บทที่3. สายตาเช่นนี้

1404 Words
“ขออภัยที่ข้ามารับเจ้าช้า คุณหนูกระอักลิ่มเลือดข้าต้องเช็ดตัวให้คุณหนู” นางรีบยื่นมือไปรับถาดยามาถือเอง  มู่ฟางเหนียงเห็นเพียงเขาปรายตามองนางเล็กน้อย หญิงสาวสำรวมกิริยาเดินไปถึงห้องพักของเคอหลิ่งหลิน พอไปถึง บิดาก็เรียกนางให้เข้าไปช่วยทันที ประตูปิดลงไปอีกครู่ใหญ่จึงเปิดออก   “อาการเป็นอย่างไรบ้าง” ฮูหยินอี้ซิ่วใจร้อนจนต้องชิงถามเสียก่อน   “ขอบังอาจพูดอย่างตรงไปตรงมา ท่านหญิงถูกพิษร้ายแรงแต่มีผู้ขับพิษออกให้นางแล้ว ทว่าวิธีขับพิษนั้นทำให้ท่านหญิงสูญเสียกำลังภายในไป และอวัยวะภายในยังบอบช้ำสาหัส ระหว่างที่ร่างกายพักฟื้นนางจะหลับนิทราเช่นนี้”   “เมื่อไหร่นางจะฟื้น” ฮูหยินอี้ซิ่วยังไม่วางใจนัก แม้ลูกสาวบุญธรรมคนนี้จะซุกซนจนนางปวดเศียรเวียนเกล้าบ่อยครั้ง แต่นางก็อยากเห็นความร่าเริงนั้นมากกว่านอนนิ่งเช่นนี้   “มิอาจแจ้งระยะเวลาที่แน่ชัดได้ เมื่อร่างกายนางแข็งแรงดี นางจะตื่นเอง”  มู่ฟางเหนียงลอบมองใบหน้าของชายหนุ่มที่เดินนำทางให้นาง สีหน้าเรียบนิ่งมีเพียงแววตาไหวระริก เขาไม่ได้มองนางจึงไม่รู้ว่านางมองเขา หญิงสาวเหลือบตามองทิศทางของสายตานั้น เขาจ้องมองคนที่หลับใหลบนเตียง นางอาจจะอายุเพียงสิบหกและเป็นผู้หลงทิศ แต่ด้วยการติดตามบิดารอนแรมไปทั่วสารทิศทำให้นางเห็นอะไรมามากต่อมาก  สายตาเช่นนี้...นางเข้าใจความหมายดี.  .......   มู่หยางซัวแม้จะได้ชื่อว่าเป็นหมอเทวดาไร้เงา แต่ความเป็นอยู่ก็เรียบง่ายตามประสาสองคนพ่อลูก ไม่มีบ่าวไพร่หรือคนรับใช้ มิใช่อะไร เพราะทั้งสองก็รักษาคนเจ็บป่วยไม่ได้คิดเงินทอง แล้วแต่ผู้มารักษาจะจ่ายให้ บางครั้งก็ได้เป็นเงิน บางคราวก็เป็นอาหาร และบางหนก็เป็นเสื้อผ้า หรือแม้แต่รับใช้ด้วยแรงงานก็มี อย่างลูกชายบ้านใกล้ๆ ป้าของเขาหกล้มจนป่วยไข้ ได้ท่านหมอมู่ดูแลรักษา เขาจึงขึ้นเขาหาฟืนมาแบ่งปัน หรือท่านลุงที่อยู่ท้ายหมู่บ้าน ไอเรื้อรังจนเจ็บทรวงอกก็ได้มู่ฟางเหนียงช่วยต้มยาให้ เมื่อหายดีก็มาช่วยซ่อมแซมหลังคาที่เป็นรูให้ ส่วนมู่ฟางเหนียงได้เสื้อผ้าสวยๆ จากเหล่านางคณิกา ก็เพราะหญิงเหล่านั้นส่งคนมารับนางไปช่วยตรวจดูอาการอ่อนเพลีย  หมอมู่หยางซัวไม่ได้รับลูกศิษย์ลูกหาแม้จะมีคนมาคุกเข่าอ้อนวอน ไม่ใช่ว่าหวงความรู้ ทว่าท่านหมอคิดเสมอว่าตนเองยังอ่อนด้อยเรื่องการรักษา มิเชี่ยวชาญให้ผู้ใดมายกย่องเป็นอาจารย์ และไม่รั้งอยู่ที่ใดนานนัก การอยู่ที่นี่นานถึงสองปีก็นับว่ายาวนานกว่าที่คิดไว้ หมอมู่เฝ้ามองลูกสาวที่เติบโตเป็นหญิงสาวงดงามขึ้นทุกวี่วัน จ้องมองนางที่ขึ้นบันไดเอาถาดสมุนไพรตากลมอยู่นั้น พลางคิดในใจว่าจนป่านนี้แล้ว เขายังมิมีทรัพย์สมบัติใดให้ลูกสาวเลยสักชิ้น หากถึงวันที่ต้องแต่งงานออกเรือนไปก็เกรงว่าจะไม่มีแม้กระทั่งสินเดิมของเจ้าสาว คงได้รับความดูแคลนจากผู้อื่นเป็นแน่     “ท่านพ่อ”   “หือ”  มู่ฟางเหนียงค่อยๆ ลงจากบันไดแล้วยืนเท้าเอวจ้องหน้าบิดาก่อนจะเปิดรอยยิ้มสดใสออกมา    “เห็นท่านพ่อจ้องลูกตั้งนานแล้ว ท่านจะพูดอะไรก็พูดมาเถิด” หญิงสาวหัวเราะออกมา นางมักยิ้มและหัวเราะง่ายเช่นนี้ ผิดกับบิดาที่มักมีสีหน้าเรียบนิ่งและดูสงบเยือกเย็น    “เจ้านี่นะ พ่อยังไม่ทันพูดก็มารู้ความคิดพ่อเสียแล้ว” บิดาถอนหายใจเบาๆ และคลี่ยิ้มที่มุมปาก   “ลูกไม่รู้ว่าท่านพ่อคิดอะไร” หญิงสาวส่ายหน้าไปมา “รู้แค่ว่าท่านมีเรื่องอยู่ในใจแต่ปากหนักมิกล้าเอ่ย”    “หน้าตาพ่อดูออกขนาดนั้นเลยรึ” ผู้เป็นพ่อหัวเราะขึ้นมา   “ถ้าเป็นคนป่วยก็เห็นอาการชัดเลยละเจ้าค่ะ” หญิงสาวหัวเราะเสียงใส การที่ในโรงหมอไม่มีผู้อื่น ทำให้นางไม่ต้องคอยระวังรักษากิริยาตัวเองให้เรียบร้อยนัก   “ว่าแต่ท่านพ่อมีเรื่องอันใดเจ้าคะ อย่าให้ลูกเดาอยู่เลย”   มู่หยางซัวถอนหายใจแล้วยกมือดึงเอาเศษใบไม้บนศีรษะของลูกสาวออกอย่างเบามือ “ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้วเหนียงเอ๋อร์”    “ท่านพ่อแก่ขนาดหลงลืมอายุลูกสาวคนเดียวได้อย่างไรกัน” นางเบ้ปากน้อยๆ “ใช่ๆ พ่อย่อมแก่ลงทุกวัน ถึงได้เป็นห่วงว่าจนเวลานี้พ่อคนนี้ยังไม่มีทรัพย์สินอันใดให้ลูกสาวคนเดียวอย่างเจ้าเลย หากวันหน้าเจ้าแต่งงานออกเรือนไปจะได้มีสินส่วนตัวบ้าง”    “สมบัติที่ท่านพ่อให้ลูกมานั้นล้ำค่ายิ่งกว่าสิ่งใดแล้วเจ้าค่ะ” นางยิ้ม แววตาเป็นประกายดุจมีดวงดาวพราวระยับในแววตาของนาง “ความรู้ที่ท่านพ่อให้นั้น สามารถทำให้ลูกเลี้ยงตัวเองได้ทั้งชีวิต”   ผู้เป็นพ่อได้ยินก็ยิ้มปลื้ม แต่กระนั้นก็ยังไม่วางใจนัก ถึงอย่างไรเขาก็เป็นพ่อ พ่อที่ไหนที่ไม่มีแม้กระทั่งบ้านสักหลังให้ลูกอยู่ ไม่มีแม้กระทั่งเครื่องประดับให้ลูกสักชิ้น   “ท่านพ่ออย่าคิดมากสิ ทุกวันที่ลูกคัดลอกตำรายาให้ท่านก็ได้ทบทวนความรู้ ทุกครั้งที่ได้ติดตามท่านออกตรวจรักษาก็เสมือนได้ฝึกฝนตนเอง เรื่องเหล่านี้ไม่มีใครให้ลูกได้เท่าท่านพ่ออีกแล้ว แล้วเช่นนี้จะเรียกว่าท่านพ่อมิได้ให้อะไรแก่ลูกได้อย่างไรกัน”    “แต่เจ้าเป็นหญิง อย่างไรในวันข้างหน้าเจ้าก็ต้องแต่งงาน”    “เหตุใดท่านพ่อคิดจะผลักไสลูกเล่า ท่านพ่อไม่อยากให้ลูกอยู่ด้วยแล้วใช่หรือไม่” หญิงสาวทำกระเง้ากระงอด “ลูกไม่คิดว่าท่านพ่อจะมีความคิดเช่นนี้” นางถลึงตาใส่ “ลูกของท่านคนนี้เป็นหญิงที่ตั้งปณิธานแล้วว่าจะเป็นหมอหญิงที่ผู้อื่นดูแคลน และลูกก็ไม่มีความคิดจะแต่งงานออกเรือน ลูกจะอยู่ดูแลปรนนิบัติท่านพ่อไปชั่วชีวิต”   “ตอนนี้เจ้าก็พูดได้ สักวันเจ้ามีคนรักแล้วก็จะลืมพ่อคนนี้”   “งั้นท่านก็แต่งงานใหม่ก่อนสิ แล้วลูกจึงจะวางใจยอมแต่งงานบ้าง” นางหัวเราะออกมา    “พ่ออายุมากแล้ว ซ้ำยังเป็นหมอจนๆ ใครจะมาสนใจ”     “ท่านพ่อ ท่านพ่อของลูกทั้งหนุ่มและหล่อเหลา มีหญิงสาวนับไม่ถ้วนหมายปองท่าน ไม่รังเกียจที่ท่านมีลูกติดและยากจน” “ถ้าเช่นนั้นลูกถามอาการพี่หลิ่งหลินได้หรือไม่เจ้าคะ” นางถามจริงจัง หลังจากวันนั้นแล้วบิดาก็ถูกเชิญไปดูอาการอีกสองครั้ง ยังไม่เห็นวี่แววว่าเคอหลิ่งหลินจะตื่นฟื้น “พี่สาวหลับไปครึ่งเดือนแล้วนะท่านพ่อ”   “ร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน หากเป็นผู้อื่นคงได้ไปนั่งเจรจากับยมทูตในปรโลกแล้ว”    “ลูกเป็นห่วงนาง” น้ำเสียงอ่อนลงและพูดด้วยความจริงใจ นางรอนแรมติดตามบิดาตั้งแต่จำความได้ เคอหลิ่งหลินเป็นผู้หญิงนิสัยประหลาดแต่เต็มไปด้วยความจริงใจ หลังจากที่นางหลงป่าเกือบตายในคราวนั้น เคอหลิ่งหลินก็แวะเวียนมาหานางเสมอๆ พานางออกไปนอกบ้าน เป็นเพื่อนขึ้นเขาหาสมุนไพร พอคิดถึงตอนนี้นางก็ได้แต่ยิ้มน้อยๆ เคอหลิ่งหลินไม่เคยบอกว่าตนเองเป็นใคร นางก็เข้าใจไปเอง ต่อไปนี้นางคงต้องจ้างใครสักคนนำทางขึ้นเขาหาสมุนไพรแล้ว   “นางเป็นคนดี ไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอก”   “ท่านพ่อก็ยอมรับว่านางเป็นคนดีแล้วสินะ” มู่ฟางเหนียงแสร้งทำเป็นหรี่ตามองบิดา ก่อนหน้านี้ท่านพ่อไม่ค่อยชอบใจกับนิสัยของเคอหลิ่งหลินนัก เพราะชอบพานางออกไปนอกบ้านโดยไม่บอกกล่าวอยู่เรื่อย แถมยังเรื่องกิริยามารยาทอีก แต่ก็เป็นคนเดียวที่บิดาไว้ใจ 
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD