“คุณหนูท่านฆ่าพวกเขาไม่ได้นะเจ้าคะ เพราะพวกเราสองคนจะถูกตามล่า จนหาความสงบในชีวิตไม่เจออีกเลย เราสองคนต้องมีชีวิตที่สงบสุขตามที่ท่านตั้งใจไว้แต่แรกนะเจ้าคะ”
จูลี่เห็นอาการโกรธแค้นในแววตาของสตรีผู้มาสวมร่างคุณหนูผู้น่าสงสาร จึงเอ่ยเตือนสติออกไปด้วยความรักและหวังดีจากใจจริง
“หึหึ จูลี่เจ้านี่ช่างเฉลียวฉลาดยิ่งนัก ข้าแค่กำลังคิดว่าจะเผาตำหนักใหญ่ให้สิ้นซากก่อนจากไป เจ้าก็รู้ทันข้าก่อนเสียนี่กระไร”
จางเย่วชิงแทบจะหลุดเสียงหัวเราะออกมาในสถานการณ์ที่กำลังรู้สึกโกรธแค้นเช่นนี้ เพียงแค่เห็นสีหน้าของนางจูลี่ก็อ่านออกไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ช่างเป็นสตรีที่เฉลียวฉลาดจริงๆ
“เผาไม่ได้นะเจ้าคะ ประเดี๋ยวจะเป็นเรื่องใหญ่กลายเป็นอาญาแผ่นดินมีโทษถึงประหารชีวิต เพราะที่นี่เป็นตำหนักพระราชทานจากองค์ฮ่องเต้” จูลี่รีบอธิบายให้คุณหนูคนใหม่เข้าใจในกฏของบ้านเมืองในยุคนี้
“ฮ่าฮ่า ข้าไม่ทำอะไรโง่ๆเช่นนั้นหรอกจูลี่ แต่หากทำจริงๆก็ไม่มีใครจับได้ว่าเป็นฝีมือของข้า”
เย่วชิงพูดออกมาทีเล่นทีจริง เพราะนางอาจจะลงมือสักจุดพอให้แตกตื่นกันทั้งตำหนัก ในเมื่อยามนี้ยังไม่สามารถระบุตัวตนผู้ที่วางยาพิษร่างนี้ได้ บ่าวไพร่ในตำหนักชินอ๋องก็คงต้องรับผิดชอบร่วมกันทุกคน!!
“คุณหนู!!” จูลี่เอ่ยออกมาอย่างคร้านจะห้ามปรามเจ้านาย ที่ท่าทางจะดื้อรั้นและแสนซนเป็นที่หนึ่ง
ยิ่งเห็นมุมปากงามอมยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัยนางยิ่งเป็นกังวล เห็นทีว่าคุณหนูผู้นี้คงจะซุกซนกว่าที่นางคาดการณ์เอาไว้เป็นแน่ ทั้งยังมีแววตาดุดันโหดเหี้ยมยามที่โมโห ไม่ต่างไปจากแววตาของผู้ทรงอำนาจยามที่ต้องการลงทัณฑ์ผู้กระทำผิดก็มิปาน จูลี่อยากให้ถึงวันที่ต้องหลบหนีจากไปโดยเร็ว คุณหนูของนางจะได้ไม่กระทำเรื่องที่เสี่ยงต่อชีวิตอย่างที่นางเป็นกังวล
“หึหึ จูลี่ เจ้าทำใจให้สงบเข้าไว้ ข้าผู้นี้คิดอ่านสิ่งใดย่อมไม่ทำให้ตนเองเดือดร้อน” น้ำเสียงใสกังวานเอ่ยออกมาพร้อมๆกับรอยยิ้มซุกซนที่มุมปาก
กลางดึกสงัดของค่ำคืนนี้ มีเงาดำสายหนึ่งเคลื่อนที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว กระทั่งเวรยามในตำหนักชินอ๋องที่มีวรยุทธ์อยู่บ้างก็ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นสิ่งใดกันแน่
เงาดำสายนั้นหายเข้าไปทางด้านหลังโรงครัวใหญ่ของตำหนักชินอ๋อง สถานที่ที่เต็มไปด้วยเสบียงอาหารทั้งของแห้งและของสด ประกายไฟที่เกิดจากการเผาไหม้บางอย่างได้เปล่งแสงออกมาเพียงน้อยนิด เพื่อไม่ให้มีผู้ใดมาพบเห็นก่อนที่ทุกอย่างจะวอดวายตามที่ต้องการ
รุ่งเช้าวันใหม่มาเยือน จูลี่ได้ยินเสียงร้องตะโกนโหวกเหวกโวยวายดังมาจากเรือนครัวใหญ่ของตำหนักชินอ๋อง เมื่อมองไปยังทิศทางของตำหนักใหญ่ก็เห็นกลุ่มควันจำนวนมากลอยขึ้นบนท้องฟ้า เห็นทีว่าจะเกิดเหตุการณ์บางอย่างที่โรงครัวตั้งแต่เมื่อคืน เพราะประกายไฟได้มอดไปแล้วหลงเหลือเพียงกลุ่มควันจำนวนมาก ที่ต้องพึ่งพาสายลมให้พัดพาออกไป
ณ ลานหน้าตำหนักร้าง จางเย่วชิงยังคงฝึกวิชาต่อสู้ตั้งแต่เช้ามืดดังเช่นวันวานที่ผ่านมา วันนี้นางฝึกออกอาวุธมีดสั้นที่พึ่งซื้อมาจากร้านขายอาวุธ ข้อมือเล็กๆของนางสะบัดมีดสั้นเข้าสู่ใจกลางเป้ากระดาษ ที่วาดขึ้นมาเองให้คล้ายกับเป้ายิงปืนระยะไกล
“ฝีมือคุณหนูหรือเจ้าคะ”
“อืม อยากหวงอาหารดีนักข้าเลยช่วยจัดเก็บให้สิ้นซาก พวกเขาจะได้ไม่ต้องมากังวลว่าข้าจะไปแย่งกิน”
เสียงราบเรียบตอบกลับมาอย่างไม่ยินดียินร้ายในการกระทำ หากจะให้จิตใจของนางสงบลงได้ย่อมต้องมีผู้ที่ได้รับผลกรรมเสียบ้าง เพราะนางก็ไม่ใช่พระโพธิสัตว์ที่มาคอยอโหสิกรรมให้แก่ผู้คนที่คิดร้ายต่อนางครั้งแล้วครั้งเล่า
มูลเหตุที่นำไปสู่การลงมือในยามดึกที่ผ่านมา เกิดจากความโกรธแค้นที่เกินกว่ามนุษย์ผู้หนึ่งจะยินยอมได้อีกแล้ว ทั้งๆที่เย่วชิงคิดจะปล่อยวางและเดินจากไปอย่างเงียบเชียบแล้วแท้ๆ
แต่ทว่าเมื่อวานนี้ในยามบ่ายคล้อย พ่อบ้านฉีได้เดินมาแจ้งจูลี่ถึงตำหนักร้าง เรื่องที่ชินอ๋องหยางหนิงหลงพระสวามีไร้ใจผู้นั้น สั่งงดส่งอาหารให้พวกนางทั้งสองคน รับสั่งให้หากินกันเองห้ามไปยุ่งเกี่ยวกับห้องครัวของตำหนักใหญ่อย่างเด็ดขาด
“ท่านไม่กลัวพ่อบ้านฉีสงสัยหรือเจ้าคะ เมื่อวานเขาพึ่งเดินมาแจ้งข่าวถึงที่นี่เรื่องการงดส่งอาหาร”
