ผู้ที่ทุกคนต่างเกลียดชัง

1892 Words
พิธีศพของนายท่านผู้เฒ่าและคุณชายรองถูกจัดขึ้นด้วยความเร่งรีบ ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นลมครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกคนในจวนต่างวุ่นวายอยู่กับงานศพไม่มีใครสนใจสตรีที่เพิ่งคลอดหลานคนแรกของตระกูลเลยสักนิด พวกเขาทำเพียงให้สาวใช้คอยดูแลฮูหยินน้อยและให้หมอมาตรวจดูอาการ ตลอดหลายวันที่มีการจัดพิธีศพจางจิ่วเม่ยรอคอยอยู่ในเรือนด้วยความร้อนใจ นับตั้งแต่วันที่นางคลอดลูกสามีก็ไม่เคยโผล่หน้ามาให้เห็นอีกเลย เขาเพียงสั่งความมากับพ่อบ้านว่าร่างกายนางยังอ่อนแอไม่จำเป็นต้องออกไปร่วมพิธีศพ ให้รักษาตัวให้ดี นางเหยียดยิ้มหยันเมื่อได้ฟังถ้อยคำที่เขาฝากมา นี่ต้องเป็นความคิดของท่านแม่สามีเป็นแน่ หลังจากให้สาวใช้คนสนิทไปสืบข่าวจึงได้รู้ว่าตลอดช่วงจัดพิธีศพ ญาติผู้น้องของเขามาอยู่เคียงข้างแม่สามีเสมอ คอยปลอบขวัญ คอยเอาใจ คอยปรนนิบัติพัดวีทุกอย่าง นั่นมันเป็นหน้าที่ของนางมิใช่หรือ ถึงนางจะเพิ่งคลอดบุตรก็สามารถทำหน้าที่นั้นได้แต่พวกเขากลับกันนางออกห่าง จางจิ่วเม่ยพยายามไม่คิดในแง่ร้ายและรักษาตัวให้กลับมาแข็งแรงเพื่อที่จะได้ตั้งครรภ์อีกครั้ง ทว่าเหมือนสวรรค์จะไม่เข้าข้างสักเท่าใดเมื่อหมอบอกว่าร่างกายของนางอ่อนแอมาก ควรงดเว้นการมีบุตรไปสักปีถึงสองปีเพื่อให้ร่างกายพร้อมกว่านี้ ครั้นได้ฟังสิ่งที่หมอผู้นั้นเอื้อนเอ่ยออกมา ถ้วยน้ำชาก็ลอยละลิ่วเฉียดหน้าชายชราไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นางมองเขาอย่างกราดเกรี้ยว “เจ้าพูดอีกทีสิ เจ้าหมายความว่าอย่างไรที่ว่าข้าอาจจะไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีก” หมอชราคุกเข่าลงโดยพลัน ตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว “คะ คือว่า... ฮูหยินคลอดก่อนกำหนดจึงทำให้เส้นชีพจรพร่องไป หากได้รับการดูแลและบำรุงร่างกายสักหนึ่งปีก็สามารถตั้งครรภ์ได้อีก หากแต่ท่านรั้นจะปล่อยให้ตนมีครรภ์ช่วงนี้ จะเป็นอันตรายทั้งแม่และลูกขอรับ” จางจิ่วเม่ยแค่นเสียงฮึในลำคออย่างเย็นชา หนึ่งปีเช่นนั้นหรือ เวลานานถึงเพียงนั้นใครจะไปรอได้ มิหนำซ้ำยังได้ยินข่าวแว่วๆ ว่าญาติผู้น้องนางนั้นจะแต่งเข้าจวนทันทีที่เสร็จสิ้นพิธีศพของท่านพ่อสามี นางก็ยิ่งร้อนใจ แม้ตนอยากจะคัดค้านให้พวกเขาไว้ทุกข์เป็นเวลาสามปีตามธรรมเนียมก่อนจึงค่อยจัดงานมงคลในจวน