“ก็มินยืมเงินมาจ่ายให้พี่นัสแล้วนี่ไง มินก็ต้องใช้คืนเขา”
“อย่ามาตอแหล! ไหนจะเงินที่ทำงาน ไหนจะเงินที่พวกคนรวยนั่นให้แก ฉันรู้ว่าแกมี ลองไม่โอนมาสิ ฉันบุกถึงบ้านพี่ๆ ของแกแน่”
“อย่านะแม่!”
สาลี่ยิ้มอย่างเป็นต่อ ก่อนจะช่วยกันกับผัวใหม่ พากันพยุงร่างของมนัส ลูกชายคนโต ไปขึ้นรถกลับบ้านเช่า
มินตรานั่งลงแล้วปล่อยโฮออกมาดังๆ ทำไมชีวิตเธอมันเฮงซวยขนาดนี้นะ ทำไมเธอรู้สึกเหมือนอยู่ในนรกเลย แม่ไม่เคยถามว่าเธอเป็นยังไง อยู่บ้านคนอื่นอึดอัดไหม การเรียนล่ะ หนักใจเรื่องอะไรหรือเปล่า กอดสักที หอมสักครั้ง เธอไม่เคยมีภาพนั้นอยู่ในความทรงจำเลย เธอเหมือนลูกที่แม่ไม่ได้ตั้งใจจะมี เหมือนว่าเธอมีหน้าที่แค่หาเงิน หาเงิน และหาเงิน!
หญิงสาวผู้หัวใจบอบช้ำ นั่งรถเมล์กลับที่พักด้วยเศษตังค์ที่มีติดกระเป๋า เธอเปิดหน้าต่างออกกว้างๆ ให้ลมพัดฝุ่นสกปรกมากระทบตบหน้า จะได้มีข้ออ้างให้ตัวเองมีน้ำตา ชั่วโมงเศษๆ ก็ถึงที่หมาย ห้าทุ่มแล้วตอนที่เธอขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้นสามสิบแปด พอลิฟต์เปิดออกก็คล้ายว่าความหนักใจจะถ่วงสองขาไว้ เธอจะบอกพี่ว่ายังไง เขาด่าเธอแน่ถ้ารู้ว่าเธอเอาเงินให้ที่บ้านอีก
“ปกติคนเราก็ตายได้ง่ายๆ นะ บางคนนอนๆ เดินๆ อยู่ยังหัวใจหยุดเต้นได้เลย ทำไมเธอไม่เป็นแบบนั้นบ้างล่ะมิน ฉันเหนื่อยกับเธอแล้วนะ เหนื่อยใจจริงๆ”
แทนที่จะกดรหัสเพื่อเปิดห้อง มินตรากลับถอยไปยังประตูที่เชื่อมกับบันไดหนีไฟ เธอลงไปนั่งเงียบๆ ตรงนั้น คิดว่าถ้าพี่ง่วงจนหลับไปก่อน อย่างน้อยคืนนี้ก็ช่วยลดการเผชิญหน้า พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่
“หลับเร็วๆ นะพี่เต มินจะนั่งรออยู่ตรงนี้แหละ”
พูดพลางจับแก้มที่ชื้นน้ำตา ความเจ็บที่โดนแม่ตบยังมีอยู่ แต่ยังน้อยกว่าความน้อยเนื้อต่ำใจ สาบานเลยว่าถ้าวันหนึ่งข้างหน้า เธอมีโอกาสได้เป็นแม่ใคร เธอจะไม่ทำกับลูกตัวเองแบบนี้ เธอจะรักและดูแลลูกอย่างดี จะไม่ให้ลูกต้องมานั่งร้องไห้อย่างนี้แน่นอน
มินตรานั่งสะอื้นอยู่กลางขั้นบันได ยิ่งดึกยิ่งเงียบสงัด เสียงของเธอเลยยิ่งดัง เพียงแค่สูดน้ำมูกเช็ดน้ำตา มันก็ดังราวกับจ่อไมโครโฟนเอาไว้ มันดังเสียจนประตูที่เธอเพิ่งเดินเข้ามา ถูกผลักให้เปิดอ้า เธอรู้ละว่ามีคนโผล่มาดู แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นเขา
“เอ้า? มินเองเหรอ”
คนถูกถามไม่ได้ตอบ แค่หันไปดู เตชิณอยู่ในชุดนอนแล้ว
“นั่นไง ใช่จริงๆ ด้วย พี่ก็นึกว่าเสียงผี”
“โอ๊ย! พี่เต...ฮือออ...”
