ตอนที่ 19 อย่าแตะต้องแก้วร้าว

1959 Words
ธุระของเกล้ากาญและอัคคีราห์ไม่ได้มีณิชาอยู่ร่วมวงสนทนาด้วย ถึงในอนาคตเธอจะเป็นส่วนหนึ่งในเซียหลง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีอำนาจการตัดสินมากกว่าผู้ชายที่ชื่ออัคคีราห์ อำนาจทั้งหมดของเซียหลงล้วนอยู่ในมือเขาแต่เพียงผู้เดียว.. ณิชาจัดการอาบน้ำอาบท่าแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เรนซื้อมาให้ก่อนกลับ ขืนท่านสาธิตเห็นลูกสาวตัวเองกลับบ้านเช้าในชุดของเมื่อคืน มีหวังโดนเทศนาจนฟ้ามืดแน่นอน ใบหน้าสวยหวานหลุบตาลงอย่างใช้ความคิด ก่อนจะเงยหน้ามองกระจกที่สะท้อนภาพเธอกับเลขาเรนที่ช่วยดูแลเรื่องเสื้อผ้าหน้าผมให้ จากผมเผ้าที่เปียกชุ่มก็ถูกเรนช่วยไดร์ผมพร้อมจัดทรงจนกลับมายาวสลวยเหมือนเดิม “คุณเรน” ณิชาเอ่ยชื่ออีกฝ่ายหลังนั่งเงียบอยู่นาน เพื่อหาจังหวะที่เหมาะสมในการเปิดประเด็น “มีอะไรให้รับใช้คะ” เรนระบายยิ้มอย่างเป็นมิตร “ฉันมีเรื่องอยากรู้นิดหน่อย..” ณิชายิ้มเจื่อน พลางกัดริมฝีปากล่างหลังพูดจบ “อยากรู้” หญิงสาวลูกครึ่งญี่ปุ่นเลิกคิ้วถาม “อยากรู้เรื่องอะไรคะ” “อัคคีราห์เจ้านายคุณน่ะค่ะ..” ช่องไฟในประโยคที่ถูกเว้นว่างไว้ทำให้เรนลุ้นตาม ก่อนคนถามจะเฉลยด้วยน้ำเสียงสดใส จนเรนหัวเราะแห้งตามไปด้วย “มีแฟนอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะคะ” “คะ” “แหม่ ว่าแล้วเชียวต้องเป็นแบบนี้ เขาถึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟตอนที่ฉันบอกว่าเขาไม่เหมาะกับความรักใช่มั้ยคะ” ณิชาดีดนิ้วเสียงดัง เพราะได้คำตอบกับเหตุการณ์ที่อัคคีราห์ชอบขลึงตาโหดใส่เธอแล้ว “แฟนเหรอคะ แฟนคนไหนคะ.. ไม่ใช่ค่ะ คุณอัคคีไม่มีแฟนนะคะ” เรนส่ายหน้า หลังพูดจบประโยคเรนก็รีบยกมือขึ้นตีริมฝีปากตัวเองที่เผลอพูดผิด พลางแยกยิ้มกลบเกลื่อนพิรุธในแววตา เพราะเจ้านายเธอไม่เคยคบใครแบบจริงจัง นอกจากบ้าระห่ำทำงานหลังจากนั้นก็เก็บตัวเงียบอยู่คนเดียวตลอด แต่ก็ใช่ว่าระหว่างนั้นจะไม่มีสาวสวยแวะเวียนเข้ามาในชีวิตเลย พวกเธอเหล่านั้นก็เป็นเพียงสายลมที่พัดผ่านมาครู่เดียวแล้วก็จากไป ใช้ชีวิตแบบนี้จะไปหาแฟนได้จากที่ไหนกันล่ะ “ไม่ต้องโกหกกันหรอกค่ะ ฉันไม่บอกเขาหรอก แค่เก็บไว้อัพเงินเดือนเล่น เผื่อเรียกสักห้าสิบล้าน..” ณิชาพูดแล้วยิ้มอย่างเลศนัย จนเรนต้องรีบโบกมือปฏิเสธแล้วอธิบายยกใหญ่ “ไม่มีจริงๆ ค่ะ แค่เคยมี” “เคยเหรอคะ” “ทุกคนก็ต้องเคยมีแฟนเก่ากันทั้งนั้นแหละค่ะ” “แต่ฉันไม่เคยมีนะคะ” จังหวะเดดแอร์เริ่มต้นขึ้นจากการที่หญิงสาวทั้งสองคนสบตากัน หลังณิชาบอกความจริงเกี่ยวกับชีวิตรักที่แสนเศร้า อันที่จริงก็มีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่แวะเวียนเข้ามาขายขนมจีบ แต่ณิชาไม่ได้ถูกใจพวกเขาถึงขั้นอยากจะคบหา อีกอย่างแต่ละคนที่เข้ามาก็มุ่งเน้นเรื่องบนเตียงกันเสียหมด กระทั่งเธอได้เจอเทียน.. ในสายตาเธอเขาเป็นสุภาพบุรุษที่ยิ้มง่ายแล้วก็ทำขนมเก่ง คอยเป็นที่ปรึกษาและแสดงความเข้าอกเข้าใจในแบบฉบับหนุ่มอ่อนโยน ที่ไม่ว่าสาวคนไหนได้พบเจอก็เป็นอ่อนระทวยทุกราย จนอดเปรียบเทียบกับอัคคีราห์ไม่ได้เลย.. “ต้องเป็นผู้หญิงแบบไหนกัน.. ถึงรักผู้ชายแบบนั้นลงได้” ณิชามุ่นคิ้วเข้าหากันหลังตกลงไปในภวังค์ความคิด แต่ความคิดของเธอดันดังออกมาเป็นเสียงแทน เพราะถ้านิสัยของอัคคีราห์แตกต่างกับเทียนอย่างสิ้นเชิง แฟนเก่าของเขาต้องเป็นผู้หญิงแบบไหนกัน ถึงได้ตกล่องปล่องชิ้นกับผู้ชายที่อารมณ์ร้ายอีกทั้งสีหน้ายังตายด้านอีกต่างหาก “แล้วเธอเป็นคนแบบไหนถึงชอบยื่นจมูกยุ่งเรื่องของคนอื่น” เสียงเย็นเยียบดังขึ้นจากหน้าประตู ทำเอาณิชาสะดุ้งเล็กน้อย พลันใบหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นรู้สึกผิดทันทีที่เห็นว่าอัคคีราห์เข้ามาได้ยินพอดี “เอ่อ คือฉัน..” “ฉันจะไปรอข้างล่าง เสร็จแล้วก็รีบตามลงมา” ณิชาอ้าปากค้างกลางอากาศ เมื่ออีกฝ่ายไม่อยู่รอให้เธอได้อธิบาย เรนระบายยิ้มบางเบาให้ณิชาคลายกังวลใจ ก่อนจะพยักหน้าเชิงให้เธอรีบตามเขาไปดีกว่า สุดท้ายณิชาก็ต้องเก็บข้าวของเธอแล้วเดินตามหลังอัคคีราห์ลงไป ทว่าเมื่อลงมาที่ลานจอดรถ ณิชาก็ได้พบเข้ากับเกล้ากาญที่ยืนพูดคุยบางอย่างกับอัคคีราห์อยู่ ทั้งคู่มีสีหน้าเคร่งเครียดสลับกับรอยยิ้มเล็กๆ แต่ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มยังดูผ่อนคลายมากกว่าอยู่ต่อหน้าณิชา มันเลยทำให้ใบหน้าสวยหงิกงอขึ้นมาทันที เพราะเหมือนว่าจะมีใครบางคนลำเอียง อย่าให้รู้ก็แล้วกันว่าใจดีกับคนทั้งโลก แต่ดันใจร้ายกับเธอแค่คนเดียว หรือที่เขาแสดงทีท่าแบบนั้นเพียงเพราะว่าเธอเป็นลูกสาวตระกูลชีเฟิ่ง หญิงสาวที่ผู้เป็นปู่ฝากฝังไว้กับเพื่อนสนิทให้แต่งงานกับเขา เธอก็เลยถูกมองว่าเป็นภาระแบบนั้นใช่มั้ย “เหอะ” ณิชาที่จ้องอัคคีราห์เขม็งแค่นหัวเราะ แล้วสะบัดหน้าเดินหนีไปที่รถก่อนเขา พอขึ้นมานั่งประจำที่เดิมบนรถนั่นคือเบาะหลัง