ตอนที่ 2
“เอ่อ...” มธุราเกิดอาการใบ้กิน ทว่าสายตาจับจ้องไปที่ชายหนุ่มแต่งตัวดีด้วยชุดสูทสากลสีน้ำเงินเข้ม แต่ที่ทำให้เธอถึงกับจ้องตาไม่กะพริบเลยก็คืออายุของชายคนดังกล่าว น่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบ
“หนูแอนนี่ เพื่อนของลียาใช่ไหม” คนมาใหม่เอ่ยถามด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แต่ท่าทางดูรีบร้อนเหมือนกลัวใครจะตามมา
“เอ่อ...ค่ะ ใช่ค่ะ” มธุราขานรับอย่างงงๆ
“ถ้างั้นผมฝากซองนี่ให้ลียาด้วย” บอกกล่าวแล้วก็เปิดเสื้อสูทหยิบซองออกมาเลื่อนส่งให้หญิงสาวคราวลูก ในขณะที่มธุรายังคงตกอยู่ในอาการงงงวย แต่ก็พยักหน้ารับฟังคำบอกกล่าวของอีกฝ่าย
กระทั่งชายคนนั้นลุกจากไป เธอก็มองจนแผ่นหลังกว้างนั่นลับตา จึงหันสายตาไปมองหาพี่สาวคนสนิทว่ากลับมาหรือยัง แล้วเธอจะได้บอกว่าแฟนของพี่มาแล้ว แล้วก็ไปแล้ว เพราะต้องเดินทางไปร่วมพิธีฝังศพภรรยา
‘หมายความว่าไง หรือพี่ลียาเป็น...’ มธุราหยุดความคิดของตัวเอง แล้วมองหาพี่สาวคนสนิทด้วยความเป็นห่วง หลังจากอีกฝ่ายหายไปนาน จนคิดจะลุกไปตาม
แต่ทว่า...
“คุณผู้หญิงครับ เพื่อนของคุณเชิญออกไปพบที่ซุ้มดอกไม้ด้านข้างโรงแรมครับ” สิ้นเสียงของพนักงานหนุ่มรูปร่างสูง มธุราก็ยิ่งเป็นห่วงพี่สาวคนสนิทระคนงงๆ แต่กระนั้นเธอก็ไม่ได้ซักถามอะไรจากพนักงาน นอกจากเรียกให้เก็บค่าอาหาร แต่มีคนจ่ายให้แล้ว เธอจึงรีบเดินออกไปยังจุดนัดพบ รออยู่สักพักก็ไม่เห็นแม้เงาของพี่สาวคนสนิท
‘พี่ลียาอยู่ไหนล่ะ หรือพนักงานคนนั้นจะหลอกออกมา แต่เขาจะมาหลอกทำไม เราไม่ได้ไปทำอะไรให้ซะหน่อย’ พึมพำจบแล้วก็ก็ชะเง้อมองหาพี่สาวคนสนิทแต่ก็ยังไม่เห็น เธอจึงตัดสินใจจะกลับเข้าไปรอด้านในแต่เพียงแค่ขยับเท้าเธอก็ต้องถอยหลบด้วยความตกใจ
“เฮ้ย!” ร้องเสียงหลงเมื่อมีรถยนต์หรูสีดำเงาวับขับเข้ามาจอดเทียบจนแทบจะเหยียบเท้าของเธอ
“พวกบ้า! ขับประสาอะไร ไม่เห็นหรือไงว่ามีคนยืน...กรี๊ด!!” พูดไม่ทันจบประโยคดีก็ร้องออกมาสุดเสียงเมื่อเท้าของเธอลอยจากพื้น วินาทีต่อมาตัวก็กระแทกเข้ากับอะไรบางอย่างที่ก็นุ่มอยู่หรอก แต่ด้วยแรงเหวี่ยงมหาศาลทำให้เธอทั้งเจ็บทั้งจุกจนพูดไม่ออกไปหลายวินาที
“ออกรถ!” เสียงห้าวห้วนดังขึ้น ทำให้คนที่ถูกจับยัดเข้ามาในรถ รีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นนั่งแล้วหันมาจ้องมองคนในรถ และสาบานเลยว่าเธอไม่เคยรู้จักมาก่อน
‘คนพวกนี้เป็นใคร แล้วมาจับเธอทำไม’ มธุราชั่งใจอยู่นานว่าควรถามดีหรือไม่ ใจก็ตุ้มๆ ต่อมๆ หวาดกลัวไปสารพัด กลัวว่าถามไปแล้วจะทำให้ตัวเองต้องมีภัยเร็วขึ้น
“เอ่อ…”
เสียงเอ่อที่ดังออกมานั่นทำให้ชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าเรียบนิ่งเหลียวมอง ทำเอามธุราต้องกลับมาคิดทบทวนอีกรอบว่าควรจะถามดีหรือไม่ แต่หากไม่ถาม แล้วเธอจะรู้ได้อย่างไรว่าคนพวกนี้จับเธอมาทำไม
