"นี่แค่วันแรก" ธรรศภาคย์บอกพร้อมส่ายหัว ไอ้ที่รับปากเขาไปโคตรทำตาม
ธนาไหวไหล่ก่อนจะเดินกลับเข้าห้อง ไปนั่งลงที่เก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน ทำให้ผอ.หนุ่มเดินตามเข้ามา
"ไหนบอกไม่ทำ" ธรรศภาคย์นั่งลงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ขายาวยกขึ้นไขว้ห้าง เอามือกอดอกมองหลานชายนิ่งๆ
"คนนี้ผมไปเจอมาเมื่อคืน แล้วเราก็เกือบมีอะไรกัน ผมคิดว่าหากได้เจอเขาอีกครั้งคงต้องสานต่อให้เสร็จ แต่เช้ามาเขากลับกลายมาเป็นนักศึกษาของผมซะงั้น"
"ก็ไม่ต้องยุ่ง หาคนอื่นก็ได้ อยากก็แค่ซื้อกินง่ายๆ แค่นี้ ผู้หญิงมีเยอะแยะธนา"
"แต่คนนี้ทำผมค้าง"
"ก็ลงกับคนอื่น"
"นั่นไม่ใช่ผม" เขาต้องปิดจ๊อบเป็นคนๆ ไป
"สรุปจะเอาให้ได้?"
"ผมไม่รู้มาก่อนไงว่าเป็นนักศึกษาของตัวเอง หรืออาจะไล่ผมออก? เอาสิ ผมก็ขี้เกียจสอนแล้วเหมือนกัน เปิดเทอมวันแรกยัดคาบสอนให้ผมเต็มขนาดนี้แกล้งผมใช่ไหม"
"จะได้ไม่ต้องฟุ้งซ่าน" ยอมรับว่าแกล้งหลานชาย ธนาจะได้ไม่ต้องคิดเรื่องไม่ดีในรั้ววิทยาลัยตัวเอง
"เดี๋ยวผมลาออกให้ดู"
"ไม่ได้ ทางที่ดีรีบทำผลงานแล้วขึ้นมาเป็นรองผอ." เขาทำควบสองตำแหน่งมาจะครบปีแล้วนะ เหนื่อยก็เหนื่อย กลับบ้านดึกตลอด เพราะรอหลานชายตัวดีพร้อมมาช่วยงาน
"เอางี้อา" ธนาคิดอะไรบางอย่างออก
"ถ้าอาอยากให้ผมเป็นรอง ก็ปล่อยให้ผมยุ่งกับคนนี้สิ แล้วผมจะทำผลงานให้" ยักคิ้วรัวๆ เอาสิ อยากให้เขาทำผลงานก็ต้องมีอะไรมาแลกเปลี่ยน
ธรรศภาคย์ส่ายหัวแล้วลุกเดินออกจากห้องไม่รับปากอะไรใดๆ ทั้งสิ้น
เขาแค่มาทักทายหลานชายเฉยๆ แล้วจะกลับไปเคลียร์งาน วันนี้กว่าจะกลับถึงบ้านคงดึกน่าดู เพราะเปิดเทอมวันแรกมีงานให้เคลียร์มากมาย
ธนารีบเก็บของกลับบ้าน ขับรถออกจากรั้ววิทยาลัย กลับรถเพื่อไปยังอีกฝั่งเมื่อเห็นว่ามีใครบางคนนั่งรอรถอยู่ตรงป้ายรถเมล์
เปิดกระจกลงแล้วบีบแตรเรียก ทำคำแพงที่นั่งเหม่อเพราะเหตุการณ์เมื่อกี้สะดุ้ง มองไปยังตรงหน้าก็พบว่าเป็นคนที่แกล้งเธอ
ธนาพยักหน้าเรียกเธอให้ขึ้นมา ทว่าคำแพงทำเมินมองไปทางอื่น
เขาเคาะนิ้วลงบนพวงมาลัยอย่างครุ่นคิดว่าจะทำยังไงให้หญิงสาวยอมเดินขึ้นมานั่งบนรถดีๆ
ปิดกระจกขึ้น นั่งตากแอร์เย็นๆ เปิดเพลงฟังชิลๆ
ปี๊บ!
คำแพงสะดุ้งตกใจ เมื่อเสียงรถเมล์สายหนึ่งบีบแตรไล่รถคันหน้า ก่อนจะตามมาด้วยเสียงเอะอะโวยวาย
'เฮ้ย! ป้ายรถเมล์ เอารถมาจอดขวางทำเหี้ยอะไรวะ!'