จูลี่เอ่ยถามออกไปเนื่องจากนึกหวาดกลัวว่าคนของชินอ๋องจะตามมาเอาเรื่องพวกนางทั้งสองคน จนกระทบต่อการหลบหนีออกจากตำหนักร้างแห่งนี้
หากพวกนางถูกจับคุมขังเอาไว้ เห็นทีคงหนีไม่พ้นที่จะต้องตายอย่างอนาจในคุกมืด ที่มีคนคุ้มกันอย่างหนาแน่นถึงแม้นมีปีกก็คงไม่สามารถหลบหนีออกไปได้ แต่จูลี่ไม่รู้เลยว่าคุณหนูของนางไม่จำเป็นต้องใช้ปีกก็สามารถหลบหนีจากที่คุมขังได้ทุกที่
“สงสัยแล้วอย่างไร สตรีโง่เง่าหัวอ่อนที่พวกเขาปรามาสเอาไว้จะลงมือได้เฉียบขาดเพียงนั้นเชียวหรือ เวรยามก็มีอยู่ทั่วตำหนัก ข้าก็อ่อนแอเพียงนี้จะไปทำการสิ่งใดได้”
แววตายิ้มเยาะเผยออกมา หากคนเหล่านั้นคิดจะปรักปรำนาง ก็แสดงว่ายอมรับว่าตนเองพ่ายแพ้ต่อสตรีโง่เงาที่พวกเขาเคยปรามาสเอาไว้กระนั้นหรือ เหล่าคนที่อวดดีและจิตใจชั่วร้ายย่อมไม่มีทางยอมรับเด็ดขาด ว่าตนเองพลาดพลั้งให้สตรีอ่อนแอ
“เห้อ คุณหนูท่านช่างซุกซนยิ่งนัก ข้าล่ะเกรงว่าคนพวกนั้นจะปรักปรำท่านโดยไม่คิดสิ่งใดให้ถี่ถ้วน”
“หึหึ ข้าทำหรือไม่ได้ทำ คนเหล่านั้นก็หาเรื่องมาปรักปรำข้าอยู่แล้วสู้ลงมือเลยไม่ดีกว่าหรือ ทว่าหากคนเหล่านั้นยกโขยงมาก่อกวนข้าถึงที่นี่ ข้าจะเผาให้วอดทั้งตำหนัก ไม่หลงเหลือสิ่งใดไว้ให้นายของพวกมันดูต่างหน้าสักเพียงนิด ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าความแค้นระหว่างชินอ๋องกับข้าจะไปสิ้นสุดอยู่ที่ใด”
น้ำเสียงเข้มๆเอ่ยออกมาจากสตรีรูปร่างบอบบาง ที่มีจิตใจหนักแน่นยิ่งกว่าหินผา จนบุรุษผู้หนึ่งที่หลบซ่อนอยู่ในเงามืดอย่างมิดชิดถึงกับสะท้านในหัวใจ เมื่อได้ยินคำพูดกล้าหาญเช่นนี้
‘ทั้งงดงามทั้งกล้าหาญ ข้าจะรอวันที่เจ้าหย่าขาดสำเร็จ และจะช่วยเจ้าหลบหนีให้พ้นทางของคนโง่เขลาเอง’
ท้ายที่สุดก็ไม่มีใครมายุ่งเกี่ยวกับพวกนางทั้งสองคน คงจะเป็นเช่นที่จางเย่วชิงกล่าว ความคิดของบ่าวไพร่ในตำหนักชินอ๋องล้วนเห็นว่าพระชายาจางเย่วชิงโง่เง่าอ่อนแอ ไฉนเลยจะสามารถลักลอบเข้าไปเผาโรงครัวของตำหนักใหญ่ ที่มีเวรยามเดินตรวจตราอย่างเข้มงวดได้ ถึงแม้ชั่วขณะหนึ่งพ่อบ้านฉีจะนึกสงสัยพระชายาผู้อ่อนแอกับสาวใช้คนสนิทอยู่บ้าง แต่เขาก็สลัดความคิดนั้นออกจากหัวไปโดยเร็ว