“คุณ...คุณเป็นใคร” หญิงสาวถามออกไปในที่สุดแล้วรีบขยับเบียดกับประตูรถ “เธอไม่จำเป็นต้องรู้จักฉัน” เจ้าของเสียงห้าวห้วนกระตุกยิ้มมุมปากอย่างชอบใจกับท่าทางหวาดกลัวของหญิงสาว ขณะที่คนถูกลักพาตัวก็นั่งหน้าซีดตัวสั่น ยิ่งรถแล่นเร็วมากขึ้นเท่าไหร่ หัวใจของเธอก็แทบจะหยุดเต้น
‘นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรเนี่ย’ สิ้นเสียงพึมพำสติของเธอไม่รับรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวอีกเลย
******
แสงไฟที่สาดส่องผ่านรอยแยกของผ้าม่านเข้ามา ทำให้คนที่นอนอยู่บนเตียง ยกมือขึ้นป้องตา ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาทีนิดเพื่อปรับให้ชินกับแสงสว่าง กระทั่งชินกับลำแสงที่สาดส่องเข้ามาแล้วก็สอดส่ายสายตามองรอบห้องที่ไม่คุ้นเคย
‘ที่ไหนเนี่ย’ ได้แต่พึมพำถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาแต่ก็ไม่ได้คำตอบ ก่อนจะขยับย้ายตัวเองลงจากเตียง เดินไปเปิดม่าน มองผ่านกระจกหน้าต่างลงไปเบื้องล่าง
‘นี่มันโรงแรมที่เรากับพี่ลียามากินอาหารกันนี่น่า อะไรกันเนี่ย?’ มธุราจัดการปิดม่านแล้วเดินมาที่ประตู จัดการผลักเต็มแรงเปิดไม่ออก
ปัง! ปัง!
“นี่! มีใครอยู่ข้างนอกบ้าง เปิดประตูให้ฉันหน่อยสิ เฮ้! มีใครอยู่ไหม เปิดประตูให้ฉันที” มธุราทั้งทุบประตูทั้งส่งเสียงราวสิบนาที แต่สิ่งได้รับกลับมาคือความเงียบ สองเท้าเล็กจึงเดินย้อนกลับมาที่หน้าต่าง พยายามหาข้าวของมาทุบกระจกบานใหญ่แต่ก็หาอะไรมาทุบไม่ได้เลยนอกจากสองมือตัวเอง ที่ทุบลงไปคงจะได้เลือดกลับมา
‘ไอ้หน้าโหดคนนั้นเป็นใครกัน แล้วมาจับฉันขังข้อหาอะไรเนี่ย โอ๊ย! นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกันเนี่ย’ เมื่อทำอะไรกระจกไม่ได้คนถูกลักพาตัวจึงเปลี่ยนมาเดินวนรอบห้องและถามตัวเองด้วยประโยคเดิมๆ อยู่อย่างนั้น เพราะตั้งแต่มาเหยียบลาสเวกัส เธอก็ไม่เคยไปมีเรื่องมีราวกับใคร แล้วทำไมถึงได้โดนคนแปลกหน้าจับตัวมากักขัง
‘กระเป๋า!’ คิดได้ดังนั้นก็รีบมองหากระเป๋าแบรนด์เนมใบโปรดที่พี่ชายซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิด ทว่าหาจนทั่วห้องแล้วก็ไม่พบจึงเลิกหาแล้วกลับมานั่งจมปุกอยู่บนเตียง คิดถึงมารดา คิดถึงพี่ชาย ก่อนจะเอาแต่โทษตัวเองที่ดื้อรั้นจะมาให้ได้ ทั้งที่คนในครอบครัวก็ห้ามแล้วว่าไม่ต้องดั้นด้นมาหางานทำไกลถึงอเมริกา แต่เป็นเพราะเธออยากหาเงินให้ได้เยอะๆ เพื่อจะได้เอาเงินมาลงทุนทำธุรกิจที่ตัวเองชอบนั่นก็คือสปา แต่ความฝันกลับพังทลายลงเพราะใครไอ้หน้าโหดคนเดียว
‘คุณแม่ พี่มาร์ช มาช่วยแอนนี่หน่อยด้วย แอนนี่อยากกลับบ้าน’ เพราะหมดหนทางจะช่วยเหลือตัวเอง มธุราจึงทำได้แค่พึมพำถึงคนในครอบครัวในสภาพน้ำตาคลอ