ตอนที่ 7 อำพราง1

1177 Words
เรือนหลักยามนี้แสงโคมกำลังสว่างไสวเนื่องจากแขกพิเศษทางการค้ายังไม่ยอมกลับง่ายๆ เพราะการเจรจาร่วมสัญญายังไม่เสร็จสิ้นเสียที ใต้แสงตะเกียง ชายหนุ่มเจ้าของเรือนดูสง่างามนัก ทว่าใบหน้าหล่อเหลาของเขายิ่งนานยิ่งเย็นชา เมื่อคู่เจรจาไม่คิดอ้อมค้อมอีกต่อไป ชายวัยกลางคนกล่าวอย่างต่อเนื่องว่า “ใบชาของข้านับเป็นที่หนึ่งไม่มีสอง ครอบคลุมพื้นที่ทั่วทั้งเมืองหนิงโจว คนจากสำนักราชวังเคยมาติดต่อขอซื้อขาดเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ใยหม่อนยังมีค่ายิ่งกว่าทองคำที่ร้านแพรพรรณทั้งเมืองหลวงต่างยอมรับและแย่งชิงกันเฟ้นหา หากนายน้อยหลิวสนใจร่วมเป็นหนึ่งกับข้าสองการค้านี้ การแต่งงานจึงนับว่าดี” การเชื่อมสัมพันธ์ทางการค้าด้วยวิธีแต่งงานนับเป็นเรื่องมงคล และยิ่งเป็นสกุลลู่ซึ่งเป็นตระกูลพ่อค้าอันดับหนึ่งแห่งหนิงโจวด้วยแล้ว แทบไม่ต้องเสียเวลาคิด หลิวไท่หยางปรายตามองสองพ่อลูกตรงหน้านิ่งๆ ชายวัยกลางคนคือลู่เถียน คหบดีใหญ่แห่งหนิงโจว ส่วนหญิงสาวสะคราญโฉมที่นั่งส่งยิ้มหวานๆ ให้เขาคือลู่ถิง สตรีงามล่มเมืองผู้นี้ หลิวไท่หยางมักจะได้เจอนางหลายครั้งหลายครา ทั้งแบบบังเอิญและจงใจ เรียกได้ว่าแทบทุกครั้งที่มาติดต่อการค้าที่หนิงโจว ลู่ถิงไม่เคยเก็บงำความรู้สึกหลงใหลที่มีต่อเขา หลิวไท่หยางคิดว่าข้อเสนอนี้คงเป็นนางนั่นล่ะที่เสนอกับบิดาแล้วพากันมากดดันเขาด้วยข้อเสนออันล้ำเลิศ ชายหนุ่มนึกระอากับการเจรจาแบบนี้ เขาจึงเอ่ย “นายท่านลู่ให้เกียรติข้าเกินไปแล้ว ผู้น้อยแซ่หลิวไหนเลยกล้ารับน้ำใจ หากรับไว้ทุกครั้งที่เดินทางผ่านแต่ละเมือง เกรงว่าจวนหลิวคงมีเรือนหลังที่ยิ่งใหญ่กว่าวังหลังกระมัง เช่นนี้คงมิใช่เป็นการหมิ่นเบื้องสูงด้วยการทำตัวยิ่งใหญ่เกินโอรสสวรรค์หรอกหรือ?” เป็นการปฏิเสธที่เด็ดขาดหมดจดด้วยการอ้างอิงถึงการมิอาจขยายอำนาจการค้าจนเป็นที่เคืองพระทัยฮ่องเต้ ลู่เถียนพลันมีสีหน้าดำคล้ำบึ้งตึงประหนึ่งก้นหม้อ ลู่ถิงเองยังแทบสลัดกิริยาสาวงามเป็นปีศาจแล้ว ใบหน้าหลิวไท่หยางยังคงประดับรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ “อ้อ...หากนายท่านลู่ไม่ส่งใบชากับใยหม่อนให้ข้าฤดูกาลนี้ก็ไม่เป็นไร เพราะข้ายังมีในคลังเพียงพอจนถึงสิ้นปี เพียงแต่ปีนี้นโยบายใหม่ทางสำนักพระราชวังเปิดประมูลการค้า ข้าได้ประมูลผูกขาดกับทางเมืองหลวงไว้แล้วสามปี เกรงว่านายท่านลู่อาจจะไม่มีสถานที่ระบายสินค้าของปีนี้” “จ่ะ...เจ้า” นายท่านลู่รู้สึกแน่นหน้าอกทันใด ลู่ถิงลุกขึ้นกระทืบเท้าบันดาลโทสะอย่างขัดใจ “นายน้อยหลิว ท่านมีตาหามีแววไม่” สะคราญโฉมยามโกรธายิ่งงดงามเพริดแพร้วเฉิดฉาย บุรุษเห็นเข้าเป็นต้องรีบเข้ามาพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจ ทว่าหลิวไท่หยางกลับเอ่ยอย่างเฉยชา “ข้าผู้แซ่หลิวยังไม่คิดแต่งงานมีภรรยา ยามนี้ในหัวมีแต่เรื่องการค้า ขอคุณหนูลู่โปรดระงับโทสะแล้วลองตรองให้ดี มองไปรอบๆ ว่ามีเรื่องที่ต้องการทำแต่ยังไม่ได้ทำหรือไม่ ชีวิตคนเราแสนสั้นนัก อย่าเอาความคะนึงมาจมปลักกับคนเช่นข้าเลย” สาวน้อยเริ่มร่ำไห้ฮึดฮัดอย่างคนเอาแต่ใจ เมื่อไม่ได้สิ่งที่ต้องการก็เริ่มฟูมฟาย มิใช่เสียใจที่คนผู้หนึ่งไร้เยื่อใย แต่รู้สึกเสียหน้าที่สาวงามเช่นนางถูกปฏิเสธมากกว่า มิรู้หรือไรว่าบุรุษค่อนเมืองต่างหมายปองนาง ลู่ถิงเหยียดยิ้ม “หลิวไท่หยาง ท่านช่างตาบอดนัก ข้าชอบท่านถึงเพียงนี้” หลิวไท่หยางหรี่ตา “ข้าขอเตือน อย่าดึงดัน!” คนงามพลันสะอึก ทั่วทั้งห้องเงียบสงัด “เฮ้อ...เอาล่ะๆ ข้าว่าเรามาคุยกันเฉพาะสินค้าเถิด” นายท่านลู่รีบปิดฉากการเจรจาอันน่ากระดากอายนี้ด้วยข้อตกลงใหม่ที่ได้รับผลประโยชน์แค่เรื่องแลกเปลี่ยนสินค้าทั้งสองฝ่าย หาใช่โยงใยถึงเรื่องเนื้อหนังหวังเกี่ยวพันถึงขั้นเป็นสามีภรรยา “นายน้อยหลิวคิดเห็นเป็นเช่นใด” “ตกลงตามนี้” หลังจากการเจรจาเสร็จสิ้นด้วยข้อตกลงการค้าโดยไม่มีเรื่องการแต่งงานมาข้องเกี่ยว หลิวไท่หยางก็ให้จิ้นสิงไปส่งคนอย่างไว ส่วนเขาก็กลับเข้าห้องหนังสือทันใด แสงเทียนวูบไหว สาดประกายไฟจนส่องแสงสว่างฝ่าความมืดสลัวถ้วนทั่ว เผยเงาร่างสูงโปร่งนั่งอยู่หลังโต๊ะหนังสือชัดเจน สง่างามปานนั้น บุรุษหนุ่มนั่งอยู่ตรงนี้นานแล้ว เป้าหมายของเขาคือตรวจทานรายได้ของร้านค้าแต่ละร้านใต้อาณัติของสกุลตน ซึ่งอยู่ภายในอาณาเขตของเมืองแห่งนี้ นอกจากนั้นยังมี รายการบัญชีมีส่วนที่เป็นรายรับจากผลผลิตจากไร่สวนที่นา ค่าเช่าร้านค้า เรือนพักชั้นยอดบนถนนเป่ยเจียในชิงย่วน ความร่ำรวยมั่งคั่งแทบทับคนตายนี้มิใช่ว่าไม่เคยตรวจสอบ มิใช่ว่าไม่คล่องมือ กระนั้นกลับรู้สึกว่าต้องใช้เวลาเกินพอดี เนื่องจากหลายครั้งหลายครา ความคิดของเขามักจะเตลิดไปถึงสตรีอีกคนหนึ่งที่อยู่ทางฝั่งเรือนปีกข้าง นางนอนหรือยัง? หลับสบายหรือไม่? เป็นคำถามง่ายๆ สามัญอย่างยิ่ง หากแต่รบกวนจิตใจผู้คนเสียจริง หลิวไท่หยางพยายามปัดเรื่องของซิงเยว่ออกไปเป็นครั้งที่เท่าไหร่มิอาจนับเพื่อกลับมาสนใจเพียงงานตรงหน้า ระหว่างนั้นสาวใช้ผู้หนึ่งค่อยๆ เดินกรีดกรายเข้ามาพร้อมชาร้อนกรุ่นตามคำสั่งของเจ้านาย “นายน้อย...” กระแสเสียงของนางอ่อนหวานอย่างยิ่ง อ่อนโยนยิ่งกว่าสายน้ำริน หวานล้ำกว่ายามกลางวันถึงสามเท่าห้าเท่า ราตรีมืดมัวอากาศเย็นฉ่ำเต็มไปด้วยกลิ่นอายวสันต์ชวนคร่ำครวญและพร่ำเพ้อถึงเรื่องรักๆ ใคร่ๆ อาจทำให้บุรุษผู้หนึ่งหวั่นไหวโดยง่าย ขอเพียงเพิ่มเสน่ห์ยั่วยวนเข้าไป สาวใช้คิดในใจอย่างหมายมาดขณะเดินบิดบั้นท้าย จนแลดูโค้งเว้างามงอนเป็นพิเศษ พลางชำเลืองมองเจ้านายรูปงามอย่างเหนียมอาย ประกายตาเต็มไปด้วยความรุ่มร้อนแห่งความวาดหวัง ทว่าหลิวไท่หยางกลับไม่มองแม้หางตา ท่าทีห่างเหินเว้นระยะมากโข เขาเพียงโบกมือเบาๆ กล่าวเสียงเนิบว่า “เอาวางไว้แล้วออกไป...” สาวใช้จึงวางถาดน้ำชาไว้ที่โต๊ะฝั่งหนึ่งอย่างหดหู่ ก่อนออกไปอย่างห่อเหี่ยวท้อแท้ ผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อประตูปิดลง หลิวไท่หยางจึงเหลือบตาขึ้นมองอย่างเอือมระอา วันนี้ติดต่อการค้าต้องเจอคุณหนูงดงามทอดไมตรี ยามคิดบัญชียังต้องเจอสาวใช้ทอดมารยา พวกนางอาจไม่เหนื่อย แต่เขาหน่ายเต็มทน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD