“ลุงติดต่อลูกอรไม่ได้” ปลายสายทำน้ำเสียงเหนื่อยใจ “ลุงมีปัญญาเรื่องที่ดินบนเกาะของเรามีคนมากว้านซื้อเห็นว่าจะทำรีสอร์ท เอ่อ...”
“ลุงพงษ์หนูก็รักและเคารพลุงเหมือนพ่อแท้ๆ ถ้ามีเรื่องอะไรไม่สบายใจก็พูดกับรินก็ได้ค่ะ”
“ก็ลุงก็ไม่อยากขายที่ดินของเราหรอกนะ มันเป็นที่ดินของบรรพบุรุษเราและมันเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่จะให้ยัยอรแต่ตอนนี้ พวกที่มากว้านซื้อที่ดินบีบเราเหลือเกิน ลุงพยายามแล้วลุง”
“ลุงพงษ์ทำใจดีๆ ก่อนค่ะ” กีณรินได้ยินเสียงสั่นเครือของลุงพงษ์ก็อดตกใจไม่ได้ “ขอรินคุยกับยัยอรก่อนนะคะ แล้วรินกับอรจะรีบกลับบ้านเกาะทันทีค่ะ”
“ขอบใจรินมาก ถ้าไม่มีรินลุงก็ไม่รู้จะทำยังไงติดต่อลูกสาวตัวเองก็ไม่ได้”
“ไม่เป็นไรค่ะ ลุงพงษ์ไม่ต้องคิดมากนะคะ ทำใจให้สบายเดี๋ยวจะล้มหมอนนอนเสื่อเสียก่อน”
เสียงลุงพงษ์ยังพร่ำบ่นถึงความโง่เขลาของตัวเองอีกสองสามประโยคก่อนจะวางสายไป กีณรินก็ยังจับใจความไม่ได้แน่ชัดว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่ หญิงสาวรีบจ่ายค่าอาหารและหอบแฟ้มสมัครงานเดินเร็วๆ เพื่อกลับที่พัก แต่ห้องที่ล็อกอยู่แสดงว่าลูกพี่ลูกน้องของเธอยังไม่กลับ
“ไปไหนน่ะ นี่ก็หกโมงเย็นแล้ว น่าจะเลิกเรียนแล้วนี่” กีณรินบ่นอุบอิบพลางเหลียวมองรอบข้าง ห้องพักที่รกได้แทบทุกวันซึ่งเธอก็ยังงุนงงว่าทำไม ทั้งที่เธอก็ตามเก็บทุกวันเช่นกัน มีจานชามที่ยังไม่ได้ล้างอีกถ้าจะกลับบ้านที่เกาะตอนนี้ก็คงต้องจัดการเรื่องพวกนี้ก่อนไม่อย่างนั้นกลับมาหนอนต้องขึ้นแน่ๆ แต่ที่สำคัญกว่าคืออรพิมไปไหนน่ะ อย่างอรพิมนะหรือจะปิดมือถือได้ ลำพังค่าโทรศัพท์แต่ละเดือนก็มากอยู่แล้ว แถมต้องโกหกเพื่อโทรบอกคนที่บ้านว่าขอเงินเป็นค่าเรียนพิเศษหรืออะไรทำนองนั้นเสมอๆ เพื่อใช้จ่ายในการเที่ยวเตร่และดูท่าอรพิมจะไม่เดือดร้อนที่เธอเรียบจบช้าด้วยซ้ำไป
“หรืออาจจะกำลังเดินทางกลับอยู่เลยไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์” กีณรินบอกกับตัวเองพลางจัดการล้างถ้วยชามที่แช่ในอ่างล้างจานเสร็จแล้วก็เก็บห้องทำความสะอาดอย่างง่ายๆ แต่กว่าจะทำอะไรเสร็จเรียบร้อยกว่าทุ่มเศษเข้าไปแล้วและไม่มีวี่แววว่าอรพิมจะกลับมาห้องพัก เธอลองโทรศัพท์หาอรพิมอีกหลายครั้งก็ยังไร้คนรับสาย เธอจึงเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทางพลางคิดว่าอรพิมอยู่ที่ไหน หรือจะติดต่อใครเพื่อตามหาอรพิมได้บ้างเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นจนกีณรินสะดุ้งแล้วรีบคว้าโทรศัพท์รับสายทันทีโดยไม่ได้ดูหมายเลขปลายทาง
