“พยายามหายใจนะ” ฉันยังคงพูดบอกกับครูซ
มือบีบจมูกของเขาไว้แน่น ก่อนจะก้มใบหน้าลงเพื่อเป่าลมเข้าไปในปากเขาช้า ๆ และคอยสังเกตที่แผ่นอกว่ายกขึ้นตามจังหวะการเป่าหรือไม่… จริง ๆ มันต้องทำซ้ำ ๆ ประมาณ 10 ครั้งต่อนาที แต่พอพี่หมอหันต์เดินเข้ามาเลยทำท่าจะหยุด เพียงแต่อีกฝ่ายกลับพยักหน้าเชิงอนุญาตให้รักษาต่อตามวิธีที่ฉันรู้
พี่หมอกันต์หยุดอยู่ข้างเตียงของครูซพร้อมกับตรวจชีพจรตามไปด้วย ในขณะที่ฉันกำลังเป่าลมหายใจเพื่อช่วยเขาอย่างสุดกำลัง
รอบด้านมีนางพยาบาลพร้อมเข็มฉีดยาถึงสามหลอด รวมไปถึงเครื่องพ่นออกซิเจน
“ครบ 10 ครั้งแล้วหยุดนะมิรา” พี่กันต์เอ่ยบอกกับฉันด้วยท่าทีเครียด ๆ
ฉันแทบไม่ได้มองใบหน้าของครูซเลยว่าเขาเป็นอย่างไร เพราะสังเกตเพียงแผ่นอกที่บ่งบอกว่าการช่วยชีวิตในครั้งนี้มันเป็นไปในทางที่ดีขึ้น
กระทั่งเป่าลมพร้อมกับบีบจมูกเขาแน่น ๆ เป็นครั้งที่สิบตามที่เคยได้อ่านมา
ในจังหวะที่กำลังถอนตัว พี่หมอกันต์ก็แทรกเข้ามาเพื่อฉีดยาหลอดใหญ่ลงตรงเส้นเลือดที่กล้ามเนื้อขาของครูซต่อ
“อะดรีนาลิน หนึ่ง” ก่อนตะโกนบอกชนิดยากับพยาบาลอีกคนว่าเขาได้ฉีดอะไรเข้าไปแล้วบ้าง
ครูซมีอาการเบาลงแต่หัวใจยังคงเต้นแรงผิดจังหวะ
“เร่งน้ำเกลือเข้าเส้นเลือด” พี่กันต์หันมาบอกกับฉัน แล้วฉีดยาเข้าหลอดเลือดที่ต้นแขนอีกสองเข็มเล็ก ๆ
ไม่นานพยาบาลอีกคนก็เอาที่พ่นออกซิเจนสวมครอบใส่ใบหน้าของครูซ
เจ้าตัวไม่ได้ดิ้นหรือโวยวายอะไรมากมาย เขานิ่งและเงียบ แต่กลับทำเอาทุกคนเกร็งตามไปด้วย
“คุณครูซหายใจออกแล้วรึยังครับ” หมอกันต์ถามคนไข้ตรงหน้าขณะกำลังตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจ
เพียงแต่เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับมา… ทั้งยังนิ่งอยู่พักใหญ่ ในขณะที่หมอและพยาบาลทุกคนหายใจไม่ทั่วท้องกันไปหมด รวมถึงฉันด้วย กระทั่งครูซเริ่มหายใจเป็นปกติมากขึ้น
“คือผมต้องขอโทษแทน…” ยังไม่ทันที่พี่กันต์จะเอ่ยขอโทษหรืออธิบายอะไร
เขาก็กระชากหน้ากากออกซิเจนออก ก่อนจะ
ฟุ่บบบ ปาลงที่พื้นโดยไม่รอให้ออกซิเจนในถังหมดด้วยซ้ำ
“โทรตามอาหมอมารักษาฉันเดี๋ยวนี้” ครูซชี้หน้าพี่กันต์อย่างเอาเรื่อง
“และอย่าให้หมอมือสมัครเล่นคนไหนเหยียบเข้ามาในห้องนี้อีกเด็ดขาด” จากนั้นจึงพูดต่อเสียงแข็ง ก่อนจะจ้องพี่กันต์ด้วยความไม่พอใจ
“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันเกือบจะตายที่นี่” เขาพูดทิ้งท้ายพร้อมกำหมัดแน่น
“ผมจะตามอาจารย์หมอประเวศให้นะครับ” พี่กันต์พยักหน้ารับทันที