ธนาได้ยินเสียงโวยวายมาจากด้านนอก แต่ไม่ได้สะทกสะท้าน ถ้าคำแพงไม่ขึ้นมาเขาก็จะจอดขวางทางอยู่แบบนี้
'เฮ้ย! มึงอยากมีเรื่องเหรอวะ!' คนขับรถเมล์ทำท่าจะลงไปเอาเรื่อง ทำให้คำแพงต้องรีบวิ่งไปเปิดประตูฝั่งซ้ายแล้วขึ้นไปนั่ง ธนาที่ติดเครื่องรออยู่ก่อนแล้วรีบออกรถไปทันที
หญิงสาวถอนหายใจโล่ง ผิดกับเจ้าของรถ เอื้อมมือไปเพิ่มความดังของเสียงเพลง กระนั้นยังคงได้ยินเสียงคำแพงถามมา
"อาจารย์จงใจให้รถเมล์บีบแตรไล่เพื่อเรียกร้องความสนใจจากหนูใช่ไหมคะ" ถามเขาด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ ทำไมเขาถึงเป็นคนแบบนี้
"ใช่ครับ คราวนี้รู้แล้วว่าถ้าผมอยากได้อะไรผมก็ต้องได้ ต่อไปอย่าดื้ออีกนะ"
คำแพงที่ได้ยินอย่างนั้นอ้าปากค้างเมื่อเขาไม่ปฏิเสธ อีกทั้งยังรู้สึกขนลุกแปลกๆ ภายนอกเขาดูเป็นคนอารมณ์ดี สุภาพ แต่พอได้มาสัมผัสเขาเป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเองมากๆ คนหนึ่ง
หรือเพราะเขาเป็นหลานชายคนเดียวของตระกูล มีแต่คนตามใจ แต่เธอก็เป็นลูกสาวคนเล็กเหมือนกันนะ ยังไม่เห็นเอาแต่ใจเหมือนเขา
"นินทาผมอยู่เหรอครับ" ธนาเลิกคิ้วถามยิ้มๆ ขณะที่สายตามองหนทาง มองมาทางเขาไม่วางแบบนี้กำลังบ่นเขาชัวร์
คำแพงที่ได้ยินว่าอย่างนั้นรีบดึงสายตากลับมาแล้วมองไปยังถนน นึกถึงเรื่องราวที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้
ทำไมต้องมารู้จักกับเขาด้วยนะ นึกโทษพี่คำหล้าได้ไหม ทำไมต้องให้เธอรู้จักกับผู้ชายคนนี้ด้วย
ถ้าเมื่อคืนไม่ได้กลับกับเขา ไม่ได้จูบกับเขา เราคงเป็นแค่อาจารย์กับนักศึกษาคนหนึ่งเท่านั้น พอจบการเรียนการสอนในแต่ละคาบต่างก็แยกย้ายกันไป แต่นี่อะไร เขากำลังบังคับเธอทุกทาง
"ขอบคุณที่มาส่งนะคะ" เมื่อถึงหน้าบ้านหญิงสาวยกมือไหว้ขอบคุณเขา ถึงไม่อยากมาด้วยแต่ถือว่าเขามีน้ำใจ
"ครับ พรุ่งนี้ผมมารับนะ"
"ไม่ต้องค่ะ" แค่เหตุการณ์วันนี้ก็ทำเธอปวดขมับมากพอ อย่าให้เธอต้องไปไหนมาไหนกับเขาเลย
"ถ้าไม่อยากเจอแบบเมื่อกี้อีก อย่าคิดไปก่อนผมนะครับ"
บอกยิ้มๆ พร้อมกับมองใบหน้าหวาน ทว่าน้ำเสียงจริงจังทำคำแพงเสียวสันหลังวาบ เธอจะออกจากเหตุการณ์นี้ยังไงดี
หญิงสาวพยักหน้าอย่างปฏิเสธไม่ได้ ก่อนจะลงจากรถ ยืนส่งทางจนเขาขับไกลออกไป เดินจิตใจห่อเหี่ยวเข้าบ้าน
"มาแล้วบ่อ รถไผคุ้นๆ" (มาแล้วเหรอ รถใครคุ้นๆ)