“ยัยอร อยู่ไหนทำไมติดต่อไม่ได้เลย”
“หนูรินนี่พี่แป๋มเองจ๊ะ”
“เอ่อขอโทษค่ะพี่แป๋ม”
“ยัยอรทำเรื่องอะไรไว้อีกล่ะ” พี่เลี้ยงเอ่ยถามอย่างรู้ทัน
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ เอ่อ...พี่แป๋มมีธุระอะไรเหรอคะ จะนัดซ้อมรำเหรอค่ะ”
“ฮืม...มีงานด่วนจ๊ะ งานเลี้ยงอำลาผู้จัดการบริษัทฯ วันเสาร์นี้”
“วันเสาร์” กีณรินหันไปมองปฏิทิน วันนี้วันพฤหัสบดีแล้วนี่ “เสียดายจังงานนี้รินคงไปไม่ได้หรอกค่ะ”
“พูดเป็นเล่น” อีกฝ่ายพูดเสียงสูงอย่างไม่เชื่อ “รินไม่เคยปฏิเสธงานยกเว้นติดสอบหรือติดเรียนนะเนี่ย”
“รินต้องกลับบ้านด่วนนะคะ มีธุระด่วนจริงๆ”
“มิน่าละ แล้วยัยอรไปด้วยไหม”
“คือ...รินติดต่ออรไม่ได้ค่ะ พยายามโทรติดต่อตั้งหลายหนน่าจะเลิกเรียนนานแล้วด้วย”
“ยัยอรเนี่ยนะจะเรียนจนหมดคาบได้” พี่เลี้ยงหัวเราะคิกคัก “ป่านนี้ไม่ไปแดนซ์กระจายตามผับตามบาร์แล้วเหรอ”
“ผับบาร์หรือคะ?” กีณรินใจหายวูบ นี่เข้าผับเข้าบาร์อีกแล้วเหรอ “พี่แป๋มพอทราบไหมคะว่าอรจะไปที่ไหน มีเรื่องด่วนที่บ้านจริงๆ ค่ะ”
“น่าจะแถวอาร์ซีเอนั้นแหละ เคยเห็นอยู่แถวนั้นนี่ คงเป็นร้านของบอยนั้นแหละได้ยินว่าตามจีบบอยอยู่นี่ จำบอยได้ไหมที่เราเคยไปรำอวยพรวันเกิดของพ่อเขาเมื่อสองเดือนก่อนไง”
“จำได้ค่ะ ร้านของพี่บอยชื่ออะไรอยู่ตรงไหนค่ะ เดี๋ยวรินจะลองไปตามหาดู”
กีณรินรีบจดชื่อร้านและที่อยู่ของร้าน เธอไม่เคยไปถนนเส้นนั้นตอนกลางคืนเลย แต่นี่ก็ยังหัวค่ำแท้ๆ อรพิมจะเข้าผับบาร์เร็วขนาดนี้เชียวหรือ? หลังจากวางสายโทรศัพท์แล้วเธอก็รีบผลัด เปลื่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อยืดสีชมพูหวานกับโปรงยาวคลุ่มเข่าแล้วรีบไปตามแผนที่ที่จดไว้ทันที
นาฬิกาในร้าน ‘บีทผับ’ บอกเวลาสองทุ่ม แต่พนักงานส่วนใหญ่ก็ประจำหน้าที่ของตัวเองแล้วเว้นแต่หญิงสาวในชุดเสื้อสายเดี่ยวสีขาวเข้ากับกระโปรงสั้นพลิ้วสีดำลายตารางหมากรุก ใบหน้าคมแต่งหน้าจัดจ้านผมก็เซ็ทเป็นทรงทันสมัยแทบดูไม่ออกเลยว่ายังเป็นนักศึกษาอยู่
อรพิมดูจะไม่สนใจคำนินทาของบรรดาสาวเสิร์ฟที่จ้องมองเธอนัก ช่างประไรสมัยนี้ถ้าผู้หญิงไม่ไล่จับผู้ชายก่อนแล้วจะเหลือผู้ชายหล่อๆ รวยๆ ให้ตะครุบเหรอนี่เธอลงทุนมานั่งเฝ้าเจ้าของร้านขนาดนี้ก็เพราะเรื่องนี้หรอกนะ รถสปอร์ตสุดหรูเข้ามาจอดหน้าร้านเรียกสายตาของอรพิมให้หันไปมองได้อย่างรวดเร็ว เธอรีบคว้าตลับแป้งมาดูความเรียบร้อยของใบหน้าแล้วฉีกยิ้มหวานฉ่ำทันทีที่ชายหนุ่มเจ้าของร้านเดินเข้ามา
“พี่บอยมาร้านเร็วจังค่ะ” อรพิมปรี่เข้าไปเกาะแขนอย่างเอาอกเอาใจทันที
“น้องอร” บอยหรือบารมีทำหน้าเลี่ยนๆ ที่เห็นหญิงสาวคนนี้ เขามั่นใจในเสน่ห์ของตนเองแต่บางทีมันก็น่ารำคาญที่ต้องเจออะไรแบบนี้ “น้องอรมาเร็วจังครับ”
“ก็น้องอรรีบมาเผื่อว่าจะช่วยงานอะไรพี่บอยได้ไงคะ” ‘อย่างเธอจะช่วยอะไรได้นอกจากนั่งอ่อยเรียกลูกค้า’
บารมีนึกต่อว่าในใจแต่ก็ยิ้มแย้มออกมา “ขอบคุณน้องอรมากเลยครับ น้องอรแค่นั่งเฉยๆ ยิ้มหวานๆ ตรงเคาน์เตอร์หรือจะแดนซ์ด้วยก็ได้นะครับ...พี่ชอบ”
“พี่บอยชอบเหรอคะ งั้นน้องอรจะทำให้เต็มที่เลยค่ะ”
“ดีครับ เดี๋ยวพี่ขอตัวสักครู่นะครับ”
บารมีแกะมือที่เกาะแขนตนเองออกแล้วเดินไปด้านในซึ่งเป็นห้องทำงานของผู้จัดการร้าน ผู้หญิงแบบอรพิมมีเยอะแยะจนคร้านจะใส่ใจ พวกนี้ชอบคิดว่าตัวเองสวยแต่ทำตัวไร้สมองเพราะคิดว่าผู้ชายจะยอมสยบเพราะความสวย หารู้ไม่ว่าไม่มีใครอยากจริงจังกับผู้หญิงแบบนี้นัก จะหาแม่ของลูกทั้งทีก็ต้องได้ ‘ดีๆ’หน่อยซิ ไม่ใช่ผู้หญิงประเภทพร้อมจะขึ้นเตียงกับผู้ชายคนไหนก็ได้ จะว่าไป ‘ผู้หญิงดีๆ’ ในประเทศนี้ก็หายากเหลือเกิน แต่ที่แน่ๆ คงไม่โผล่มาแถวนี้หรอกชายหนุ่มมีนึกขำกับความคิดตัวเองแล้วโทรเรียกรองผู้จัดการร้านเข้ามาพบ
“เดี๋ยวผมจะออกไปหาอะไรกินแล้วจะเข้ามาอีกทีนะ”
“ครับผม”
บารมีสั่งงานอีกเล็กน้อยแล้วลุกออกมาจากห้องแต่เลี่ยงที่จะเดินมาด้านหน้าร้าน เขายังไม่อยากเจอเด็กสาวๆ ที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อใกล้ชิดเขาในเวลานี้ชายหนุ่มตั้งใจจะเดินไปที่ร้านอาหารญี่ปุ่นซึ่งอยู่ถัดไปอีกสองบล็อกซึ่งก็เป็นร้านอาหารของเพื่อนสนิทร่วมรุ่นอีกคนหนึ่ง ผับบาร์หลายแห่งเริ่มคึกคักแต่ผู้คนจะมาก กว่านี้เมื่อหลังสามทุ่มไปแล้ว เขาตัดสินใจทำผับก็แค่หาอะไรทำแก้เบื่อก่อนจะไปเรียนเมืองนอกเท่านั้น แต่ขณะที่เดินอยู่นั้นสายตาของเขาก็สะดุดกับหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังเหลียวซ้ายแลขวาเหมือนกำลังหลงทาง
‘หลงทาง’ หลงทางในอาร์ซีเอบ้านะซิ! ไม่มีใครมาหลงทางในนี้หรอก แต่เอ๊ะ หน้าคุ้นๆ แหะ?