บทนำ
“ผัวฉัน มีผัวแล้ว มีผัวแล้วโว้ย!”
ช้องนางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ยิ้มจนเสียจริตเสียกิริยากุลสตรีไทยที่ควรเก็บงำความรู้สึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามรับบทเจ้าสาวในวันนี้ เพราะหากใครมาเห็นเข้าจะถูกค่อนแคะได้ว่าดีใจที่มีผัวจนตัวสั่น แต่หล่อนยอมรับว่าตัวสั่นเนื้อเต้นจริง
คนมันสมหวังก็ต้องดีใจเป็นธรรมดาใช่ไหมละ
ใครไม่เป็นหล่อนนางสาวช้องนาง ลำจวนคงไม่รู้หรอกว่า การเฝ้ามองนายพระแสง ภควันต์เติบโตมาแต่ละวัยนั้นมันทรมานแค่ไหน
ใช่ หล่อนทรมานทุกครั้งที่เห็นเขาเริ่มคบค้าสมาคมกับหญิงสาวด้วยการพามาค้างที่บ้านตั้งแต่เป็นหนุ่มน้อย แต่บางทีอาจเพราะหล่อนอายุมากกว่าจึงมองเขาเป็นหนุ่มน้อยตลอดเวลา จนพลอยหนักใจไปกับยายมาลัยที่ต้องคอยไล่สาวๆ พวกนั้นออกจากบ้านครั้งแล้วครั้งเล่า
ยายมาลัยแอบมาบ่นกับหล่อนลับหลังหลานชายเสมอเรื่องความเจ้าชู้แต่ยายมาลัยโทษพันธุกรรมทางพ่อพร้อมด่าว่าสาดเสียเทเสียจนบางครั้งหล่อนก็สงสัยเหมือนกันว่าถ้าคิดว่าพ่อของพระแสงเลวขนาดนั้นแล้วยายยอมให้แต่งงานกับลูกสาวตัวเองทำไม รวมถึงก่นด่าความง่ายของผู้หญิงที่หลานชายพามานอนด้วย โดยไม่เคยแตะต้องหลานชายตนเองให้ได้ยินแม้แต่น้อย
จนปัจจุบันพระแสงยังมีผู้หญิงข้องแวะคนแล้วคนเล่าและลงอีหรอบเดิมทุกครั้ง
พระแสงเป็นเด็กกำพร้าพ่อแม่เสียชีวิตตั้งแต่เขาอายุห้าขวบ อยู่ในความดูแลของยายมาลัย ภควันต์ซึ่งนับเป็นญาติสนิทเพียงคนเดียวและเป็นเจ้าของทรัพย์สินมากมายที่จะตกทอดถึงพระแสงในอนาคต เหตุนี้เองยายมาลัยจึงเหมือนถือไพ่เหนือกว่าสามารถบงการชีวิตของหลานชายได้ แม้ไม่ใช่ทุกเรื่อง
ทว่าอย่างน้อยยายมาลัยก็สั่งให้เขาแต่งงานกับหล่อนได้ก็แล้วกัน
ช้องนางจำได้ดีว่าวันนั้นตนสวมวิญญาณนักล่าผู้ชาย บอกกับยายมาลัยไปตรงๆ ว่า มีทางกันพระแสงออกจากชะนีหิวโหยที่หอบท้องมาบอกว่าพระแสงเป็นพ่อของเด็กด้วยการให้แต่งงานหลอกๆ กับตน จริงอยู่แม้สัญญากันว่าแค่แต่งหลอกๆ แต่ถ้าได้จริงก็เอา
อุ๊บ! หล่อนคงไม่ได้คิดดังไปยายมาลัยจึงรีบตกลงทันที
และเพื่อให้สมจริงมากขึ้น การแต่งงานต้องสมบูรณ์แบบ นอกจากมีพิธีมงคลสมรสแล้วยังต้องมีกระบวนการทางกฎหมายด้วย เพื่อจะได้ใช้เป็นยันต์กันเมียน้อยให้เลิกมายุ่งเกี่ยว มิเช่นนั้นหล่อนจะฟ้องเรียกค่าเสียหายให้หัวโตกว่าท้องที่หอบมาเสียอีก
เจ้าสาวแสนสวยแม้อายุล่วงมาสามสิบสองปีแล้วก็ตื่นเต้นตื้นตันอย่างยิ่งที่มีสามีถูกต้องตามกฎหมายกับเขาเสียที แม้การได้มาในตำแหน่งภรรยานั้นจะใช้เล่ห์ลวงและถุงของยายมาลัยคลุมตัวเจ้าบ่าวมาก็ตาม แต่เมื่อมีลายมือชื่อเขาในทะเบียนสมรสหล่อนก็อดปลื้มใจไม่ได้ น้ำตาจึงปริ่มยามมองหลักฐานสำคัญในมือ
“ผัวฉัน ในที่สุดก็มีผัวกับเขาแล้ว ลงจากคานเสียทีนะช้องนาง” หล่อนพึมพำ แล้วสะดุ้งกับเสียงเคาะประตูพร้อมเสียงเรียกของเพื่อนสนิท
“ช้องๆ เสร็จหรือยัง แขกมาเยอะแยะแล้ว”
“จ้าๆ เสร็จแล้ว” หล่อนรีบเก็บทะเบียนสมรสไว้ในลิ้นชักโต๊ะใกล้เตียง ซับน้ำที่หัวตาแล้วเดินไปเปิดประตูรับกานดาเพื่อนสนิทที่คบหากันมาตั้งแต่ชั้นประถม
“ทำอะไรอยู่” กานดาถามทันทีประตูห้องเปิด มองสำรวจชุดราตรีสั้นเกาะอกสีงาช้าง ที่ช่วยขับผิวสาวให้ขาวผ่อง
ช้องนางเป็นสาวผมสั้นตรงเลยติ่งหูมาเล็กน้อย มีความเท่และดูทะมัดทะแมงในยามปกติ แต่เมื่อสวมชุดราตรีเช่นนี้กานดาชอบผมยาวแล้วเกล้าเป็นมวยหลวมๆ มากกว่า
“เสียดายผมแกสั้นไปหน่อย แต่ทำแบบนี้ก็สวยดีนะ” สุดท้ายก็เอ่ยชมอยู่ดี
“ก็ได้ผัวแบบฟลุคๆ นี่ เลยเลี้ยงผมให้ยาวไม่ทัน” หล่อนใช้มือป้องปากยามหัวเราะ ไม่ได้ขัดเขินเพื่อนสนิทที่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังดี แค่กลัวเสียงหัวเราะระริกระรื่นจะเข้าหูให้คนอื่นหมั่นไส้และนินทาเอาได้ว่าเจ้าสาวดีใจออกนอกหน้าจนเกินงาม
แต่ก็ดีใจจริงๆ เพราะหล่อนเฝ้ามองพระแสงมาตั้งแต่แรกเกิด เหมือนถูกมนต์สะกดตั้งแต่ได้อุ้มเขาครั้งแรกแล้วเขาฉี่รดจนน้าพิมพาแม่เขาต้องรีบถอดกางเกงเปลี่ยนให้
‘โห ช้างน้อยใหญ่จัง’ เด็กหญิงช้องนางในวันนั้นแค่อุทานในใจ แต่ใช้นิ้วมือสะกิดเล่นจริงจังจนถูกตีมือปราม
“อุ๊ย!อะไร! ตกใจหมด” ถามกานดา
“ก็มัวยิ้มอะไรอยู่ละ รีบลงไปเถอะ แขกอยากถ่ายรูปกับบ่าวสาวแล้ว”
“อ๋อ ไปๆ แต่” พอเพื่อนขยับหล่อนก็รั้งไว้ แล้วหมุนรอบตัวเองช้าๆ “เรียบร้อย ดูดีหรือยัง”
“สวยมากจ้ะ แกเป็นสาวแก่ที่แต่งชุดเจ้าสาวได้สวยมาก ออร่าพุ่ง”
“บ้า สาวแก่ที่ไหน แค่สามสองเอง”
หรือจะแก่จริง แต่อย่างน้อยก็หนีคานได้แล้ว ด่านต่อไปก็แค่จับพระแสงทำผัวให้ได้
งานนี้พี่ไม่ได้มาเล่นๆ พี่เอาจริงค่ะ
งานแต่งและงานเลี้ยงจัดขึ้นวันเดียวกันและสถานที่เดียวกันคือที่ร้านช่อม่วงร้านอาหารไทยของยายมาลัยเอง ร้านช่อม่วงเป็นร้านอาหารไทยบรรยากาศร่มรื่นอยู่ท่ามกลางท้องทุ่งและมีลำคลองธรรมชาติอันเป็นที่ดั้งเดิมของบรรพบุรุษตกทอดกันมารุ่นต่อรุ่นจนถึงยายมาลัยและจะข้ามรุ่นไปถึงพระแสงเพราะพิมพาแม่ของเขาซึ่งถือเป็นทายาทรุ่นต่อไปด่วนเสียชีวิตไปก่อน
แต่ร้านช่อม่วงไม่ได้ตั้งติดกับคลองสาธารณะที่ไหลผ่านที่ดินเนื้อที่กว้างใหญ่เพราะเป็นที่ดินเดิมมาตั้งบรรพบุรุษยายมาลัยเลือกที่จะใช้บ้านเก่าหลังใหญ่ซึ่งอยู่ติดถนนทำหน้าร้าน ให้บ้านพักที่สร้างขึ้นใหม่อยู่ริมคลอง ซึ่งช้องนางชอบเช่นนั้นเพราะท่าน้ำบ้านหล่อนที่อยู่ติดกันจะได้ปลอดสายตาลูกค้าของร้านอาหารและบ้านหลังเล็กริมคลองของพระแสงที่แยกเป็นสัดส่วนจากบ้านใหญ่ของยายมาลัยก็จะใช้เป็นเรือนหอ
เป็นที่เริ่มสร้างครอบครัวใหม่ของเรา
“ช้องๆ มาถ่ายรูปทางนี้” เสียงเรียกเซ็งแซ่เมื่อเจ้าสาวปรากฏตัวขึ้น ก่อนมีมือดีมาดึงให้ไปยืนใกล้เจ้าบ่าวที่ตากำลังเยิ้มได้ที่ หน้าแดงยิ่งกว่าสาวรุ่นยามสะเทิ้นอาย
เปล่าหรอกเขาไม่ได้อายแต่เขาเมา เมาแอ๋จนผิดจากพระแสงที่เคยเห็น
หล่อนเฝ้ามองมาตลอดทำให้รู้ว่าถึงจะสำมะเลเทเมาบ้างแต่ไม่เคยเมาหัวราน้ำเช่นนี้ อย่างน้อยเขาก็ขับรถกลับบ้านอย่างปลอดภัยทุกคืน แต่ส่วนใหญ่หล่อนเห็นแม่ชะนีสาวๆ ที่หิ้วมาเป็นคนขับ ช้องนางได้ยินเพื่อนเจ้าบ่าวเอ่ยแซวว่าพระแสงคงดีใจได้เมียเป็นตัวเป็นตนแถมได้เล่นของสูง เพราะต้องสอยเจ้าสาวลงจากคาน
หากไม่ติดว่าเป็นเจ้าสาวเอง ช้องนางจะตบปากพวกนี้เรียงตัว โทษฐานปากเสียชอบเอาความจริงมาพูด แต่ถึงจะอยู่บนคานมานานก็ใช่ว่าค้างเติ่งไม่มีใครสนใจ แค่หล่อนปฏิเสธความรักของผู้ชายมาคนแล้วคนเล่า จนแม่ตราหน้าว่า
‘เลือกมากก็กอดคานเน่าๆ ไปจนตายเถอะนังช้องเอ๊ย’
แล้วไงละ พอหล่อนไปบอกว่าจะแต่งงานกับหลานยายมาลัย แม่ถึงกับหัวเราะกลิ้ง แล้วลูบหัวหล่อนเบาๆ ก่อนดึงมากอดแล้วพูดเหมือนปลอบใจ
‘เมายาสีฟันมาหรือนังช้อง นายพระแสงเขาเคยชายตาแลแกหรือเปล่า เห็นผู้หญิงสาวๆ สวยๆ ตามตูดต้อยๆ มีหรือจะมองสาวแก่อย่างแก’
‘คำก็สาวแก่ สองคำก็สาวแก่ ก็นี่ไงสาวแก่ของแม่จะเป็นฝั่งเป็นฝาแล้ว จริงๆ จริงๆ นี่ดู’ หล่อนยื่นการ์ดแต่งงานให้แม่ดู แม้จะแต่งหลอกๆ แต่ยายมาลัยเล่นใหญ่ทำให้สมจริงสมจัง มีพิธีมงคลสมรส มีงานเลี้ยงและมีทะเบียนสมรสให้ ยกเว้นแต่สินสอดทองหมั้นที่ไม่มีและไม่เคยได้ยินแกเอ่ยถึงเลย
‘หนูรู้ว่าแม่กับพ่อไม่สนเรื่องเงินสินสอด แค่อยากให้ลูกสาวได้ออกเรือนเลยไม่เรียกร้องอะไรจากฝ่ายโน้นเลย’ หล่อนยิ้มใส่ตายามที่แม่ยังทำหน้างงไม่หาย
แม่จ้องบัตรเชิญในมือที่มีชื่อเด่นชัด แล้วหันมาสบตาหล่อนก่อนถามอ้อมแอ้ม
‘เรื่องจริงเหรอ’
‘เรื่องจริงจ้ะ’ หล่อนยิ้มกว้าง ก่อนส่งถุงเสื้อผ้าที่ซื้อมาให้เพื่อพ่อกับแม่จะได้ลองสวมดู
และเมื่องานตอนเช้าพ่อกับแม่ก็ใส่ชุดที่หล่อนซื้อไปให้ได้อย่างสวยงามพอดีตัว แต่ท่านทั้งสองไม่ได้อยู่ในงานคืนนี้เพราะห่วงบ้านห่วงหลานชายที่ต้องอยู่กับคนงานหลังกลับจากโรงเรียน
“ได้ฤกษ์ส่งตัวบ่าวสาวเข้าหอแล้วครับ” เสียงพิธีกรเฉพาะกิจดังขึ้น ตามด้วยเสียงโห่หิ้วและเสียงหัวเราะ
ยายมาลัยเดินมาดึงมือช้องนางกับพระแสงแล้วหันไปบอกแขกเหรื่อที่ยังดื่มกินกันอยู่ว่าตามสบาย ก่อนจะจูงทั้งคู่ไปที่บ้านพักริมคลองซึ่งใช้เป็นเรือนหอ
เตียงนอนขนาดใหญ่ในห้องนอนของพระแสงโรยกลีบกุหลาบเอาไว้กระจัดกระจาย ดูก็รู้ว่าโปรยอย่างลวกๆ
“ยายคะ ขอหนูจัดให้มันเป็นรูปหัวใจก่อนได้ไหม ถ่ายรูปออกมาจะได้สวย” เจ้าสาวรีบเสนอเมื่อยายมาลัยพยักหน้าหล่อนรีบลงมือปัดๆ ปาดๆ กลีบดอกกุหลาบที่กระจัดกระจายให้ล้อมเข้ามาเป็นรูปหัวใจทันที โดยมีกานดาที่เป็นเพื่อนเจ้าสาวตลอดงานและมารอถ่ายรูปให้เป็นผู้ช่วย
พอจัดเตียงเสร็จผู้ใหญ่ที่ยายมาลัยเชิญไว้ก็เข้ามาในห้อง เพื่อทำพิธีส่งตัว ท่านทั้งสองให้พรและสอนสั่งเรื่องการใช้ชีวิตคู่ ช้องนางพนมมือไหว้รับพรและคำสอนนั้น แต่ไม่ได้จดจำเลยว่าทั้งสองคนพูดอะไร สายตาหล่อนมองที่เตียงแล้วคิดไปถึงช่วงเวลาที่คนอื่นออกไปนอกห้องแล้วมากกว่า
คิดแล้วจักจี้จนต้องหลับตาปี๋
“ช้อง ๆ ขึ้นไปนอนบนเตียงสิ”
เสียงเตือนข้างหูทำให้ลืมตาพรึบ เห็นเจ้าบ่าวนอนหมดสภาพบนเตียงแล้ว กานดาคนเรียกรีบพยุงให้หล่อนลุกขึ้นไปนอนลงข้างๆ เขา แล้วถอยออกไปเพื่อถ่ายรูปอีกสองสามรูปจนยายมาลัยชวนทุกคนออกนอกห้อง
“เข้าหอแล้วห้ามออกจากห้องจนกว่าจะเช้านะ”
ค่ะ รับรองสว่างคาตาแน่ๆ ช้องนางแค่คิดไม่กล้าบอกไปดังๆ
“ขอให้มีความสุขนะแก ขอให้มีตัวเล็กๆ ไวๆ”
ยายมาลัยทำเสียงขัดจังหวะเพื่อนสนิทอวยพรกัน แล้วชายตามองทั้งคู่เหมือนป้องปราม ก่อนพยักหน้าเรียกกานดาให้เดินตามออกมา ช้องนางยิ้มให้เพื่อนพลางมองประตูห้องที่ค่อยๆ ปิดจนสนิท
เจ้าสาวคนสวยรีบกระโดดลงจากเตียงเพื่อไปล็อกประตู แล้วกระโดดกลับขึ้นมานอนที่เดิม
“ปลอดคนแล้วละ” หล่อนเปรยขึ้นยามมองเพดานใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ แต่รอนานห้องก็ยังเงียบ คนข้างๆ ก็ยังนอนนิ่ง
“พระแสง ไม่ทำอะไรหน่อยเหรอ” โยนหินถามทางไปอีกที
เงียบ
“นี่! อ้าว! เมาหลับเสียแล้ว” ไอ้บ้า