“ประตู” อีกฝ่ายตอบสั้น ๆ แค่นั้น และตวัดสายตาเชิงขับไล่ทุกคนออกไป
แม้แต่ฉันเขาก็ยังไม่มองหน้าเลยด้วยซ้ำ
ก่อนพวกเราทุกคนจะเดินออกมาจากห้องนั้นเงียบ ๆ
“ต่อเบอร์อาจารย์หมอแล้วส่งให้ผม” พี่หมอกันต์หันไปบอกกับพยาบาลสาวที่เดินกลับเข้าไปประจำหลังเคาน์เตอร์ ซึ่งเธอก็รีบทำตามคำสั่งทันที
แล้วเขาเหมือนจะพูดอะไรกับฉันบางอย่าง แต่พยาบาลดันยื่นโทรศัพท์ให้ก่อน
“สวัสดีครับอาจารย์ ผมกันต์นะครับ” เสียงทุ้มพูดกับปลายสายอย่างสุภาพและอ่อนน้อม
“คือว่า…” ขณะที่พี่กันต์กำลังจะพูดอธิบายกับปลายสาย
ก็มีมือของใครบางคนเดินมาจับที่ต้นแขนฉันและดึงลากตัวออกไป
“พี่หมอตี๋” ฉันขมวดคิ้วงง ๆ เล็กน้อย
พี่กันต์เองก็หันมามองตามพลางชักสีหน้า เพียงแต่เขายังติดสายกับอาจารย์หมอคนนั้นอยู่ทำให้เดินตามมาไม่ได้…
“เรามีเรื่องต้องคุยกัน” อีกฝ่ายออกคำสั่งกับฉัน
“มีอะไรก็คุยเลยสิ จะลากมิราไปไหน” ฉันพยายามจะสะบัดแขนออก แต่ก็ไม่หลุดง่าย ๆ
จนกระทั่งเราเดินมาถึงบันไดหนีไฟ ซึ่งเขาก็ผลักตัวฉันเข้าไป
เอาจริง ๆ คือฉันรู้ว่าพี่หมอตี๋ไม่กล้าทำร้ายอะไรหรอก เพราะทุกคนเห็นแล้วว่าใครลากฉันมา และถ้าเป็นอะไรไป อีกฝ่ายคงโดนหลายกระทงแน่ ๆ
“เธอเข้าไปทำอะไรคุณครูซในห้อง” เขาเริ่มตั้งคำถามอย่างเจาะจง
“ทำอะไร” ฉันถามกลับด้วยความไม่เข้าใจ
“คิดว่าพี่ไม่รู้เหรอ ว่าเราเด็กหมอกันต์อะ” พี่หมอตี๋พยายามพูดพร้อมท่าทางมั่นอกมั่นใจ
“พี่พูดอะไรของพี่ ตัวพี่เองต่างหากที่จ่ายยาให้คนไข้ผิด ไม่ดูประวัติการแพ้ของเขาอย่างละเอียด” ฉันเถียงกลับไปตามจริง
พี่หมอตี๋เลยเงียบลงทันที
“เธอเข้าไปเปลี่ยนยาแล้วโยนความผิดให้ฉันสินะ เพราะเธออยู่ฝั่งหมอกันต์และต้องการให้ฉันถูกไล่ออก” เขาเริ่มลนลานและกล้า ๆ กลัว ๆ
“แต่ความจริงก็คือความจริง พี่หมอทำพลาดเอง ทางที่ดีคือยอมรับผิดดีกว่า การรักษาคนไข้น่ะ เราไม่จำเป็นต้องแข่งขันกันนี่” ฉันพยายามพูดให้อีกฝ่ายเข้าใจ
“งั้นเธอลองบอกเหตุผลที่ทำให้ถือวิสาสะเดินเข้าไปในห้องคุณครูซหน่อยสิ” พี่หมอตี๋ยังคงพยายามพูดเอาความดีเข้าตัวเพื่อให้รอดจากความผิด
แอ๊ดด เสียงประตูเปิดออกอีกครั้ง
“ไม่ต้องพยายามโยนความผิดให้คนอื่นหรอก… จริง ๆ พี่ต้องขอบคุณมิราด้วยซ้ำที่เข้าไปดูคุณครูซและปฐมพยาบาลได้ทันเวลา ไม่งั้น… พี่หมอตี๋เองก็คงรับผิดชอบไม่ไหวกับสิ่งที่จะตามมา” พี่่กันต์พูดพลางพยักหน้าให้ฉันเดินออกไปกับเขา
โดยมีพี่หมอตี๋ยืนกำหมัดแน่นอยู่อย่างเคียดแค้น
หลังจากที่ฉันเดินออกมาได้ก็ตามหลังเขาไปเรื่อย ๆ
อีกฝ่ายดูมีท่าทีเคร่งเครียดมากกว่าปกติ เหมือนคิดอะไรในหัวตลอดเวลา
เรามาหยุดที่แผนกประวัติผู้ป่วยหรือ information อีกครั้ง เพราะที่แห่งนี้ลิงก์ข้อมูลของทุก ๆ แผนกไว้ด้วยกันผ่านระบบคอมพิวเตอร์ศูนย์กลาง
“หมอที่รักษาและจ่ายยาคือหมอตี๋ซึ่งทำโดยพลการ" พี่หมอกันต์เอ่ยก่อนจะเปิดดูแฟ้มประวัติที่เจ้าหน้าที่พรินต์ออกมาให้เขา “ส่วนคนที่รับและนำยาไปส่งคือพยาบาลยุวพร” เจ้าตัวอ่านออกเสียงเบา ๆ และส่ายหน้าอย่างหนักใจ เพราะทั้งสองก็ค่อนข้างสนิทกัน
จากนั้นจึงเปิดไปเรื่อย ๆ จนถึงแผ่นสุดท้าย
“คนที่มารับประวัติทั้งหมดของคุณครูซ… วีโอเลต” เพียงเท่านั้นคนตรงหน้าก็ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน
และนั่นทำให้ฉันนึกได้ว่า ในตอนที่มารับเอกสารและเซ็นรับนั้น ยายวีโอเลตร้องจะขอทำเอง
แต่ใครจะคิดว่ามันจะเป็นปัญหาได้กันล่ะ
พี่หมอกันต์เงยหน้าจากแฟ้มและมองฉันนิ่ง ๆ
“พี่ควรจะทำยังไงดีนะ” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างจนปัญญา
“แค่แพ้ยา… มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอคะ” ฉันถามไปเสียงเบา ๆ
“จริง ๆ ถ้าเป็นคนไข้ทั่วไปที่มีประวัติแพ้ชัดเจนแบบนี้ แต่หมอจ่ายยาผิดทำให้ได้รับอันตรายเกือบชีวิตสามารถฟ้องร้อง หรือถ้ากรณีเลวร้ายก็อาจจะถอดถอนใบวิชาชีพแพทย์หรือพยาบาลได้เลยเหมือนกัน” พี่หมอกันต์เริ่มอธิบาย
“แต่รายนี้…คนไข้คือหลานชายคนเดียวของเจ้าของโรงพยาบาลที่มีอีกหลายสาขา ถ้าเขาเป็นอะไรขึ้นมาหรือไม่พอใจ พี่คิดไม่ออกจริง ๆ ว่าผลจะเป็นแบบไหน” พูดจบจึงก้มดูนาฬิกาข้อมือของตัวเอง
“เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คุณครูซเกือบตายที่นี่ ที่โรงพยาบาลของเขาเอง” ก่อนจะปิดแฟ้มนั้นเอาไว้
“ตอนนี้ที่พี่ห่วงก็คือพยาบาลยุวพร กับวีโอ เพื่อนมิรานั่นแหละ เพราะต่อให้ไม่รู้เรื่องอะไรแต่อาจจะเดือดร้อนไปด้วย” พี่กันต์ยังคงพูดต่ออย่างเหน็ดเหนื่อยใจ
พอเราเดินกลับมาแผนกฉุกเฉิน ทั้งสามคนที่เขาพูดถึงก็นั่งรอกันเรียงหน้ากระดานด้วยหัวใจตุ๊บ ๆ ต่อม ๆ พี่พยาบาลคนนั้นหน้าเสียไปเลย โดยมียายวีโอเลตคอยปลอบใจอยู่ข้าง ๆ คงจะมีก็แค่หมอตี๋ที่มองหน้าพี่กันต์อย่างไม่พอใจ
“ยายมิ…” แล้วยายวีโอเลตก็เดินพุ่งเข้ามากอดฉันทันทีที่เจอหน้า
เราทั้งหมดนั่งลงอย่างครบองค์ประชุมทว่าไม่มีใครเอ่ยพูดอะไรขึ้นมา
“พี่กลัว พี่กลัวตกงาน กลัวโดยยึดใบวิชาชีพ คุณครูซคงไล่พวกเราออกหมดแน่ ๆ” พี่พยาบาลรุ่นใหญ่พูดขึ้นอย่างเศร้า ๆ โดยที่แกไม่คิดจะหันไปมองหน้าหมอตี๋เลยด้วยซ้ำ
ทว่าฉันก็แอบหวังนะว่าครูซจะไม่ใจร้ายแบบนั้น แต่ดูจากอารมณ์ของเขาเมื่อกี้แล้ว… แม้แต่หน้าฉันเขายังไม่มองเลย ส่วนพี่หมอกันต์นั้นทำได้เพียงพยักหน้าอย่างเห็นใจ
“ผมรู้ว่าหมอกับพยาบาลทุกคนไม่มีใครอยากเห็นคนไข้ของเราเจ็บหรือตาย ที่เรียนมาหนักก็เพื่อช่วยพวกเขา …แต่บางครั้งความประมาทและไม่ใส่ใจรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ มันทำให้ทำผิดพลาดได้เหมือนกัน” พี่หมอกันต์พูดอย่างเป็นกลางทั้งยังใจเย็น
“แต่การผิดพลาดแบบนี้มันไม่ควรเกิดขึ้นกับคนไข้ที่เรามีประวัติอย่างละเอียด อีกทั้งยังเป็นถึงทายาทผู้ถือกรรมสิทธิ์โรงพยาบาลทุกเครือของเราเช่นคุณครูซ” เสียงเข้ม ๆ ของผู้ชายวัยเกือบห้าสิบปีดังขึ้นพลางเดินเข้ามาในห้อง ในขณะที่ทุกคนรีบยกมือไหวเขาทันที
“อาจารย์หมอ” และนั่นคือเสียงหมอตี๋ที่หลุดพูดออกมาแบบสั่น ๆ
ทุกคนก้มหน้าอย่างทำอะไรไม่ถูก มีเพียงพี่กันต์ที่ยังคงรับหน้าด้วยมาดนิ่ง
“ผมต้องขอโทษที่สร้างเรื่องรบกวนใจในวันหยุดพักผ่อนของอาจารย์ด้วยนะครับ” เสียงทุ้มเอ่ยตอบ ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้ที่ตนเองนั่งให้กับอีกฝ่าย
“ผมค่อนข้างผิดหวังในตัวคุณมาก ๆ ที่หลงคิดว่าคุณจะสามารถดูแลโรงพยาบาลนี้ได้ดีพอ ๆ กับตัวผมเอง” ท่านเริ่มต้นทักทายพี่กันต์ด้วยประโยคที่ทำเอาตั้งตัวไม่ทันจริง ๆ
“ขอโทษครับอาจารย์” พี่กันต์พูดซ้ำอีกครั้ง
นี่ทำให้ฉันรู้ว่าการที่มีตำแหน่งสูงหรือยกหัวโขนขึ้นใส่บ่าแล้ว สิ่งหนึ่งที่หลีกหนีไม่ได้ก็คือภาระหน้าที่และความผิดพลาดของคนใต้บังคับบัญชา คิดแล้วก็สงสารพี่กันต์ของฉันจัง
“ไตรภาคหน้าผมจะขอให้แพทย์คนอื่น ๆ ลองพิจารณาลดตำแหน่งของคุณและหาคนที่เหมาะสมกว่าขึ้นแทน” ท่านพูดอย่างชี้ขาดโดยไม่สนใจจะรับฟังความผิดพลาดใด ๆ ซึ่งหมอตี๋เองก็ยังแอบยิ้ม ทั้งที่เขานั่นแหละควรจะโดนมากกว่าใคร
จากนั้นจึงก้มอ่านเอกสารที่พี่กันต์เพิ่งจะไปขอมาเรื่องรายละเอียดการจ่ายยาและรักษา ก่อนเงยหน้ามองทั้งสามคนที่เกี่ยวข้อง
“คุณครูซไม่ได้อนุญาตให้หมอตี๋ไปรักษาไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงถือวิสาสะทำโดยพลการ ทั้งที่ชื่อก็ระบุแล้วว่าต้องเป็นหัวหน้าหมออย่างกันต์เขา” อาจารย์หมอชี้ถามไปที่ต้นเหตุเป็นคนแรก
“คือ… คือผมเห็นว่าหมอกันต์ละเลยหน้าที่ แทนที่จะเอาเวลาไปรักษาคุณครูซซึ่งเป็นคนสำคัญก่อน ดันตรวจคนไข้ธรรมดา ๆ และเข้าห้องผ่าตัด จน… ผมเห็นสมควรว่าน่าจะขึ้นไปตรวจเอง ที่ทำไปทั้งหมดก็ด้วยความเป็นห่วงนะครับอาจารย์” หมอตี๋ได้ทีก็พูดเอาความดีเข้าตัวทันที
“แต่ที่เป็นปัญหาอยู่ไม่ใช่เพราะการรักษาที่สะเพร่าของคุณเหรอ” อาจารย์หมอจึงสวนกลับไปทันควัน
ทุกคนเงียบ แต่ฉันยังแอบสะใจเล็ก ๆ ที่อาจารย์หมอท่านนี้ ตรง แรง และไม่เว้นหน้าใครจริง ๆ
“ส่วนพยาบาลกับนักศึกษาแพทย์ ผมยังพอเข้าใจว่าจำเป็นต้องฟังหมอและทำตามที่คำสั่ง” ผู้พูดหันไปมองหน้าพี่พยาบาลคนนั้นและยายวีโอที่นั่งเครียดอย่างน่าสงสาร
ซึ่งตัวฉันเองก็มีส่วนด้วยเหมือนกันแค่ไม่ได้ลงชื่อลายลักษณ์อักษร เป็นหลักฐานมัดตัวแบบพวกเขา
“แต่ถ้าการผิดพลาดครั้งนี้ไม่มีคนรับผิดชอบเลย ตัวผมเองก็ไม่เห็นสมควรด้วยจริง ๆ เพราะคนที่พวกคุณรักษาพลาดจนเกิดเรื่องใหญ่ในครั้งนี้ เป็นถึงว่าที่เจ้าของเครือโรงพยาบาลนี้…” อาจารย์หมอปิดแฟ้มเอกสารและทำหน้าลำบากใจ
ทุกคนเงียบกริบพร้อมท่าทางสลดไปตาม ๆ กัน
“ไม่ต้องบอกหรอกใช่ไหมว่าเขาสำคัญมากแค่ไหน …ผมยังไม่รู้ว่าจะแจ้งให้ท่านประธานใหญ่ทราบอย่างไรดีเลย” แล้วท่านจึงกุมขมับอย่างคิดไม่ตก
ไม่นานก็มีพยาบาลสาวคนหนึ่งเดินถือกระเช้าผลไม้ที่ถูกจัดไว้อย่างสวยงามเข้ามาในห้องประชุม
“กระเช้าผลไม้ที่อาจารย์หมอให้จัดได้แล้วนะคะ” เธอวางบนไว้โต๊ะก่อนจะเดินออกไป
“จากประวัติการรักษา ผมขอตัดสินเรื่องนี้แบบนี้ก็แล้วกันนะ” อาจารย์หมอเงยหน้าสบตากับทุก ๆ คน
“พยาบาลยุวพร ผมขอย้ายคุณไปทำงานที่สาขาอื่น ด้วยประวัติการทำงานที่ดีมาตลอด ผมให้สิทธิ์คุณได้เลือกโรงพยาบาลในเครือที่สะดวกมากที่สุดก็แล้วกันนะ” จากนั้นจึงก้มเขียนใส่เอกสารและเซ็นลายเซ็นกำกับอีกครั้ง
“ผมช่วยคุณได้เพียงเท่านี้ วันนี้กลับไปตัดสินใจเอานะ” ท่านมองหน้าพยาบาลอย่างให้กำลังใจ
“ขอบคุณนะคะ หมอ” พยาบาลรุ่นพี่คนนั้นก็ยิ้ม ๆ และพนมมือไหว้ แต่ใบหน้าเธอก็ไม่ได้สู้ดีมากนัก
“ส่วนหนูนักศึกษาแพทย์…” ก่อนมองฉันกับยายวีโอสลับกันอย่างไม่มั่นใจ ว่าใครคือคนที่เซ็นชื่อลงไป
“จริง ๆ แล้วเราไปเอามันมาด้วยกันน่ะค่ะ ไม่ใช่แค่เพื่อนของหนู” ฉันรีบแย้งขึ้นเพราะไม่อยากเห็นแก่ตัวปล่อยให้ยายวีโอรับผิดเพียงคนเดียว
“อาจารย์พอเข้าใจ ๆ” คนฟังพยักหน้าเบา ๆ แต่พี่กันต์รีบหันมามองทางฉันเชิงให้หยุด
ยายวีโอเองก็เช่นกัน
“เดี๋ยวอาจารย์จะทำเรื่องย้ายให้ไปฝึกงานที่อื่นกับโรงพยาบาลในเครือเหมือนพี่พยาบาลเขา เราสามารถเลือกสาขาได้ตามที่สะดวกเลยนะ ส่วนหนูอีกคนที่ไม่มีชื่อก็ช่วยงานที่นี่ต่อไป” อาจารย์หมอตอบด้วยความสุขุมแบบผู้ใหญ่ ๆ
“ส่วนหมอตี๋กับหมอกันต์ …เดี๋ยวเอากระเช้าผลไม้ขึ้นไปกับผม”