“แม่เชื่อว่าชีคฟาซิซต์ ซัลฮาบินด์ อัลวาสต์ ต้องจำพริ้นซ์ได้แน่นอนและจำได้ตั้งแต่วินาทีแรกที่พบกับลูกสาวแม่ด้วย” เมื่อลูกสาวเดินพ้นรัศมีที่จะได้ยินนางก็ถอนหายใจยืดยาวพร้อมกับเอ่ยพึมพำออกมาเบาๆ
ปิณฑิราในวัย 22 ปีที่พบกับชีคฟาซิซต์เป็นครั้งแรกกับปิณฑิราในวัยปัจจุบัน ยังคงเป็นหญิงสาวที่แสนสวยงดงามอ่อนหวานชวนรักใคร่หลงใหลอาจจะสวยสง่างดงามยิ่งกว่าวัยแรกสาวด้วยซ้ำไป
ถึงแม้เจ้าตัวจะบอกว่าตัวเองเป็นผู้หญิงหน้าตาธรรมดาไม่น่าจดจำ แต่นางไม่คิดเช่นนั้น
ลูกสาวของนางมีเรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นผิวพรรณผ่องเนียนไปทั้งตัว ใบหน้างามหวานรูปไข่ เรียวปากอิ่มเอิบสีกุหลาบรับกันอย่างหมดเจาะกับจมูกโด่งเป็นสัน ดวงตากลมโตดำสนิทสวยงามภายใต้ขนตายาวงอน เส้นผมดำขลับเหยียดยาวตรงทิ้งตัวสวยงามมันระยับอยู่กลางหลัง มองโดยรวมแล้วนางเชื่อว่าลูกสาวของนางงดงามชวนพิศยิ่งกว่านางในวรรณคดี ชายใดที่ได้เห็นพบเจอะเจอต่างก็หันมามองตามจนต้องเหลียวหลังต่อให้ใจแข็งป่านหินผาก็อดไม่ได้ที่จะหลงรักในตัวหญิงสาว
ซึ่งนางก็ได้แต่หวังลึกๆ ว่าชีคฟาซิซต์ ซัลฮาบินด์ อัลวาสต์ คงยังไม่มีพระชายาและเมื่อได้พบกับลูกสาวของนางอีกครั้งนางก็ภาวนาให้ชีคฟาซิซต์มีใจรักภักดีต่อลูกสาวนางบ้าง เพราะทั้งนี้ทั้งนั้นนางสงสารฟารีสต์ นางอยากให้หลานชายได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูกเหมือนเด็กคนอื่นๆ
ปิณฑิราเดินโผเผเข้าห้องนอนพร้อมกับทิ้งตัวลงนอนคว่ำหน้าปล่อยให้หยาดน้ำตาไหลลงเป็นทางยาวจนเปียกชุ่มหมอนใบใหญ่ เสียงสะอื้นร้องไห้ที่กักเก็บไว้แสนนานถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมกับน้ำตาอุ่นใสที่ไหลรินราวกับทำนบแตก
แสงแดดสีทองในยามบ่ายคล้อยที่สาดส่องเข้ามาในห้องกระทบกับรูปภาพที่ตั้งไว้บนหัวเตียงทำให้เกิดแสงวูบวาวเล็ดลอดเข้ามากระทบดวงตาคู่งามจนเจ้าตัวต้องผุดลุกขึ้นไปหยิบภาพถ่ายขึ้นมาดู
เด็กชายในวัย 6 ขวบยิ้มแป้นแก้มแทบปริใส่กล้อง ทั้งรูปโครงหน้า สีผมและนัยน์ตาที่คมกริบทอดแบบจากชีคฟาซิซต์ ซัลฮาบินด์ อัลวาสต์ คนที่เป็นพ่อไม่มีผิดเพี้ยน
หญิงสาวยกมือขึ้นลูบรูปภาพของลูกชายด้วยความสะเทือนใจ ภาพนี้มารดาของเธอเป็นคนถ่ายให้ตอนที่พากันไปเที่ยวที่สวนสนุก เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวยาวโดยให้ฟารีสต์นั่งซ้อนตักอีกที ฟารีสต์เอนศีรษะพิงกับอกเธอและยิ้มแป้นให้คุณยายที่เป็นคนถ่ายภาพ หญิงสาวยกภาพถ่ายขึ้นมาประทับจุมพิตก่อนจะกอดไว้แนบอก ใบหน้างามเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตาคู่สวยจับจ้องแน่นิ่งอยู่ที่โมบายดินเผารูปผีเสื้อที่กำลังโบกพัดไหวไปตามแรงลมจนเกิดเสียงกรุ๊งกริ๊งไพเราะเสนาะหู
แต่หญิงสาวที่นั่งนิ่งน้ำตาเอ่อคลอเบ้าตามิได้รู้สึกหรือรับรู้กับสิ่งที่พัดไหวอยู่รอบกายเพราะตอนนี้จิตใจเธอกำลังล่องลอยหวนคิดถึงอดีตที่ผ่านมาอันก่อให้เกิดทั้งความรักความผูกพันความเสียใจรวดร้าวผสมปนเปกันนานนับแรมปี
ปีพ.ศ. 2546
‘หญิงสาวเจ้าของเรือนร่างอรชรอ้อนแอ้น โครงหน้ารูปไข่แสนหวานงดงานน่าหลงใหลในวัย 22 ปีเศษกำลังเดินเป็นวิ่งไปยังบ้านหลังงามของคุณวิริยา ดวงตากลมโตที่เคยสุกสดใสแวววาวขณะนี้เต็มไปด้วยความเศร้าหมองและหยาดน้ำตาใสที่เอ่อคลอดวงตาคู่สวยทั้งคู่ เรียวปากอวบอิ่มสีกุหลาบสั่นระริกด้วยแรงสะอื้นร้องไห้จนเจ้าตัวต้องกัดเม้มไว้แน่น
เท้าเล็กๆ ในรองเท้าสานรีบซอยเท้าเป็นวิ่งอย่างใจร้อนไม่นำพาเศษดินก้อนกรวดที่กระเด็นเข้ามาในรองเท้าทำให้ฝ่าเท้าเจ็บแปลบจนแทบจะทรุดลงไปกองกับพื้นถนน เมื่อมาหยุดยืนหอบหายใจอยู่หน้าบ้านของคุณวิริยาเธอก็รีบกดออดเรียกคนภายในบ้านรัวเร็วด้วยความใจร้อน
สราวลี หญิงหม้ายวัยค่อนคนที่เป็นทั้งแม่บ้านและคนสนิทของคุณวิริยาเดินมาเปิดประตูบ้านด้วยความโมโหเล็กน้อยเพราะคิดว่าพวกเด็กมือบอนมากดกริ่งเล่น แต่เมื่อเห็นหญิงสาวงามพิศที่รู้จักกันดียืนสะอื้นร้องไห้อยู่หน้าบ้านก็ทำให้นางขมวดคิ้วเข้าหากันยุ่งด้วยความแปลกใจระคนตกใจ
‘หนูพริ้นซ์เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม’
นางเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงพร้อมกับดึงแขนเนียนขาวผ่องให้ก้าวเข้ามาภายในบริเวณบ้าน
‘เจ๊...ยา...อยู่มั้ยคะ พริ้นซ์อยากพบเจ๊’
ปิณฑิราสะอื้นฮักเอ่ยถามเสียงกระท่อนกระแท่น ดวงตาคู่สวยแดงก่ำพยายามกวาดสายตามมองหาเจ๊ยาที่ถามถึง
‘มีเรื่องเดือดร้อนอะไรหรือเปล่าพริ้นซ์ บอกพี่ลีได้น่ะ ถ้าช่วยได้พี่ลีจะช่วย’
เพราะความน่ารักนิสัยดีเป็นเด็กอ่อนน้อมถ่อมตนของปิณฑิราทำให้
สราวลีรักและเอ็นดูหญิงสาวเป็นพิเศษ อีกทั้งบ้านวิริยาจะรับปิ่นโตกับข้าวกับจากเด็กสาวทุกวันทำให้รู้จักและคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
ปิณฑิราส่ายหน้าปฏิเสธทั้งน้ำตานองหน้า ‘พี่ลีช่วยพริ้นซ์ไม่ได้หรอกค่ะ คนที่จะช่วยพริ้นซ์ได้ก็มีแต่เจ๊ยาคนเดียว’
‘หนักขนาดนั้นเลยหรือพริ้นซ์’
สราวลีเอ่ยถามด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเจือแววทุกข์ร้อนไม่ต่างจากหญิงสาวที่มาขอความช่วยเหลือ
‘ค่ะ...พี่ลี’ ปิณฑิราพยักหน้าเอ่ยรับคำเสียงแผ่วเบาแทบจะไม่พ้นลำคอ
‘ถ้างั้นนั่งรอนี่น่ะ เดี๋ยวพี่ไปเรียกเจ๊ให้ เจ๊เพิ่งขึ้นไปเอนหลังตะกี้เอง’
สราวลีจับร่างบางระหงที่ยังสั่นเทาจากแรงสะอื้นร้องไห้ให้ทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาสีฉูดฉาดก่อนจะรีบวิ่งขึ้นบันไดไปตามเจ๊ยาหรือวิริยาให้หญิงสาว
ปิณฑิรานั่งสะอื้นร้องไห้เบาๆ ด้วยความทุกข์ใจและอดสูที่ต้องตัดสินใจทำแบบนี้ เธอกวาดสายตามองไปรอบบริเวณห้องโถงของบ้านวิริยาซึ่งถูกตกแต่งไว้อย่างวิจิตรโอฬารเพื่อรองรับแขกวีไอพีไม่กี่คนที่ได้รับอนุญาตให้มาพักผ่อนที่บ้านวิริยาได้
ทุกคนในละแวกนี้ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายต่างก็รู้ดีว่าบ้านวิริยาคือสวรรค์วิมานบนดินสำหรับชายหนุ่มที่อยู่ในระดับเศรษฐีที่จะมาหาความสุขผ่อนคลายในบ้านหลังนี้
เด็กสาวที่ถูกเลือกมาคอยบำบัดบำเรอจะต้องสะอาดไม่มีประวัติมัวหมองทั้งเรื่องยาเสพติดและอาชญากรรมต่างๆ ผู้ชายที่มาที่นี่ก็เพื่อต้องการขึ้นสวรรค์วิมานชั้นดาวดึงส์ และผู้หญิงที่มาที่นี่ก็เพื่อต้องการ ‘เงิน’ ดังเช่นที่เธอกำลังต้องการอยู่ ถึงแม้จะรู้ว่าเป็นสิ่งที่ผิดศีลธรรมอันดีงามของเมืองไทย แต่เธอก็ต้องกล้ำกลืนฝืนทำ เพราะเธอไม่อาจปล่อยให้บุพการีที่เลี้ยงดูเธอมาต้องตายไปต่อหน้าต่อตา