ทั้งวั่งซูและธิดาของเขาต่างถวายคำนับพร้อมกันอีกครั้ง จางลี่เห็นว่าฮุยอินนั้นน่าจะอายุพอ ๆ กันกับนาง เป็นหญิงสาวที่มีใบหน้างดงามแต่แววตาของนางเหมือนมีบางอย่างซ่อนอยู่ หากจางลี่ก็ไม่อยากคิดอะไรมากนักในเวลานี้
“แล้วตอนนี้องค์ชายหลี่เจี๋ยมิได้ประทับในพระราชวังดอกหรือ?”
เจียนเจ้า ราชองครักษ์ในวัยสี่สิบต้นผู้รับบัญชาจากฉีหวนกงให้ติดตามพระธิดามายังแคว้นหลู่เป็นผู้ถามขึ้นขณะหลินเจิน นางต้นห้องก็แสดงสีหน้าประหลาดใจ วั่งซูปรายยิ้มอย่างเป็นมิตรและเอ่ยตอบว่า
“ขณะนี้หลู่อ๋องติดภารกิจออกว่าความเรื่องบ้านเมืองกับเหล่าเสนาบดีจึงมิได้ออกมาต้อนรับพระธิดาจางลี่ ข้าต้องขออภัยต่อพระธิดาด้วย”
“ข้านึกว่าการเดินทางไกลของว่าที่องค์ชายาจากแคว้นฉีจักได้รับการต้อนรับอย่างเอิกเกริกจากเหล่าพสกนิกรและข้าราชบริพารขององค์ชายหลี่เจี๋ย”
“มิเป็นไรดอกท่านเจียนเจ้า”
จางลี่ปรามราชองครักษ์ที่เริ่มมีสีหน้าไม่พอใจ นางยิ้มตอบให้พระอาจารย์ของหลู่อ๋องแม้ใจเริ่มไม่สงบสุข
“องค์ชายคงติดภารกิจหนักหน่วงด้วยเป็นเรื่องบ้านเมือง ท่านเป็นพระอาจารย์ของพระองค์ออกมาต้อนรับข้าเช่นนี้ก็น่าดีใจมากแล้ว”
“ข้าต้องขออภัยต่อพระธิดาเป็นอย่างยิ่งที่หลู่อ๋องมิอาจมาต้อนรับพระชายาได้ด้วยตนเอง แต่ก็ได้ให้ข้ามาคอยดูแลองค์ชายา ข้าจักพาพระธิดาไปยังตำหนักร้อยไหมซึ่งเป็นตำหนักที่สวยงามมากอยู่ทางทิศตะวันออกของวังหลวง...อ้อ...เพียงพระธิดาจางลี่และนางกำนัลผู้ติดตามเท่านั้น”
วั่งซูหันไปบอกเจียนเจ้าและนายทหารอีกกว่าสิบนายพร้อมด้วยข้าราชบริพารอีกไม่กี่คน ราชองครักษ์ชะงักในทันใด วั่งซูยังยิ้มใจเย็น
“มิต้องกังวลไปดอกราชองครักษ์ จักมิมีภยันตรายใดต่อองค์ชายาของท่านอ๋อง ในเมื่อนางก็ได้มาอยู่บนผืนแผ่นดินหลู่ซึ่งนับได้ว่าเป็นบ้านพี่เมืองน้องกับแคว้นฉีและในบัดนี้ความสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้นก็ยิ่งแนบแน่นมากขึ้นไปอีก นี่เป็นพระประสงค์ของหลู่อ๋องที่จะให้พระธิดาได้พักในตำหนักอันถือว่าวิจิตรงดงามยิ่ง พระองค์จะทรงมอบตำหนักร้อยไหมเป็นของขวัญอันล้ำค่าแก่องค์ชายา พระธิดาของฉีหวนกง พระปิตุลาขององค์ชายนั่นอย่างไร”
“แล้วเหล่าทหารกับข้าราชบริภารของพระธิดาเล่า พวกท่านจะให้เราอยู่ที่ใด” เจียนเจ้าถาม
“ข้าได้จัดที่พักไว้สำหรับพวกท่าน มิต้องเป็นกังวลอันใด แคว้นหลู่ยินดีต้อนรับคนจากแคว้นฉีเสมอ”
ราชองค์รักษ์จำต้องทำตามที่วั่งซูบอก ปล่อยให้คนขององค์ชายหลี่เจี๋ยนำพระธิดาจางลี่และนางกำนัลคนสนิทขึ้นเกี้ยวที่ได้เตรียมไว้ไปยังตำหนักร้อยไหมซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของวังหลวง ขณะนั้นหลินเจินซึ่งเดินตามขบวนไปไม่ห่างก็ให้เกิดความพะวักพะวงอย่างประหลาด ทุกอย่างดูไม่เหมาะเจาะแม้แต่น้อย
องค์ชายหลี่เจี๋ยรู้ว่าวันนี้องค์ชายาจะเดินทางมาถึงแต่กลับไม่ออกมาต้อนรับอ้างว่ามีภารกิจสำคัญทั้งที่เรื่องนี้ควรสำคัญกว่าเรื่องทั้งปวง แม้จางลี่จะเป็นธิดาของสนมปลายแถวแต่ก็ได้ชื่อว่าเป็นพระธิดาของฉีหวนกง ผู้ปกครองแคว้นฉีที่ใครต่างยำเกรง หากแต่นางก็พยายามสงบปากคำเอาไว้กระทั่งไปถึงวังน้ำขนาดใหญ่กว้างขวางสุดลูกตา มีสะพานทอดยาวไปยังตำหนักหินอ่อนอาบแสงแดดเป็นประกายระยับตรงกลางวังน้ำ เพียงวั่งซูและบุตรสาวเดินนำพระธิดาจางลี่และหลินเจินกระทั่งไปถึงตำหนัก หลินเจินถึงกับอ้าปากค้าง
“โอ...ท่านหญิง...ที่นี่ช่างงดงามยิ่งนัก ข้ามิเคยเห็นตำหนักใดงดงามเช่นที่นี้มาก่อน”
“ข้าดีใจที่พวกท่านคิดเช่นนั้น”
ฮุยอินเป็นผู้เอ่ยขึ้น น้ำเสียงของนางนั้นระรื่นหูและก้องกังวานใสดุจระฆังหากสายตากลับคมวาววับยามจับจ้องไปยังพระธิดาโฉมงามผู้มาเป็นองค์ชายาปาอ๋องแห่งแคว้นหลู่ จางลี่มัวแต่มองไปรอบ ๆ ตำหนักใหญ่โตกว้างขวางและโดดเด่นด้วยการตกแต่งอันวิจิตร วั่งซูยังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยนเช่นเดิม
“พระธิดา...ตำหนักนี้ต่อไปข้างหน้าถือว่ามันจะตกเป็นสมบัติของท่าน มันเป็นตำหนักที่องค์ชายหลี่เจี๋ยทรงมีรับสั่งให้สร้างขึ้นเพื่อได้ชมภาพความงดงามของสายน้ำ ดอกไม้นานาชนิด มีเพียงผู้แทนการค้าจากต่างแคว้นที่ได้เข้ามาชื่นชมความงามหากองค์ชายมิเคยมีพระบรมราชานุญาติให้ผู้ใดมานอนพักผ่อนแม้เพียงชั่วยามของราตรี ขอให้ท่านได้รื่นรมย์กับความงามนี้ก่อนที่องค์ชายจะเสด็จมาถึง ส่วนตัวข้าขอตัวกลับไปยังวังหลวง ต้องขออภัยด้วยหากมีสิ่งใดที่ทำให้ท่านไม่สบายใจ”
“ขอบใจมาก ท่านวั่งซู มิมีสิ่งใดที่ข้าจะไม่สบายใจ แค่นี้ก็ถือว่าพวกท่านได้ตั้งใจทำอย่างเต็มที่แล้ว”
จางลี่กล่าวก่อนหันไปชื่นชมภาพสายน้ำและไม้ดอกเมื่อวั่งซูเดินออกไปจากตำหนัก แต่แล้วกลับต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงก้องหวานใส
“ตำหนักนี้สร้างขึ้นเพื่อประสงค์ขององค์ชายที่จะได้ชมภาพความงามของสายน้ำและดอกไม้ หากก็หาได้มีไว้เพื่อประสงค์เดียวไม่”
“ฮุยอิน...”
จางลี่หันกลับมาเห็นบุตรสาวของพระอาจารย์ยังยืนยู่ นางจ้องมองมายังพระธิดาผู้งดงามของฉีหวนกงและนางผู้ติดตามด้วยสายตาคมวับ รอยยิ้มเล็ก ๆ แต่น่ากลัวผุดขึ้นบนมุมปากอาบสีแดงชาด
“ท่านอยากรู้หรือไม่เล่าว่าองค์ชายสร้างตำหนักร้อยไหมขึ้นมาเพื่อประสงค์อื่นใดนอกจากที่ท่านพ่อของข้าบอกไป”
“ฮุยอิน...”
จางลี่ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นฮุยอินเดินไปหยุดที่หน้าระเบียง นางเหลือบมองลงไปยังวังน้ำใต้ตำหนักตามสายตาของบุตรสาวพระอาจารย์วั่งซูที่จ้องมองลงไป น้ำเบื้องล่างใสแจ๋วและมีกอดอกไม้ลอยชูช่อบานเบ่งกระทั่งฮุยอินดึงดอกไม้ประดับผมของนางโยนลงไป
“ว๊าย!”
หลินเจินเป็นคนร้องออกมาเมื่อจู่ ๆ น้ำไหวกระเพื่อมรุนแรงและปรากฏจระเข้ตัวใหญ่โผล่หัวของมันขึ้นมางับดอกไม้ก่อนดำดิ่งหายไปแต่ก็หาใช่เพียงตัวเดียวไม่เพราะไม่ถึงชั่วลมหายใจก็มีจรเข้อีกสี่ห้าตัวโผล่ขึ้นมาจากน้ำแหวกว่ายไปมาในน้ำใต้ตำหนักร้อยไม้อันลือชื่อว่างามหนักหนายังความตระหนกแก่ทั้งจางลี่และนางกำนัลผู้ติดตาม หลินเจินลืมตัวเข้าไปจับมือเย็บเฉียบของนายหญิงด้วยความหวาดกลัว ฮุยอินหันกลับมาเห็นองค์ชายาหน้าซีดหากนางกลับเหยียดยิ้ม