เสี่ยวเกอเกอ

2013 Words
หม่าอวิ๋นเซียงยิ้มกว้างทันทีที่เขาพยักหน้ารับข้อเสนอของตน “เช่นนั้นพรุ่งนี้ท่านค่อยสอนข้าก็แล้วกัน วันนี้ข้าหายมานานแล้วเกรงว่าจะถูกดุ พรุ่งนี้ยามเว่ยท่านมารอข้าที่นี่นะเจ้าคะ” กล่าวจบก็หันหลังเตรียมจากไป แต่กลับถูกเสียงทุ้มต่ำเรียกไว้เสียก่อน “เดี๋ยวก่อนเด็กน้อย เจ้าชื่ออะไร จะให้ข้าเรียกขานเจ้าว่าอย่างไร” ร่างเล็กหันกลับมาเอียงคอมองเขาเล็กน้อย นางหยุดคิดชั่วครู่แล้วจึงเอ่ยคำออกไป “อวิ๋นเซียง ข้าชื่ออวิ๋นเซียง หรือจะเรียกข้าว่า เซียงเซียง ก็ได้เจ้าค่ะ” “อวิ๋นเซียงเช่นนั้นรึ” ร่างสูงพึมพำ “แล้วพี่ชายเล่าชื่ออะไร ข้าจะได้เรียกขานได้ถูก” นางถามกลับไปทันควัน จ้าวจื่อเทียนยิ้มบาง “หากเจ้าอ่านเขียนได้ถึงร้อยตัวอักษรเมื่อใด ข้าจะบอก” ใบหน้าเล็กบึ้งตึงโดยพลัน เขาโกงนางหรือนี่ มาหลอกถามชื่อผู้อื่นแต่ตัวเองกลับไม่ยอมบอกชื่อของตน “ในเมื่อท่านไม่ยอมบอกเช่นนั้นข้าจะเรียกท่านว่า เสี่ยวเกอเกอ ก็แล้วกัน” สิ้นคำนางก็หัวเราะคิกคักชอบใจในความคิดของตน ในเมื่อเขาไม่บอกชื่อก็เรียกเขาว่าพี่ชายตัวน้อยเช่นนี้แหละ ถึงแม้จะขัดกับรูปลักษณ์ของคนตัวโตก็ตาม จ้าวจื่อเทียนคิ้วกระตุกทันทีที่ได้ฟังคำเรียกของนาง เขาอายุสิบสี่แล้วปีหน้าก็เรียกว่าชายหนุ่มได้เต็มปากเต็มคำแล้วด้วยหาใช่เด็กน้อยไม่ แต่นางมาเรียกเขาเช่นนี้ ช่างน่าตายยิ่งนัก! “เช่นนั้นข้าก็จะเรียกเจ้าว่า เสี่ยวเซียงเซียง เช่นกันดีหรือไม่” หม่าอวิ๋นเซียงอ้าปากค้างเมื่อได้ยินวาจาของเขา นี่เขาเรียกนางว่าเซียงเซียงน้อยเช่นนั้นรึ นางมิใช่เด็กน้อยอย่างน้องสามเสียหน่อยที่จะต้องให้ใครมาเรียกขานเช่นนี้ นางรู้สึกขัดหูในคำเรียกของเขาไม่น้อยเพราะตนมักจะแอบเรียกน้องชายตัวกลมว่า ‘เสี่ยวหยุนฟ่าน’ เหมือนกัน นัยน์ตาหงส์ถลึงใส่เขาก่อนจะวิ่งจากไปพร้อมกับเสียงขบขันจากเขาที่ดังไล่หลังมา จ้าวจื่อเทียนเดินตามร่างเล็กไปอย่างใจเย็นเห็นนางมุดเข้าไปในช่องสุนัขลอด ดวงตาคมมองภาพนั้นนิ่งงัน มุมปากยกโค้งขึ้นเผยยิ้มบางเบา “คงเป็นสาวใช้ของสกุลหม่าสินะ จวนแห่งนี้มีเด็กรับใช้ที่ฉายแววฉลาดเฉลียวเช่นนี้ด้วยรึ อืม... น่าสนใจยิ่งนัก” เขามองเด็กหญิงที่หายลับเข้าไปอีกฟากของกำแพง แล้วหันไปทางจวนร้างอีกครั้งก่อนเดินจากไปอย่างรวดเร็ว วันถัดมายามเว่ยหม่าอวิ๋นเซียงลอบออกจากจวนเพื่อมายังจวนร้าง นางบอกแม่นมถางว่าจะไปเล่นแถวๆ โรงซักล้างกับเสี่ยวเมา เมื่อมาถึงก็หลบเลี่ยงสายตาบ่าวรับใช้แล้วรีบลอดผ่านกำแพงจวนออกมา ถึงแม้ความจริงแล้วผู้คนในจวนจะไม่สนใจนางสักเท่าไหร่ กระนั้นนางก็ไม่ต้องการให้ผู้ใดทราบว่าตนแอบมาเรียนหนังสือกับคนแปลกหน้า หากแม่นมทราบเรื่องนี้คงห้ามนางออกจากจวน ดีไม่ดีทางสุนัขลอดนี้อาจถูกปิดถาวร ร่างเล็กยืนลังเลอยู่หน้าประตูบานใหญ่ที่ปิดสนิทพลางมองซ้ายมองขวาหาเด็กหนุ่มทว่ากลับไม่พบคน หม่าอวิ๋นเซียงอุ้มเสี่ยวเมาไปนั่งตรงบันไดหินหน้าจวนร้าง ชะโงกหน้ามองถนนที่เปลี่ยวร้างครั้งแล้วครั้งเล่า “เสี่ยวเมา หรือว่าคนผู้นั้นจะโกหก นี่ก็เลยเวลานัดหมายมาสักพักแล้วแต่เขาก็ยังไม่มา คงไม่มีใครอยากอยู่ใกล้เซียงเซียงจริงๆ สินะ ไม่ว่าคนในจวนหรือคนข้างนอกพวกเขาต่างหลีกเลี่ยงเซียงเซียงทั้งนั้น” จ้าวจื่อเทียนมองเด็กน้อยที่กำลังก้มหน้าลูบหัวแมวไปพลางบ่นพึมพำไปพลาง สีหน้าของนางสลดลงอย่างเห็นได้ชัด แววตาเศร้าสร้อยราวกับมีความทุกข์อยู่ในใจ คิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากันด้วยความสงสัย นางยังเด็กถึงเพียงนี้ไฉนจึงได้ดูเหมือนกับว่ามีเรื่องเก็บไว้ในใจมากมายยิ่งนัก เขาเดินเข้าไปใกล้นางจากนั้นแสร้งกระแอมไอเพื่อเรียกคน หม่าอวิ๋นเซียงได้ยินเสียงกระแอมก็เงยหน้าขึ้นมอง ใบหน้าจิ้มลิ้มเผยรอยยิ้มกว้างทันที “เสี่ยวเกอเกอ ท่านมาแล้ว ข้าคิดว่าท่านจะไม่มาแล้วเสียอีก แล้วท่านมาถึงเมื่อใดทำไมข้าไม่ได้ยินเสียงเดิน” ร่างสูงมองแววตาเป็นประกายนั้นอย่างฉงน เมื่อครู่นางยังมีสีหน้าเศร้าสลดอยู่เลยแต่พอเจอเขาไยสายตาจึงได้เป็นประกายเช่นนั้น “เจ้าดีใจที่ข้ามาขนาดนั้นเชียวหรือ” “ดีใจสิเจ้าค่ะ ท่านไม่รู้หรอกว่าข้าอยากเรียนหนังสือมากเพียงใด” นางตอบอย่างกระตือรือร้นไม่คิดเก็บงำความคิดของตนเลยสักนิด “ดี หากเจ้าอยากเรียนก็จงตั้งใจ ข้าไม่มีความอดทนมากนักหรอกนะ หากเจ้าโง่เขลาจนเกินเยียวยาข้าจะไม่สอนอีก” เขาเอ่ยวาจาข่มขู่คนด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เจ้าค่ะ ข้าจะตั้งใจเรียนไม่ทำให้ท่านต้องเหนื่อยจนเกินไปแน่นอน” หม่าอวิ๋นเซียงรับคำเสียงหนักแน่น “เช่นนั้นก็ลุกขึ้นแล้วตามข้ามา” กล่าวจบก็เดินไปเปิดประตูจวนร้างแล้วเข้าไปด้านใน หม่าอวิ๋นเซียงเดินตามเด็กหนุ่มไปไม่ห่าง เมื่อคิดถึงเรื่องที่เล่าลือกันเกี่ยวกับจวนหลังนี้ก็ให้เกิดกลัวขึ้นมา นางคิดว่าเขาจะสอนหนังสือให้อยู่บริเวณหน้าจวนเสียอีก แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะพาเข้ามาในเรือนหลังหนึ่ง แม้สงสัยและคิดอยากจะถามอยู่หลายครั้งแต่ก็มิกล้าเอ่ยออกมา เขาพานางไปยังห้องห้องหนึ่ง ถึงตัวเรือนจะดูทรุดโทรมแต่ห้องนี้กลับสะอาดสะอ้านราวกับได้รับการดูแลอย่างดี “เป็นอันใดของเจ้ากัน ดูลุกลี้ลุกลนพิกล” จ้าวจื่อเทียนถามอย่างอดไม่ได้ยามเห็นร่างเล็กเอาแต่หันซ้ายหันขวามองรอบกายอย่างหวาดระแวงอยู่เช่นนั้น “เสี่ยวเกอเกอ ข้าเคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับจวนหลังนี้ ท่านพาข้าเข้ามาเช่นนี้ผู้เป็นเจ้าของจะไม่โกรธเอารึ หากมีผีไปหักคอข้าจะทำเช่นไร” สิ้นคำก็มีบางอย่างหล่นลงพื้นดังตุบ หม่าอวิ๋นเซียงผวาเข้าไปเกาะแขนเด็กหนุ่มไว้อย่างลืมตัว “กลัวอะไรของเจ้ากัน ผีมีจริงที่ไหนกันเล่า หากมีจริงข้าก็อยากเห็นสักครา” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นติดจะสั่นเครือเล็กน้อย นัยน์ตาดอกท้อเหม่อมองไปยังโต๊ะหินตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง เมื่อหลุดจากภวังค์ก็แกะมือเล็กออกจากแขนตน “หากเจ้าเอาแต่กลัวอยู่อย่างนี้ข้าจะไม่สอนแล้วนะ แค่แมวทำของตกแค่นี้ก็กลัวเสียแล้ว ช่างขวัญอ่อนเสียจริง” หม่าอวิ๋นเซียงยอมปล่อยแขนเขาทว่าก็ไม่ได้ถอยห่างออกไป นางหันไปดุเจ้าแมวจอมซนทันที “เสี่ยวเมา กล้ามากที่ทำให้เซียงเซียงตกใจ วันนี้ก็จงอดกินข้าวไปเสีย” “เด็กน้อย ทำไมตอนเจ้าพูดกับแมวถึงได้แทนตัวเองด้วยชื่อ แต่ทีพูดกับข้ากลับแทนตัวเองว่า ข้า เสียอย่างนั้น” เขาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเหตุใดต้องหงุดหงิดกับเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ด้วย “ข้าจะเรียกแทนตัวเองกับคนที่รู้จักและสนิทเท่านั้น แต่ท่านกับข้าเพิ่งเจอกันเมื่อวาน ดังนั้นข้าก็เลยเรียกแทนตัวเองแบบนี้เจ้าค่ะ” จ้าวจื่อเทียนทอดถอนใจแผ่วเบาด้วยไม่รู้ว่าเหตุใดพอได้รับคำตอบแล้วกลับไม่สบอารมณ์ยิ่งกว่าเดิม “เอาเถิด เจ้าจะแทนตัวเองว่าอะไรก็ช่างเถอะ มานั่งลงได้แล้วจะได้เริ่มเรียนเสียที” ครั้นเห็นว่าร่างเล็กนั่งเรียบร้อยแล้วก็วางกระดาษกับพู่กันลงตรงหน้านาง “อันดับแรกข้าจะสอนให้เจ้าเขียนชื่อตัวเองให้เป็นก่อน ดูแล้วก็จำ จากนั้นก็เขียนตามข้า” นิ้วเรียวจับพู่กันขึ้นมาแล้วเขียนชื่อของอีกฝ่ายลงไป เสร็จแล้วก็ยื่นกระดาษไปให้ “นี่คือชื่อของเจ้า ลองเขียนดูสิ” หม่าอวิ๋นเซียงมองกระดาษแผ่นนั้นด้วยสีหน้ายุ่งเหยิง เหตุใดชื่อของนางจึงได้เขียนยากเช่นนี้ ทำไมถึงได้มีเส้นมากมายนัก แล้วนางจะเริ่มขีดเส้นไหนก่อนดีเล่า จ้าวจื่อเทียนมองมือเล็กที่จับพู่กันด้วยท่าทางเก้กัง เพราะยังเด็กข้อมือของนางจึงไม่นิ่งพอเลยลากเส้นมั่วไปหมด จนเขาถึงกับทนดูไม่ได้ต้องสอนวิธีการจับพู่กันที่ถูกต้องให้ ร่างสูงเข้าไปยืนซ้อนข้างหลังคนตัวเล็กจากนั้นก็จับมือของนางให้เขียนอักษรอย่างถูกวิธี หม่าอวิ๋นเซียงจดจ่ออยู่กับตัวอักษรในกระดาษจนลืมคิดไปว่าบัดนี้อีกฝ่ายกำลังกุมมือตนอยู่ นางดูและจดจำทุกขั้นตอนที่เขาสอน เมื่อเริ่มเขียนได้แล้วเขาจึงปล่อยให้นางลองเขียนเอง นางหมดเวลาไปกับการหัดเขียนชื่อตัวเองอยู่ราวครึ่งชั่วยาม พอเห็นว่านางทำได้แล้วเขาก็สอนตัวต่อไป จ้าวจื่อเทียนพอใจไม่น้อยที่เด็กน้อยสามารถเรียนรู้และจดจำได้รวดเร็ว เขาสอนแค่รอบเดียวแต่นางก็ทำได้แล้ว วันนี้เป็นเพียงวันแรกของการเรียนจึงสอนไปเพียงห้าตัวอักษรเท่านั้น “เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ก่อนดีกว่า หากเรียนมากไปกว่านี้เกรงว่าเจ้าจะสับสนเอาได้ อย่างไรก็อย่าลืมหมั่นทบทวนด้วยเล่า หัดเขียนบ่อยๆ จะได้ไม่ลืม” ครั้นเห็นสีหน้าย่ำแย่ของคนตัวเล็กยามมองตัวอักษรยึกยือบนกระดาษเขาจึงเอ่ยปลอบใจไปอีกประโยค “ตอนนี้ตัวอักษรที่เจ้าเขียนอาจจะดูไม่ได้อยู่บ้าง แต่หากหมั่นฝึกฝนสักวันก็จะงดงามเอง อย่าเพิ่งท้อใจไป” “เจ้าค่ะ ข้าจะขยันฝึกเขียน” หม่าอวิ๋นเซียงรับคำอย่างว่าง่าย สีหน้าดูดีขึ้นมา “เสี่ยวเกอเกอ ข้าเอากระดาษพวกนี้กลับไปด้วยได้หรือไม่” “ได้สิ” จ้าวจื่อเทียนดูจะมึนงงเล็กน้อยในคำถามนั้น เหตุใดนางต้องถามเรื่องนี้กับเขาด้วยเล่า “นั่นเป็นอักษรที่เจ้าหัดเขียนนำกลับไปไว้ทบทวนเถิด เจ้าจะเอาพู่กันกับกระดาษเปล่าไปด้วยก็ได้นะ ข้าไม่ว่า” ร่างเล็กส่ายหน้าปฏิเสธ หากนางนำของเหล่านั้นกลับไปด้วยต้องถูกจับได้เป็นแน่ แต่กระดาษเพียงสามแผ่นนี้นางสามารถเก็บมันไว้ในอกเสื้อได้จากนั้นค่อยแอบนำออกมาดู เมื่อเห็นว่าใกล้ยามเซินแล้วจึงขอบคุณเขาและเอ่ยขอตัว “เสี่ยวเกอเกอ เจอกันพรุ่งนี้นะเจ้าคะ” “อืม” เด็กหนุ่มขานรับเพียงหนึ่งคำ มองส่งเด็กน้อยไปจนสุดสายตาแล้วหันกลับไปยังตู้ไม้ที่อยู่ตรงมุมห้อง สืบเท้าเข้าไปใกล้ เอื้อมมือเปิดประตูตู้ออกแล้วหยิบป้ายวิญญาณที่แอบซ่อนไว้ออกมาเช็ดด้วยชายแขนเสื้อ “เจ้าคงไม่ตำหนิที่ข้าพาคนนอกเข้ามาที่นี่ใช่หรือไม่ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบให้ใครเข้ามายุ่มย่ามในที่ส่วนตัว แต่เด็กคนนั้นมีของที่ข้าต้องการอยู่ในมือ แล้วข้าก็ไม่นิยมทำร้ายเด็กและสตรีเสียด้วยคงได้แต่ตะล่อมนางเช่นนี้ ไม่นานนักหรอก ข้าจะให้เจ้าอยู่อย่างสงบเช่นเดิม” กล่าวจบก็วางป้ายวิญญาณไว้ที่เดิมแล้วจากไปอย่างเงียบเชียบ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD