอกเลยว่า คนผิดน่ะมันคือตัวพริกเองนั่นแหละที่ดันเป็นแฟนของไอ้ก็อต!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD