“สีหน้าอย่างนี้ตามใจพ่อเราอีกแล้วน่ะสิ” ย่าจ๋าส่ายหน้าเอือมความใจอ่อนของฉัน หลังจากที่ตกลงกับพ่อเรียบร้อยฉันก็เดินกลับมาที่บ้านใหญ่ บ้านของย่าจ๋า ย่าจ๋าคือแม่ของพ่อฉัน
เท้าความเลยแล้วกัน พ่อแม่ของฉันเลิกกัน แบ่งลูกไปเลี้ยงคนละคน ทั้งที่ฝาแฝดไม่ควรจะแยกกัน ทว่าถ้าพูดกันตามตรง ต่อให้ไม่ใช่ฝาแฝด แต่เป็นพี่น้องที่คลานตามกันมาก็ไม่ควรจับแยกกันอะ
เพราะความรู้สึกของเด็กยากที่จะเข้าใจ
ซึ่งพวกผู้ใหญ่ก็เอาแต่ความรู้สึกของตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่แคร์ความรู้สึกความต้องการของเด็กอยู่แล้ว เพราะคิดกันแค่ว่ายังเด็กอยู่จะไปเข้าใจอะไร ความรู้สึกของเด็กจึงถูกละเลย เด็กจึงถูกยัดเยียดความต้องการของพ่อผู้ใหญ่
ฉันถูกพ่อเอามาเลี้ยง เมษาถูกแม่เอาไปเลี้ยง พ่อเอาฉันมาเลี้ยงก็จริง แต่พอเอาเข้าจริง ๆ คนที่เลี้ยงดูอบรมบ่มนิสัยฉันคือย่าจ๋า พ่อน่ะพอกลับมาจากกรุงเทพก็โหมงานหนักเพื่อลืมแม่ พ่ออยากลืมแม่ในขณะเดียวกันพ่อก็ลืมที่จะมอบความรักความอบอุ่นให้ฉัน ความรักความอบอุ่นที่ฉันได้รับจึงมาจากย่าจ๋าและคนงานในไร่ในสวน
ชีวิตฉันเป็นแบบนั้นอยู่ร่วมห้าหกปี แล้ววันหนึ่งฉันก็ได้ยินข่าวร้าย แม่จากไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ พ่อจึงรับเมษามาเลี้ยง ตอนนั้นฉันอายุได้ 11 ขวบ เริ่มรู้ความและรู้สึกได้ว่าพ่อใส่ใจเมษามากกว่าฉัน พ่อมักขลุกอยู่กับเมษา พาเมษาไปที่ไร่ที่สวนด้วยเป็นประจำ พ่อให้เหตุผลง่าย ๆ ที่ว่าเมษาไม่คุ้นชินกับคนในบ้านสักคนจึงต้องอยู่กับพ่อตลอด ตั้งแต่นั้นมาอะไรที่ว่าดี อะไรที่ว่าสวย ถ้ามาจากพ่อเป็นคนให้ ฉันจะได้ของเหลือเลือก เพราะเมษาจะเป็นฝ่ายได้เลือกก่อนเสมอ ต่างจากย่าจ๋าที่เวลาซื้ออะไรให้เราสองคนก็มักจะซื้อเหมือนกัน ของที่เหมือนกันก็ไม่จำเป็นต้องเลือกไง
ซึ่งเมษาชอบคิดว่าย่าจ๋าไม่รักเธอ ทั้งที่ย่าจ๋าเป็นคนที่ยุติธรรมที่สุดแล้ว ต่างจากพ่อที่ไม่ยุติธรรมเอาซะเลย
“ทำไมไม่ตอบย่าล่ะมีน” ฉันสะดุ้งเมื่อย่าจ๋าสะกิดที่แขน
“อะไรคะย่าจ๋า” มัวแต่คิดเรื่องเก่า ๆ จนลืมฟังย่าจ๋าถามเลย เรื่องเก่าที่เจ็บใจตลอดเวลาที่นึกถึง
“ย่าถามว่าครั้งนี้มีนจะช่วยพ่อเขาจริง ๆ เหรอลูก” ย่าจ๋ามองฉันด้วยแววตาห่วงใย ฉันเข้าใจดีว่าย่าจ๋าเป็นห่วงมากแค่ไหน
“ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายค่ะย่าจ๋า ต่อไปมีนจะไม่ทำตามใจพ่ออีกแล้ว” ส่งยิ้มให้ย่าจ๋า ให้ท่านรู้ว่าฉันโอเค ฉันยังไหว แต่ย่าจ๋าที่เลี้ยงฉันมามีเหรอจะดูไม่ออกว่าฉันไหวแค่ไหน
“แต่นี่มันจะกลายเป็นทั้งชีวิตของมีนนะลูก ย่าไม่อยากให้มีนทำ ย่าไปคุยกับพ่อเราอีกรอบดีกว่า”
“อย่าเลยค่ะย่าจ๋า อายุมีนก็พร้อมที่จะมีครอบครัวแล้วด้วย ถือซะว่าได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ ไงคะ ย่าจ๋าไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ” ฉันต้องรีบหาข้ออ้างเนื่องจากย่าจ๋ากำลังเป็นห่วงและกังวล คงไม่พ้นไปต่อว่าพ่อ จากนั้นพ่อก็จะมาตัดพ้อใส่ฉัน สร้างความรู้สึกผิดให้เกาะกินใจฉัน