แล้วพี่คนดีก็ได้ส่ายหน้าระอา เขาดันมาสะกิดต่อมน้ำตาแม่ตัวแสบ ต้องเดินลงไปจูงหล่อนขึ้นมา อย่างน้อยก็ให้หล่อนกลับไปร้องไห้ในห้องดีๆ
“ไปๆ กลับห้อง”
“พี่เต...ฮึกๆ ขอโทษ...มินเอาเงินพี่ให้พี่นัส พี่นัส...ขึ้นโรงพัก ฮึกๆ เสียเงินหลายบาทเลย ฮือออ...” เดินตามเขาไปก็ร้องไห้ไม่หยุด มือข้างหนึ่งถูกเขากุมไว้ เธอเผลอมองลงไป เขายังจับกันไว้แน่น นั่นยิ่งทำให้น้ำตาเธอไหลพรั่งพรู เขาเป็นใครล่ะ ญาติพี่น้องก็ไม่ใช่ ทำไมต้องดีกับเธออยู่เรื่อยเลย
“พอแล้ว จะร้องไห้อะไรนักหนา มันขี้เหร่ ตาก็บวม จมูกก็บาน ขี้มูกขี้ตาอีก โอย...ดูไม่ได้” เขาสาธยายความเป็นหล่อนในตอนร้องไห้ ลากหล่อนเข้ามาในห้องแล้วปล่อยให้หล่อนร้องระงม เขาก็เดินไปรินน้ำให้ รินน้ำยังไม่เต็มแก้วดี แม่คนขี้แยก็วิ่งเข้ามาหา มากอดเขาไว้ มาปลดปล่อยหยดน้ำตาบนแผ่นหลัง เขาก็ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ให้หล่อนกอดเสียให้พอ ให้หล่อนร้องไห้ให้หนำใจ
สิบนาทีผ่านไป แขนของมินตราก็ยังกอดอยู่รอบเอว เขาจะไม่ว่าอะไรเลย หากหน้าอกหน้าใจของหล่อนจะไม่ทาบกับแผ่นหลังกันอย่างนี้
“พอแล้ว เลิกกอด”
“ถือซะว่าทำบุญทำทานให้คนขาดความอบอุ่นไม่ได้เหรอ หัวใจมินพังไปหมดแล้ว”
“ระบายออกมาได้นะ แต่ต้องเลิกกอด อาทิตย์นี้งดหิ้วหญิงไง เพราะฉะนั้นอย่าเข้ามาใกล้ เดี๋ยวเดือดร้อนนะมิน”
“พี่อย่าแกล้งมินสิ อย่างมินน่ะ ไม่ใช่สเป็กพี่หรอก ทั้งขี้เหร่ ทั้งอ้วน ทั้งดำ”
เขาหลุดเสียงขำ อันที่จริงมินตราก็ว่าตัวเองเกินไปนะ ถึงหล่อนจะไม่สวย แต่ไม่ได้ขี้เหร่ เนื้อตัวนี่ก็...ถึงจะไม่ได้ขาวออร่า แต่ก็ไม่ได้ดำด่าง มันเนียนกริบเลยด้วยซ้ำ
ส่วนเรื่องอ้วนน่ะ เขาว่า...อวบๆ แบบหล่อนก็ดู...เต็มไม้เต็มมือดี
“ยังไงก็เป็นผู้หญิงนี่นา จริงไหม” เขาถามหล่อนเบาๆ และหล่อนก็ยอมคลายอ้อมแขน พอเขาหันไปดู ก็เห็นแม่คนขี้เหร่ สภาพยิ่งแย่กว่าเดิม ยิ่งหล่อนปาดน้ำตา มาสคาร่าก็ยิ่งเลอะ ยิ่งเหมือนผีเข้าไปใหญ่ เขาควรจะพูดอะไรดีนะ หล่อนจะได้เลิกร้องไห้เสียที
“เงินในบัตรน่ะ ใช้แล้วก็ใช้ไป ค่าเทอมค่าอะไร รูดได้ก็รูดไปก่อน ”
“พี่มีตังค์พอใช้ใช่ไหม” ถามเขาแล้วนึกขำตัวเอง มันขำแหละ หลุดขำทั้งที่มีน้ำตา เขาเองก็หลุดยิ้มด้วย คงขำที่เธอถามอะไรไม่เข้าท่า ก็ถ้าคนอย่างเขาตังค์ไม่พอใช้ คนอย่างเธอคงได้อดตายไปแล้ว
“อือ...ก็พอมีใช้ ไม่ต้องห่วงหรอก”
ดวงตาแดงก่ำจ้องมองคนที่ตัวสูงกว่า นี่คนหรือเทพบุตร ทำไมต้องคอยซัพพอร์ต ทำไมต้องคอยทำดีกับเธอ และทำไมต้องหล่อด้วย
“พี่”
“อะไร”
“มินไม่สวยเลยเหรอ”
“ไม่”
“เซ็กซี่ล่ะ เซ็กซี่หรือเปล่า”
เขาทำเป็นมองหล่อนซ้ายทีขวาที ก่อนจะตอบ
“ก็...ไม่นะ”
มินตราทำหน้าเศร้า ความหวังสุดท้ายดับวูบในพริบตา ให้ตายเถอะสวรรค์ ช่วยส่งมาเฟียหล่อๆ รวยๆ มาฉุดเธอไปเป็นนางบำเรอที ให้เขากระทำย่ำยีแล้วอย่าลืมให้เขาเอาเงินฟาดหัวเธอด้วยนะ ฟาดหนักๆ เลย เงิน! เธอต้องการเงิน! เงินเท่านั้นที่ knock everything
“แย่แล้ว ว่าจะชวนพี่มาแต่งงานกันซะหน่อย”
“โอย...ยัยเพี้ยน” เขาอยากขำ แต่มันเวทนามากกว่า ก็ตอนที่หล่อนชวนเขาแต่งงาน น้ำมูกน้ำตายังเต็มหน้าอยู่เลย
“เสี่ยขา...”
“อาราย...” เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ ที่เขายอมขานรับมุกห้าบาทสิบบาทของมินตรา หล่อนเป็นคนขี้เล่นนะ พยายามชวนเขาเล่นนั่นแหละ แต่เขาไม่นำพา ด้วยอายุที่ห่างกัน เขาก็ควรรักษามาดนิ่งขรึมไว้ให้มาก
“เสี่ยขา...หนูอยากรวย เสี่ยแต่งงานกับหนูเถอะนะ ขอร้อง...”
“ไม่ไหวอ่า เตี้ยก็เตี้ย ตาก็บวม จมูกก็บาน จะแต่งกับเสี่ย ต้องโมฯ ใหม่ทั้งตัวเลย” เขาปฏิเสธแบบขำๆ นี่คงเป็นไม้ตายไม้สุดท้ายของหล่อนแล้วกระมัง ดีแล้ว ให้หล่อนพาตัวเองออกจากความเศร้าเถอะ
“แต่มินซิงนะ”
คราวนี้เตชิณตัวแข็งทื่อ หล่อนก็นะ จะพูดออกมาทำไม แล้วจริงหรือเปล่าละนั่น
“ซิงจริงๆ นะคะ!”
“หนักแล้ว สมองเบลอไปแล้วน้องเรา”
พอได้ยินคำว่าน้องหลุดออกจากปากเตชิณ มินตราก็ทำไหล่ห่อคอตก ถอยห่างจากเขาราวกับมีมือผีมาดึงให้กลับหลุม และพอหล่อนเข้าห้องไป เตชิณก็ได้พ่นลมหายใจร้อนๆ ออกมา ร่างกายร้อนวูบวาบเพียงเพราะใกล้ชิดกับสาวเจ้าเกินพอดี และพอมันร้อนจนคิดว่าทนไม่ไหว เลยต้องหาเบียร์เย็นๆ ดื่ม ไม่งั้นคืนนี้คงหลับไม่ลง
คงไม่ใช่แค่มินตราหรอกที่อาการหนัก เขาเองก็อาการหนักเช่นกัน ทำไมไปรู้สึกประหลาดๆ กับยัยเด็กนั่นก็ไม่รู้ ไม่ใช่ผู้หญิงแบบที่ชอบเสียหน่อย แถมยังเป็นน้องด้วย เฮ้อ...บ้าบอจริงๆ
[2]
ว่าที่เมีย