คำหล้าถามน้องสาว
"รถหมู่นั่นล่ะมันออกใหม่" (รถเพื่อนนั่นแหละเขาออกใหม่)
"อ๋อๆ ไปๆ ไปอาบน้ำมากินเข่า เอื้อยเฮ็ดแกงเห็ดใส่ผักหวานใส่ไข่มดแดงของโปรดอีหล่านำ" (อ๋อๆ ไปๆ ไปอาบน้ำมากินข้าว พี่ทำแกงเห็ดใส่ผักหวานใส่ไข่มดแดงของโปรดคำแพงด้วย)
ปกติน้องสาวเธอเลิกเรียนกลับมาก็หิวโซ เธอจึงต้องมีอาหารไว้รอ
"ขอบคุณหลายๆ เด้อเอื้อย" (ขอบคุณมากๆ นะพี่)
คำแพงสวมกอดพี่คำหล้า คนที่เธอรักไม่ต่างจากพ่อและแม่คนหนึ่ง
"เป็นหยังน้อนี่ ท่าทางอ้อนๆ แบบนี้คือ" (เป็นอะไรเอ่ย ท่าทางอ้อนๆ แบบนี้คือ)
"บ่ได้เป็นหยัง หนูแค่อยากกอดเอื้อยสื่อๆ ขอบคุณที่ทำเพื่อหนูเด้อ" (ไม่ได้เป็นอะไร หนูแค่อยากกอดพี่เฉยๆ ขอบคุณที่ทำเพื่อหนูนะ)
"แค่นี้เอง น้องสาวคนเดียว บ่ให้เอื้อยทำเพื่ออีหล่าสิให้เอื้อยทำเพื่อไผ ไปๆ ไปอาบน้ำมากินเข่าดีกว่า" (แค่นี้เอง น้องสาวคนเดียว ไม่ให้พี่ทำเพื่อคำแพงจะให้พี่ทำเพื่อใคร ไปๆ ไปอาบน้ำมากินข้าวดีกว่า)
"เอื้อยถ่าหนูบึดเดียวเด้อ" (พี่รอหนูแป๊บเดียวนะ)
คำแพงผละออกเดินเข้าบ้าน บ้านของเธอเป็นปูนชั้นเดียวมุงหลังคาสังกะสี เป็นปูนเปลือยธรรมดา สร้างโดยฝีมือของพ่อและเพื่อนพ่อ
พวกท่านเป็นช่างรับเหมาก่อสร้าง จึงทำเองโดยไม่ต้องจ้าง สร้างแต่พออยู่ หน้าต่าง ประตู เป็นบานไม้ปกติ ด้านในถูกปูพื้นด้วยเสื่อน้ำมัน
เราอยู่กันสองคนพี่น้องตั้งแต่พ่อตาย ส่วนคนเป็นแม่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งไปเมื่อหลายปีก่อน ทำให้พี่คำหล้าต้องกลายมาเป็นหัวหน้าครอบครัวดูแลน้องสาวเพียงคนเดียว
พี่เธอเป็นแม่บ้านประจำให้บ้านคนรวยสองหลัง เดินทางไปเช้าเย็นกลับ รายได้วันละหนึ่งพันบาท
กลั้นใจส่งเธอเรียนต่อปวส.หลังจากจบมอหก อะไรที่คนอื่นได้คนอื่นมีน้องสาวพี่ก็ต้องได้
ลงทุนซื้อเครื่องสำอางให้เธอแต่งหน้าไปเรียนเพราะตัวพี่ไม่มีโอกาส ทุกสิ่งอย่างแทนที่จะลงตัวเองบ้างกลับประโคมเธอเสียหมด
จะไม่ให้เธอรักพี่สาวคนนี้ได้อย่างไรกันทำเพื่อเธอขนาดนี้ ทุกวันพ่อและวันแม่ไม่ลืมเอาพวงมาลัยมากราบเท้าพี่ทุกครั้งไม่เคยลืม
อีกเทอมเดียวเท่านั้นเธอจะเรียนจบแล้ว และคิดว่าคงไม่เรียนต่อปริญญาตรีเพราะค่าใช้จ่ายมันสูง
วางแผนจะลงไปทำงานที่กรุงเทพ คงมีงานเยอะแยะให้ทำ และจะชวนพี่สาวไปอยู่ด้วยที่นั่น
เธอมีพี่คนเดียวให้ห่วง เพราะฉะนั้นเธอคิดว่าไม่ยากหากต้องเคลื่อนย้ายที่อยู่