บทที่1
...เจ็ดวันผ่านไป ที่หอพักของกิรณา...
“นี่เป็นข้าวของทั้งหมดของน้องกี้นะครับคุณพ่อ คุณพี่ชาย เชิญตรวจดูอีกครั้งนะครับว่าครบไหม มีอะไรหายไปบ้างหรือเปล่า”
หนุ่มใหญ่ที่หญิงสาวคุ้นหน้าคุ้นตาเพราะเป็นผู้ดูแลตึกหอพักแห่งนี้ จัดแจงให้แม่บ้านขนกล่องหลายใบออกมาวางด้านหน้าของหอพักดังกล่าว
‘คุณพ่อ...พี่รุจ...นี่เราเป็นอะไรหรือ’
หญิงสาวยืนมองภาพตรงหน้าอย่างงงงันคล้ายคนเพิ่งจะตื่น
“คุณพ่อคะ...พี่รุจ กี้อยู่นี่...”
หญิงสาวตรงเข้าไปหาทั้งคู่เพื่อหวังโอบกอดให้หายคิดถึง
แต่ทว่า...
วืด...
อ๊ะ!!! ...
ทำไมแตะต้องทุกคนไม่ได้! ...
หญิงสาวชะงักค้างไปชั่วขณะหนึ่ง...
“คุณพ่อคะได้ยินหนูไหม พี่รุจเห็นหนูไหมคะ”“
แต่ผลที่ได้ก็คือทั้งสองร่างยังคงพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ของหอพักต่อไป โดยไม่ได้หันมาสนใจร่างของเธอเลยแม้แต่น้อย...
‘ทำใจเสียเถอะ เจ้าตายแล้ว พวกเขาไม่ได้ยินเจ้าหรอก’
เฮ้ย!? ...
เสียงใครอะ?
‘อย่าสงสัยมากเลย รู้แค่ร่างเจ้าในภพนี้ตายไปแล้ว ไม่สามารถกลับมาได้อีก ต่อไปเจ้าต้องกลับไปอยู่ยังร่างของเจ้าในอีกมิติหนึ่งต่อไป’
‘อธิบายหน่อยเถอะค่ะ อย่างไรฉันก็อยากรู้ คุณยิ่งห้ามเท่าไรฉันก็ยิ่งอยากรู้มากขึ้นไปอีกเท่านั้น บอกหน่อยมันคืออะไรและยังไง ร่างในภพนี้ตายแล้ว? ฉันต้องกลับไปใช้ร่างเดิมในอีกภพหนึ่ง ฉันไม่เคลียร์อย่างแรงเลยคุณเสียงลึกลับ’
หญิงสาวหันมาสนใจเสียงดังกล่าวแทน
‘โลกเรานั้นมีหลายมิติทับซ้อนกันอยู่ นี่คือเรื่องจริง ส่วนที่ข้าบอกกับเจ้าว่าร่างกายในภพนี้มิตินี้นั้นได้ตายไปแล้วก็ล้วนเป็นเรื่องจริงอีก เจ้ายังจดจำเหตุการณ์ในวันที่เจ้ากำลังเร่งรีบข้ามถนนเพื่อไปซื้อของอีกฝั่งได้หรือไม่’
หญิงสาวนึกภาพตาม...
ใช่แล้ว วันนั้นเธอกำลังจะอาบน้ำแล้วยาสระผมหมดจึงจะข้ามไปซื้อยังร้านสะดวกซื้อที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับหอพักแห่งนี้ จากนั้นก็...
มืดไปเลย...
‘เจ้าถูกรถชนอย่างแรงจนร่างกระเด็นไปไกล ดังนั้นข้าจึงได้บอกกับเจ้าอย่างไรล่ะว่า ร่างของเจ้าในมิตินี้นั้นตายไปแล้วไม่สามารถรองรับดวงวิญญาณนี้ได้อีก หากแต่ภพนี้เจ้านั้นมีอายุขัยอีกนาน เรียกภาษาของเจ้าว่ายังไม่ถึงเวลาตาย ดังนั้น ‘เบื้องบน’ จึงได้ค้นหาร่างของเจ้าในอีกมิติหนึ่งจากหลาย ๆ มิติให้แทน ซึ่งที่แห่งนั้นเป็นดินแดนในยุคอาณาจักรเป่ยจิ้งที่บังเอิญว่าอายุขัยในมิตินั้นของเจ้าหมดลงแล้ว แต่ร่างยังคงพออาศัยอยู่ต่อไปได้ ทางเบื้องบนจึงลงความเห็นส่งเจ้าไปยังที่นั่นแทน เช่นนี้แล้วเจ้าพอจะเข้าใจแล้วหรือไม่กิรณา? ‘
‘อ้อ’
หญิงสาวพยักหน้าหงึกหงักในเชิงว่าเริ่มเข้าใจแล้ว
‘แล้วทำไมวันนี้ฉันกลับมาได้อีกล่ะ? ยังไม่ต้องไปเกิดเลยหรอกหรือคะ’
ยังติดใจอยู่เล็กน้อย
‘ดูเหมือนว่าความรู้สึกทางสายเลือดจะดึงเจ้าให้กลับมาร่ำลาคนในครอบครัวเป็นครั้งสุดท้าย แล้วหลังจากนั้นเจ้าต้องกลับไปอยู่ในมิตินั้นอีกตลอดอายุขัย’
‘เอ๊ะ! ...แล้วอย่างนั้นวิญญาณของร่างในภพโน้นไปไหนแล้วล่ะคะ งงอีกนิดหน่อย’
หญิงสาวยังสงสัยและยังติดใจเรื่องนี้อยู่เล็กน้อย เพราะคนเพิ่งรู้ตัวว่าตายก็มีมึนเบลอไปบ้าง
‘ก็บอกเจ้าไปแล้วนี่ว่าในภพนั้นเจ้าอายุสั้นจึงตายไปแล้ว แต่ก็อย่างที่บอกนั่นแหละเมื่อเจ้ากลับเข้าร่างนั้น สุดท้ายดวงจิตเดิมก็จะค่อย ๆ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันในที่สุด แต่ก็จะทอนอายุขัยจากภพนี้ลงไปเหมือนกับเป็นการชดเชยด้วยเหมือนกัน ก็อยู่ที่ตัวของเจ้าด้วยว่าจะสร้างเสริมบุญกุศลเพิ่มเติมได้มากเพียงใดกับชีวิตในภพใหม่ หากมากเจ้าก็จะต่ออายุขัยที่ถูกตัดทอนลงไปให้เพิ่มขึ้นมาได้อีก แต่หากเจ้าไม่สร้างเพิ่มหรือทำลาย สร้างแต่บาปกรรมนั้นแล้วอายุขัยที่มีจะยิ่งถูกตัดให้สั้นลงไปเรื่อย ๆ เข้าใจถ่องแท้แล้วหรือไม่กิรณา’
‘เดี๋ยวค่ะขออีกคำถาม แล้วถ้าดวงจิตรวมกัน ฉันจะจำอดีตของร่างนั้นตั้งแต่เด็กได้หรือเปล่าคะ’
‘เจ้านี่สงสัยมากเสียจริง ข้าจะตอบให้แค่คำถามนี้คำถามเดียวไม่ต้องถามเพิ่มอีกแล้วนะ ไม่อย่างนั้นเจ้าจะหมดเวลาที่จะได้ร่ำลาภพนี้ แน่นอนเมื่อดวงจิตของเจ้ารวมเป็นหนึ่งเดียวกันเมื่อใด เมื่อนั้นเจ้าก็จะจำทุกอย่างได้เหมือนกับว่าเจ้าเกิดและเติบโตมาจากที่นั่น พอใจแล้วนะ ไปร่ำลาครอบครัวและสิ่งของที่เจ้าผูกพันในภพนี้เสีย ไม่มีห่วงไร้กังวล ดวงจิตเจ้าก็จะรวมกับดวงจิตอีกภพได้เร็วขึ้น เข้าใจหรือไม่’
หงึย...
ง่ายแบบนี้เลยเรอะ? ...
‘เร็วสิเจ้า’
ว้าย ๆ ไปแล้วจ้าไปแล้ว
โอ๊ย! มาเร็วเคลมด่วนขนาดนี้ไม่ต้องมาก็ได้ม้าง...
กิรณาคิดบ่นเล็กน้อย แต่เพราะเวลามันสั้นนัก จึงเร่งเข้าไปเอ่ยลากับพี่ชายและบิดา และพยายามอย่างยิ่งที่จะตัดอาวรณ์ให้สิ้น
“เอาละ เราไปกันเถอะ อีกร่างของเจ้ากำลังจะสิ้นอายุขัยแล้ว ต้องเร่งกันหน่อย”
...ทำเวลาเก่งไปอีกท่าน...