ณิชาก็อดไม่ได้ที่จะเอี่ยวลำคอหันกลับไปมองอัคคีราห์อีกครั้ง เพราะความอยากรู้ว่าเขาพูดคุยอะไรกับเธอตั้งนานสองนาน “เกตุศริน..” เรียวปากสีระเรื่อพึมพำชื่อหนึ่งที่ติดอยู่บนริมฝีปากออกมา “อะไรนะคะคุณณิชา” เรนมุ่นคิ้วถามหลังได้เสียงใครบางคนงึมงำอยู่ในลำคอ “เกตุศริน” “คะ” “คุณเรนรู้จักผู้หญิงที่ชื่อเกตุศรินมั้ยคะ” สิ้นประโยคคำถามด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้ เรนก็ถึงกับชะงักงันไปชั่วขณะ ไม่ต่างจากชินกรที่รอทำหน้าที่ขับรถให้เจ้านายก็พลอยก้มหน้าปิดปากเงียบด้วยเช่นกัน “ฉันพูดอะไรผิดไปหรือเปล่าคะ” ณิชามุ่นคิ้วด้วยความคิดไม่ตก นึกย้อนไปถึงคำพูดตัวเองก่อนหน้านี้ว่ามีอะไรผิดพลาดไปหรือเปล่า “คุณณิชาเคยได้ยินคำว่าอย่าแตะต้องแก้วที่ร้าวมั้ยคะ” ดวงตาคู่สวยหม่นลงทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงเศร้าของเลขาเรน ดูเหมือนว่าเกตุศรินผู้หญิงที่ณิชาไม่เคยเห็นหน้า จะสร้างบาดแผลบางอย่างไว้ซะแล้ว “ฉันแค่อยากบอกว่ามันบอบบางน่ะค่ะ ขึ้นชื่อว่าแก้ว ความกลัวในใจคนเราก็กลัวว่ามันจะแตกในสักวัน.. เวลาถือก็เลยต้องระมัดระวังมากๆ เลยใช่มั้ยล่ะคะ” เรนใช้น้ำเสียงราบเรียบในการอธิบาย พร้อมทั้งระบายยิ้มให้อีกฝ่ายคลายกังวล "ขนาดแก้วที่ไม่ร้าวเรายังระวังเลยค่ะ แล้วกับเเก้วที่ร้าวล่ะคะ.. เราจะกล้าแตะหรือสัมผัสมันเหรอ" “ฉันขอโทษค่ะ ฉันไม่คิดว่าเขาจะรู้สึกแย่..” “ไม่เป็นไรเลยค่ะ ว่าแต่คุณณิชารู้จักชื่อนี้ได้ยังไงคะ คุณอัคคีบอกเหรอ” เรนรู้ดีว่าอัคคีราห์ไม่มีทางเปรยเรื่องของเกตุศรินกับใคร เพราะงั้นเธอถึงได้โยนหินถามทาง เพื่อจะได้คำตอบจากปากของณิชาเอง “ฉันได้ยินเขาละเมอพูดถึงชื่อนี้น่ะค่ะ เมื่อคืนเขา.. พูดชื่อนี้ออกมา” ณิชาบอกแล้วลอบถอนหายใจเบาๆ “งั้นเหรอคะ อ่า ขอบคุณค่ะ” เรนระบายลมหายใจอย่างโล่งอก “ฉันแค่อยากบอกคุณไว้นะคะ เรื่องนี้อย่าไปพูดกับคุณอัคคีจะดีกว่า” “ได้ค่ะคุณเรน” “ขอบคุณที่เข้าใจกันนะคะ” “เพราะว่าเรา.. ไม่ควรแตะต้องแก้วที่ร้าวใช่มั้ยคะ” เรนไม่ตอบอะไรกลับมา เธอแค่คลี่รอยยิ้มให้แล้วหันกลับไปมองข้างหน้าตามเดิม ณิชาขบเม้มริมฝีปากด้วยสีหน้าเศร้า ถึงจะไม่เข้าใจว่าเรนจะสื่อถึงอะไร แต่มันคงเป็นเรื่องราวเลวร้ายที่อีกฝ่ายไม่อยากให้เธอไปพูดกับอัคคีราห์แน่นอน ถึงว่าแววตาของอัคคีราห์ดูสั่นไหวตอนเข้ามาได้ยิน ต่อให้มันจะเป็นเพียงเสี้ยววินาทีก็ตาม แต่ณิชามั่นใจว่าเธอสัมผัสได้ถึงอารมณ์สีหม่นบนใบหน้าหล่อเหลา