แต่ท่านแม่สามีคงไม่ยอมรับฟังแน่นอน หลี่หลิงฟางต้องการหลานชายถึงเพียงนั้นมีหรือจะนิ่งนอนใจ ยิ่งบัดนี้ตระกูลหม่าเหลือเพียงหม่าจิ้งซิ่นคนเดียวด้วยแล้ว ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะฟังคำของลูกสะใภ้อย่างนางแน่นอน และแล้วก็เป็นดังคาด สามวันหลังจากเสร็จสิ้นพิธีศพหม่าจิ้งซิ่นก็รับเซี่ยเจียเฟยเข้ามาเป็นอนุ งานแต่งถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย ฮูหยินผู้เฒ่ามีสีหน้าพอใจที่บุตรชายยอมทำตามคำขอร้องของตน แม้จะมีงานมงคลแต่บรรยากาศในจวนยังคงอึมครึมอยู่เช่นเดิม ความเศร้าโศกยังแผ่กระจายไปทั่วจวน จางจิ่วเม่ยมองเรือนหอหลังงามของเซี่ยอี๋เหนียง(อี๋เหนียงคือคำเรียกอนุภรรยา) ด้วยประกายตาวาวโรจน์ นางถูกทุกคนในจวนปิดหูปิดตาโดยอ้างว่าร่างกายยังอ่อนแอและต้องดูแลบุตรีจึงสมควรอยู่แต่ในเรือน นั่นเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ พวกเขาแค่ไม่ต้องการให้นางไปพังการแต่งงานในครั้งนี้ต่างหาก นางรู้ดีว่าการรับอนุในครั้งนี้เป็นเรื่องฝืนใจของผู้เป็นสามีเพียงใด บ่าวไพร่ในจวนต่างซุบซิบกันอย่างสนุกปากถึงเหตุผลในการรับเซี่ยเจียเฟยเข้าจวน หลี่หลิงฟางลงทุนแสดงละครฉากใหญ่ด้วยการขู่ว่าจะเอาหัวชนเสาให้ตายตามสามีไป หากบุตรชายไม่ยอมแต่งอนุนางก็จะไม่ขอมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ตระกูลหม่ายังไร้ทายาทสืบสกุลมีหรือที่หม่าจิ้งซิ่นจะปฏิเสธความต้องการของมารดาได้ หญิงสาวกลืนก้อนสะอื้นลงคอ เก็บความเจ็บแค้นไว้ในอกแล้วกลับเรือนของตนไป ถึงแม้หม่าจิ้งซิ่นจะรับอนุแต่ก็ไม่แน่ว่าสตรีผู้นั้นจะตั้งครรภ์ เพราะบุรุษตระกูลหม่าขึ้นชื่อว่ามีลูกยากอยู่แล้ว เมื่อคิดตกก็กลับมาสงบใจได้ ทว่าฉับพลันที่กลับมาถึงเรือนอารมณ์เกรี้ยวโกรธที่เคยสงบลงพลันปะทุขึ้นมาอีกครั้งยามได้ยินเสียงร้องไห้จ้าของทารกน้อย นางตวัดสายตามองตัวต้นเหตุที่ทำให้ตนต้องเสียสามีไปให้ผู้อื่น “หุปปาก! จะแหกปากร้องอะไรกันนักกันหนา เพราะเจ้าคนเดียวนางตัวซวย เอามันออกไปให้พ้นหน้าข้า” ทารกน้อยเหมือนจะรับรู้ได้ถึงโทสะของมารดา นางแผดเสียงร้องลั่น ถางรั่วเหวยรีบอุ้มเด็กน้อยออกไปอย่างรวดเร็ว ปากก็ปลอบประโลมคุณหนูไม่หยุด ตลอดเวลาสิบกว่าวันนี้ตั้งแต่คุณหนูคลอดออกมายังไม่มีผู้ใดมาถามไถ่เลยสักนิด นางเข้าใจว่าใต้เท้าหม่าอาจจะยุ่งอยู่กับพิธีศพของบิดาและน้องชายจึงไม่มีเวลามาดูคุณหนู แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น ถึงจะเสร็จสิ้นพิธีศพก็ยังไม่มีผู้ใดคิดจะมาดูคุณหนูอยู่ดี แม้แต่ผู้เป็นมารดายังไม่ยอมให้เด็กน้อยดื่มนมของตนสักหยด บัดนี้คุณหนูน้อยของนางยังไม่มีชื่อและยังไม่ได้ถูกนำเข้าทำเนียบของตระกูลหม่าเลยด้วยซ้ำ หากนางไม่มีน้ำนมเลี้ยงคุณหนูก็ไม่รู้ว่าเด็กน้อยที่น่าสงสารผู้นี้จะต้องทนหิวเพียงใด ฮูหยินไม่ให้นางนำคุณหนูเข้ามาใกล้ จึงให้เลี้ยงดูทารกน้อยอยู่ที่ห้องรับรองห้องหนึ่งของเรือน ซึ่งอยู่ห่างจากห้องนอนมากโข ไม่ให้นำลูกไปใกล้ก็แล้วไปเถิด แต่เหตุใดจึงไม่จัดเตรียมเครื่องใช้ที่เหมาะกับเด็กทารกมาให้นางด้วย ไม่เพียงผู้เป็นมารดาเท่านั้นที่มองเด็กน้อยด้วยความรังเกียจ แม้แต่บ่าวไพร่ในจวนก็ไม่มีผู้ใดอยากจะเข้าใกล้คุณหนูของนาง นางเพิ่งรู้มาว่าฮูหยินผู้เฒ่านั้นแท้จริงแล้วเป็นพวกงมงายมากเพียงใด หลังสิ้นพิธีศพก็ตามนักพรตเข้ามาปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายในจวนตามคำยั่วยุของเซี่ยเจียเฟย นักพรตผู้นั้นพูดพร่ำสิ่งใดออกมาหลี่หลิงฟางก็ดูจะเชื่อไปเสียทุกอย่าง เพียงหนึ่งประโยคที่นักพรตกล่าวออกมาคุณหนูของนางก็กลายเป็นที่รังเกียจของผู้คนทันใด ‘นางมีชะตาเป็นดาวหายนะ ดวงกาลกิณีโดยแท้ เกิดมาเพื่อทำให้ผู้อื่นเจอแต่เรื่องเลวร้าย ผู้ใดเข้าใกล้ก็จะพลอยเดือดร้อนไปด้วย ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านต้องรีบหาสตรีที่มีพลังหยินบริสุทธิ์มาแต่งให้ใต้เท้าหม่าเพื่อปัดเป่าความโชคร้ายนี้ออกไป และหากสตรีผู้นั้นให้กำเนิดทายาทด้วยก็ยิ่งเป็นการดี หลานผู้นั้นของท่านจะส่งเสริมให้ตระกูลหม่าเจริญรุ่งเรือง เรื่องร้ายใดๆ ก็จะไม่เกิดกับตระกูลหม่าอีก หากเป็นหญิงนางจะมีชะตาหงส์ หากเป็นชายเขาจะต้องยิ่งใหญ่ชื่อเสียงเกรียงไกล’ นี่เป็นวาจาผายลมที่นักพรตผู้นั้นเอ่ยยามเจอนางและคุณหนู สิ้นคำกล่าวนั้นสายตาที่ฮูหยินผู้เฒ่ามองมามีเพียงความเกลียดชัง ส่วนใต้เท้าหม่านั้นมีเพียงความเฉยเมยยามมองบุตรสาวของตน ทุกคนต่างกล่าวโทษว่าการที่พายุฝนโหมกระหน่ำราวกับเกิดอาเพศนั้นเกิดจากคุณหนูน้อย ฟังแล้วนางอยากจะหัวเราะดังๆ ผู้ที่ไม่มีความรู้เช่นนางยังมองออกเลยว่านี่เป็นเพียงแผนการร้ายของเซี่ยเจียเฟย ทารกตัวเล็กๆ เช่นนี้ไหนเลยจะมีอิทธิฤทธิ์เรียกลมเรียกฝนได้กันเล่า ทว่าทุกคนในจวนสกุลหม่ากลับเชื่อน้ำคำของนักพรตเสียอย่างนั้น ราวกับจะหาผู้รับผิดชอบต่อการตายของนายท่านผู้เฒ่าและคุณชายรอง นางเห็นแล้วให้ปวดใจแทนคุณหนูยิ่งนัก หลังจากนักพรตผู้นั้นกลับไปฮูหยินผู้เฒ่าก็นำชะตาเกิดของเซี่ยเจียเฟยไปตรวจดู ปรากฏว่าดวงของนางตรงตามที่นักพรตผู้นั้นกล่าวไว้ไม่มีผิดเพี้ยนไปสักนิด ดังนั้นหม่าจิ้งซิ่นจึงรับอนุเข้าเรือนหลังตามคำขอร้องของมารดา ถึงแม้ทุกคนจะกล่าวหาว่าคุณหนูของนางเป็นตัวซวยก็เถอะ แต่นางไม่อยากจะเชื่อเลยว่าแม้แต่ผู้เป็นบิดามารดาของเด็กน้อยก็คิดแบบนั้นด้วย จะดีจะร้ายอย่างไรนี่ก็คือบุตรีของพวกเขามิใช่หรือ นอกจากจะไม่ปกป้องแล้วยังผลักไสอีกต่างหาก “เรากลับห้องกันนะเจ้าคะคุณหนู ได้เวลานอนแล้ว” ถางรั่วเหวยอุ้มทารกน้อยกลับไปยังห้องนอน จากนั้นก็กล่อมเด็กน้อยให้หลับปุ๋ย กลางดึกความโกลาหลวุ่นวายก็เกิดขึ้นเมื่ออยู่ๆ จางจิ่วเม่ยเกิดล้มป่วยอย่างไม่ทราบสาเหตุ นางนอนซมไข้ขึ้นสูง ปากก็เพ้อเรียกหาสามีไม่หยุด หม่าจิ้งซิ่นเร่งรุดมาหานางทันทีที่ทราบข่าวทิ้งอนุคนงามไว้ที่เรือนหลังจากเข้าหอไปได้เพียงไม่นาน เขาปราดเข้ามานั่งข้างเตียงภรรยา เอื้อมมือไปแตะหน้าผากมน ก่อนจะต้องชักมือกลับมาเมื่อพบว่าตัวนางร้อนราวกับไฟ “มีใครไปตามหมอมารึยัง” เสียงถามเจือประกายโทสะบางเบา ถึงแม้จะผิดหวังที่นางไม่สามารถคลอดบุตรชายให้ตนได้ แต่ก็มิอาจเมินเฉยต่อภรรยายามเจ็บป่วยเช่นนี้ได้เหมือนกัน อย่างไรเสียนางก็เป็นสตรีที่เขาแต่งเข้าเรือนมาด้วยความรัก ตลอดหลายวันมานี้เขามัวแต่ยุ่งอยู่กับงานศพของบิดาและน้องชาย ไหนจะงานราชการที่ต้องเร่งสะสางอีกจึงได้ละเลยนางไปบ้าง เรื่องรับอนุเขาก็ไม่ได้เห็นด้วยกับมารดา ทว่าเมื่ออีกฝ่ายร่ำไห้ปานจะขาดใจขอให้ตนคิดถึงวงศ์ตระกูลให้มากๆ เขาผู้ไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นบุตรอกตัญญูจึงต้องแต่งญาติผู้น้องเข้ามา รู้ดีว่าเรื่องนี้ทำให้เม่ยเอ๋อร์ของเขาเสียใจมากแต่ก็ทำได้เพียงนิ่งเฉยไว้ หากตนเผลอแสดงออกว่าไม่ปรารถนาเซี่ยเจียเฟยมากเพียงใดมารดาจะยิ่งเกลียดชังเม่ยเอ๋อร์มากขึ้นเท่านั้น กับบุตรสาวผู้นั้นเขาเห็นนางแค่ผิวเผิน แม้จะผิดหวังทว่าอย่างไรนางก็เป็นลูก แต่เพราะคำพูดของมารดาเขาจึงต้องเมินเฉยต่อบุตรีไปด้วย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD