“นับจากนี้ไป ฉันจะหาเงินได้ ฉันจะเอาเงินที่ได้มาไปผ่อนธนาคาร จะรักษามรดกของพ่อที่ยกให้ฉันชิ้นเดียวอันนี้ให้ได้ พ่อจ๋า พ่อเอาใจช่วยหนูด้วยนะคะ พ่อกับแม่ต้องอยู่ข้าง ๆ หนูนะคะ ทุกวันนี้ กำลังใจของหนูที่เหลือก็เพื่อทำทุกอย่างเพื่อให้ได้บ้านคืนมาเป็นของหนูให้ได้”
ดวงตาของเธอมุ่งมั่น น้ำเสียงหนักแน่น และน้ำตาที่กักเก็บเอาไว้ในอกแสนนานก็หยดรินลงมา ในหยาดน้ำตาเหล่านั้น มีความรู้สึกที่ปะปนเปกันไปหมด ทั้งดีใจ ทั้งเสียใจ และน้อยใจในวาสนาของตัวเอง ตีรณาหยิบกระเป๋าสตางค์ของตัวเองขึ้นมา มันเป็นกระเป๋าสตางค์ที่ใครคนหนึ่งเคยซื้อให้
“นี่มันเป็นกระเป๋าคู่นะ มีแบบนี้ที่พี่หนึ่งใบ และที่เต้ยอีกใบหนึ่ง” เขาหยิบเอามันมาวางคู่กันบนโต๊ะ กระเป๋าหนังสีน้ำตาลอย่างดี
“เปิดดูสิ”
“ทำไม มีเงินใส่ไว้ให้เต้ยใช้ด้วยหรือคะ”
เขาพยักหน้า แต่เมื่อตีรณาเปิดดู เธอก็เห็นรูปคู่ที่เคยถ่ายกันใต้อาคารเรียน เขาโอบไหล่ของเธอเอาไว้ ทั้งสองมีรอยยิ้มอย่างเปิดเผย นัยน์ตามีความสุขอย่างเต็มเปี่ยม
“ภาพนี่แหละที่ถ่ายเห็นฟันทั้งสองคน” เขาบอก
“สวยค่ะ ขอบคุณนะคะ” เธอยกมือไหว้ อีกอย่างเขาแก่กว่าเธอตั้งสองปี
“เปิดข้างในอีกสิ”
“มีอะไรคะพี่เต้น” ถามไป พลางทำตาม
“ห้าร้อยบาท จะพอได้กินขนมไหมหนอ” เธอหยอกเขาเล่น
“พี่ให้เป็นขวัญถุงต่างหาก เห็นไหมว่าเป็นรูปของใคร”
“ค่ะ พระองค์ท่านทรงสิริโฉมงดงามมากค่ะ”
“เต้ยก็งดงาม ในสายตาของพี่”
ฟอด... เขาฉกใบหน้าลงมาหอมแก้มของเธอฟอดใหญ่ ดวงหน้าน้อย ๆ ของเด็กสาวแดงร้อนขึ้นมาในทันที
“พี่เต้นทำไมทำแบบนี้คะ”
“ก็แลกกับกระเป๋าสตางค์ไง”
“หื้อ” ทำเขินนั่งบิดแทบม้วนลงไปกองกับพื้น หัวใจในอกสาวเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ได้แต่ก้มงุดหลบสายตาของเขาที่จ้องมองมา
ฝ่ายชายเองก็หัวใจเต้นโครมครามแทบทะลุออกมานอกอกเช่นเดียวกัน มือที่ใหญ่กว่าของเขาเอื้อมมาจับและบีบมือของเด็กสาวที่ตอนนี้เย็นจนคนที่จับก็รับรู้ได้
“พี่รักเต้ย แล้วเต้ยรักพี่ไหม”
“อื้อ” เธอพยักหน้าแทนคำพูด ตีรณารับคำอยู่ในลำคอ สองคนมองไปยังดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับเหลี่ยมฟ้า
“พรุ่งนี้เราเจอกันอีกนะ” ทั้งคู่แทบไม่หันมามองหน้ากันเลย เพราะความเขินอาย
วันต่อมา ที่หน้าโรงเรียน เขาได้แต่รอแล้วรอเล่า แล้วเธอก็ไม่มา ชายหนุ่มเดินไปถามเพื่อนของเธอ ก็ได้รับคำตอบว่า เธอได้ลาออกจากโรงเรียนไปแล้ว รักแรกของเขา ทำไมจากกันไปโดยไม่ลา เธอไม่เคยเห็นค่าในความรักของเขาเลยหรือ
กำปั้นใหญ่ทุบลงไปบนโต๊ะ ก่อนที่จะหยิบกระดาษที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาขยำแล้วทิ้งลงไปในถังขยะ ในกระดาษแผ่นนั้นเขียนคำว่า ‘ตีรณา’ เอาไว้เต็มไปหมด
ชื่อของผู้หญิงคนนั้นที่ทำให้เขากลายเป็นคนเย็นชา แล้วอะไรนะที่ชักนำให้เธอกลับมาหาเขาอีกครั้ง และการกลับมาครั้งนี้ เขาจะทำให้เธอเจ็บปวดอย่างสาสม
ตีรณาเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น คนที่แออัดจอแจอยู่ที่สถานีรถไฟทำให้เธอหงุดหงิดไม่น้อย วันแรกของการทำงาน ยังไม่ได้รายงานตัว เธอก็จะมาสายเสียแล้ว
ตีรณายกมือขึ้นมาซับเหงื่อที่ชื้นขึ้นเต็มใบหน้า หญิงสาวเริ่มกังวลอีกเรื่องหนึ่ง หน้าตาที่แต่งมาจะยับเยินหรือเปล่า เพราะเครื่องสำอางราคาถูกที่เจ้าตัวใช้ คุณภาพไม่ได้ดี โดนน้ำแบบนี้จะหลุดร่วงไปหรือไม่ สายตาจ้องมองไปที่ทิชชูในมือ มีสีเนื้อของแป้งพับติดออกมาอยู่เต็ม
‘ช่างเถอะ ๆ’ รีบจ้ำอ้าวก้าวเข้าไปในตึก
‘บริษัทเอ็นจอยบุ๊กคลับ’ ชื่อด้านหน้าที่เขียนเอาไว้ พอก้าวขาเข้าประตูที่อ้ากว้าง เธอก็ตะลึงในความโอ่อ่า
ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่ใฝ่ฝันอยากเป็นนักเขียน เจ้าของสำนักพิมพ์ หรืออะไรก็ได้ที่เกี่ยวข้องกับหนังสือ เพราะตีรณาได้อ่านเจอประวัติของนักเขียนท่านหนึ่ง ที่แต่งหนังสือและมีทุกอย่างได้ตั้งแต่อายุยี่สิบห้าปี ความใฝ่ฝันของเด็กสาวที่ยากจน ไม่มีทุนรอนอะไร
‘การสร้างมูลค่าให้กับตัวเอง บางทีเราสามารถสร้างมันมาจากหนึ่งสมองสองมือได้’ เป็นคำพูดของนักเขียนท่านนั้นที่ติดอยู่ในหัวของตีรณาจนเธอไม่สามารถจะลบเลือนมันไปได้ และทำให้เธอมุ่งมั่นทำมันมาตลอด
ตรงหน้าของเธอเป็นเคาน์เตอร์ใหญ่ และด้านหลังมีป้ายชื่อของบริษัทต่าง ๆ ที่อยู่ในเครือของบริษัทเอ็นจอยบุ๊กคลับ
ตีรณาไล่สายตาอ่านแต่ละชื่อด้วยหัวใจที่เต้นแรง
‘ดวงหทัยคลับ Readme สโมสรโรแมนติก NovelFic DreamWrite อ่านเลย iFic Studio’
‘ฉันไม่เคยคิดเลยว่าจะได้มายืนตรงนี้’
“สวัสดีค่ะ มารายงานตัวทำงานวันแรกค่ะ”
“ชื่ออะไรคะ”
“ตีรณา ศรีรุ่งรัตน์ค่ะ”
“อ้อค่ะ เดินไปทางนี้ ขึ้นลิฟต์ แล้วกดไปที่ชั้นสิบนะคะ”
‘หื้อ ชั้นบนสุดของตึกนี้เลยหรือ’ ตีรณาได้แต่คิดในใจ ส่วนใหญ่ห้องของแผนกบุคคลมักจะอยู่ด้านล่าง
“นี่เป็นการ์ดสำหรับใช้ในอาคารนะคะ ถ้าจะกลับกรุณาเอามาคืนที่นี่ด้วยค่ะ” ผู้หญิงคนนั้นบอก
“ขอบคุณค่ะ” ตีรณารับการ์ดมาถือแบบงง ๆ แล้วรีบเดินไปยังลิฟต์ที่มีเรียงกันอยู่ถึงสามตัวตรงฝั่งขวามือ เธอรวบรวมกำลังใจ พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด
ตอนที่อยู่ในลิฟต์ เธอก็ไม่วายเช็กหน้าตาของตัวเองในกระจกที่รายรอบ ‘ดีนะที่หน้าตาดี ไม่งั้นละก็’ คิดไปยิ้มไป พร้อมกับล้วงเอาตลับแป้งในกระเป๋าขึ้นมาตบที่ใบหน้าแล้วทาลิปสติก
ติ๊ง... ประตูลิฟต์เปิดออก
เธอก้าวขาออกไป พอหันซ้ายก็เห็น มีโต๊ะตัวหนึ่งตั้งอยู่ บนโต๊ะนั้นมีแต่อุปกรณ์สำนักงาน และด้านหลังมีชั้น และบนนั้นมีหนังสือจัดตั้งเรียงกันเต็มไปหมด ช่างละลานตา
ประตูด้านข้างเปิดออกมาพร้อมกับผู้หญิงท้องโตใกล้คลอด คงจะเห็นเธอจากการมองผ่านกระจกใส ๆ