เขาต้องเจอกับอะไรมากันแน่.. ระหว่างทางณิชาปิดปากเงียบไม่พูดอะไรสักคำ เธอเอาแต่เหม่อมองไปนอกหน้าต่างด้วยความรู้สึกผิดที่พูดจาแบบนั้นออกไป ทั้งที่เธอจะเมินเฉยต่อสถานการณ์นั้นก็ได้ แต่ทว่า.. ลึกๆ แล้วในใจเธอกลับรู้สึกผิดไม่น้อย แต่ก็ปากหนักเกินกว่าจะอ้าปากพูดคำว่าขอโทษ ผลมาจากที่อัคคีราห์ก็ไม่ได้ทำดีกับเธอสักเท่าไหร่ ถ้าพูดออกไปแล้วเขาหัวเราะล่ะ แบบนั้นจะทำยังไง “ถึงแล้ว” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้น หลังรถหรูจอดอยู่ที่หน้าบ้านเธอพอดี “อ่อ” ณิชากะพริบตาสองสามที เพื่อเรียกสติที่เหม่อลอยให้กลับมาอยู่กับตัว “ฝากสวัสดีคุณอาทั้งสองด้วย บอกท่านว่าฉันมีงานด่วน คราวหน้าจะมาหาด้วยตัวเอง” อัคคีราห์กำชับเสียงเข้ม แต่สายตาไม่ได้มองคู่สนทนาแต่อย่างใด “อื้ม” ณิชาขานรับในลำคอแล้วก้มหน้ามองฝ่ามือตัวเอง จนชายหนุ่มสังเกตได้ถึงความผิดปกติ ค่อยๆ เหลือบสายตามองปฏิกิริยาอันเชื่องช้าของเธอ “มีอะไร” “หะ” “ฉันถามว่ามีอะไรจะพูดหรือเปล่า” ใบหน้าสวยเงยขึ้นสบสายตาคมกริบ ฉับพลันอกข้างซ้ายก็เต้นรัวด้วยความรู้สึกผิด ก่อนจะส่ายหน้าแทนคำตอบแล้วหยิบกระเป๋าตัวเองลงจากรถไปเงียบๆ พอลงจากรถมาณิชาก็ยังไม่เข้าบ้านไปทันที เธอยังคงยืนอยู่ที่ข้างรถของอัคคีราห์ มองผ่านกระจกทึบดำเข้าไปข้างใน หวังว่าเสียงขอโทษในใจของเธอจะสื่อไปถึงเขา กระทั่งเสียงลดกระจกดังขึ้น หญิงสาวที่จ้องมองอยู่ก็ถึงกับเบือนหน้าหนีไปทางอื่นทันที “มีอะไรจะพูดก็พูดมา ประหลาดคน” อัคคีราห์กดสายตามองเธอที่ยืนเงอะงะไม่ยอมเข้าบ้านสักที “ฉัน..” ปกติเธอพูดขอโทษเก่งจะตายไป แต่ไม่รู้ทำไมพอตรงหน้าเป็นผู้ชายอย่างอัคคีราห์ ริมฝีปากมันถึงได้หนักเหมือนมีหินมาถ่วงไว้ยังไงยังงั้น “ไม่มีอะไร” “.....” “ฉันเข้าบ้านก่อนก็แล้วกัน ขอบคุณที่มาส่ง.. แล้วก็.. ขับรถดีๆ” ประโยคฟังดูขาดๆ หายๆ ทำให้อัคคีราห์ถอนหายใจอย่างหงุดหงิด หลังรอฟังว่าเธอจะพูดอะไรจนเสียเวลาไปหลายวินาที ใบหน้าคมคายเรียบเฉยหันกลับไปมองข้างหน้าตามเดิม ก่อนจะสั่งคนให้ออกรถโดยไม่สนว่าหญิงสาวอย่างณิชาจะมีสีหน้ายังไง “เห้อ ทำไมต้องรู้สึกผิดด้วยล่ะ..” ณิชายกมือขึ้นเสยผมอย่างหัวเสีย ยืนคร่ำครวญอยู่คนเดียวคล้ายว่ารำคาญตัวเองไม่ต่างกัน “อ่า ประสาทกลับจริงๆ ใช่มั้ยณิชา ฉันไม่ได้เมาจนหัวกระแทกพื้นหรอกใช่มั้ยเนี่ย.. บ้าชะมัด”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD