สัปดาห์ถัดมา นึกรักถูกย้ายมาทำหน้าที่เลขาหน้าห้องให้กับอังศุธรในฝ่ายประสานงานต่างประเทศ หัวหน้าฝ่ายอย่างอังศุธรไม่มีเลขาส่วนตัวเพราะเขาเองไม่ค่อยจะเข้าบริษัทนักและชอบไปไหนมาไหนคนเดียวเพื่อความคล่องตัว แต่ถึงอย่างนั้นงานในส่วนที่เขารับผิดชอบก็ไม่มีอะไรบกพร่อง จากที่ได้ฟังเรื่องราวของนึกรักจากบิดาเตชะบดีคนน้องก็รู้สึกสนใจและในขณะเดียวกันก็เห็นใจเธอ เมื่อพี่ชายอยากให้เธอย้ายมาทำงานกับเขาเพื่อเลี่ยงไม่ให้เธอต้องตกเป็นเป้าให้มารดาโจมตีเขาก็ไม่มีปัญหาอะไร ถือเป็นการดีที่จะได้มีเลขาสาว ๆ สวย ๆ มาช่วยงานบ้าง แถมจิตรียังช่วยการันตีให้ว่านึกรักเป็นคนเก่งและเรียนรู้งานเร็วมีหรือที่อังศุธรจะปฏิเสธ
ราวสิบเอ็ดโมงเช้าน้องชายที่คลานตามกันออกมาของอหัสกรเดินออกมาคุยงานกับเลขาของเขาที่หน้าห้อง ชายหนุ่มมีใบหน้าละม้ายคล้ายพี่ชาย รูปร่างสูงใหญ่ใกล้เคียงกัน ต่างกันที่อังศุธรมีบุคลิกดูอบอุ่นเป็นมิตรมากกว่าอหัสกรที่ ค่อนข้างเคร่งขรึมและเหมือนจะเข้าถึงยากกว่า
ผู้จัดการฝ่ายประสานงานต่างประเทศอดรู้สึกขอบคุณท่านรองประธานไม่ได้ที่ส่งเลขาคุณภาพมาให้เขา นึกรักเรียนรู้งานเร็ว ทำงานดี และรอบคอบ ไม่รวมถึงภาษาที่ถือว่าดีมากสำหรับคนที่ไม่ได้จบจากประเทศเจ้าของภาษา ที่สำคัญไม่ใช่เลขาที่คอยแต่จะปีนเตียงเจ้านาย อังศุธรรู้สึกเอ็นดูนึกรักเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง
ระหว่างที่กำลังคุยเรื่องจดหมายประสานงานกับคู่ค้า อหัสกรที่ร้อยวันพันปีไม่เคยเดินมาหาน้องชายถึงห้องทำงานเลย กลับปรากฏตัวขึ้น ทำเอาอังศุธรถึงกับหัวเราะด้วยความขบขันในขณะที่ใบหน้าของคนเป็นพี่นั้นเคร่งขรึม แวบหนึ่งที่เขาเหลือบสายตาไปมองหญิงสาวซึ่งเธอก้มหน้าลงทันทีที่เห็นว่าเขาเดินเข้ามา แต่ก็เป็นเพียงกิริยาที่รวดเร็วจนแทบจะสังเกตไม่เห็น แต่ก็ไม่พ้นสายตาของอังศุธร
“ปกติเนี่ยพี่จะไม่แวะมาถึงห้องทำงานผมเลยนะ แล้ววันนี้ลมอะไรหอบมาได้...” อังศุธรยกมุมปากเป็นรอยยิ้มพลางชำเลืองมองไปทางเลขานิดหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่ออย่างรู้เท่าทันอีกฝ่ายว่า “หรือจะแวะมาดูเลขาผม บอกก่อนนะครับว่าให้แล้วให้เลย ผมไม่คืนให้นะ เลขาทั้งสวย ทั้งเก่งแบบนี้ ปล่อยมือไปเสียดายแย่”
คนถูกแขวะทำสีหน้าเรียบเฉยมองสายตาของน้องชายที่เหมือนกำลังจับผิดอะไรเขาอยู่แล้วเอ่ยถามเสียงขรึม ไม่เสียเวลาโต้ตอบเรื่องที่เขาไม่อยากพูดถึงว่า
“เรื่องประสานงานกับดีลเลอร์ที่จีนไปถึงไหนแล้ว”
อังศุธรเลิกคิ้วขึ้นในเชิงไม่คลายความประหลาดใจ ก่อนจะยิ้มกวน
“โอ้ ถ้าจะถามเรื่องงานโทร. มาก็ได้มั้ยครับท่านรอง”
“ฉันโทร. มาทีไรแกก็ไม่เคยอยู่โต๊ะ”
“เอ้า ก็เลขาผมก็รับเรื่องให้ได้นี่ ก่อนหน้านี้ไม่มีแอลคุณวิชิตก็รับเรื่องให้ผมได้นี่ครับ”
“ฉันจะคุยกับแก ไม่ได้คุยกับเลขาแกหรือคุณวิชิต”
“ท่านรองคร้าบ ผมมีมือถือรุ่นล่าสุดสัญญาณคมชัด ทำไมไม่โทร. เข้ามือถือผมล่ะครับ”
น้องชายลากเสียง กวนประสาทพี่ชายปากไม่ตรงกับใจ
“แล้วแกรับสายฉันมั้ยล่ะ หรือกว่าจะรับก็เสียเวลาไปตั้งนาน เดินมาหาเองเร็วกว่า เหมือนที่ฉันเสียเวลาพูดกับแกตอนนี้ไง ถ้าแกไม่โยกโย้คงคุยธุระเสร็จไปแล้ว อ้อ...แล้วไม่ต้องมาย้อนว่าถ้าเดินมาแล้วไม่เจอแกไม่เสียเวลามากกว่าหรือไง ฉันเช็กกับรปภ. แล้วว่า แกเพิ่งเข้ามาเมื่อตอนเก้าโมงสี่สิบห้าแล้วรถแกก็ยังจอดอยู่ที่จอดรถประจำตำแหน่ง”
ความรอบคอบนี้ต้องยกให้ท่านรองประธาน อังศุธรประชดอยู่ในใจ แต่พอพูดจบประโยคร่างสูงของท่านรองประธานที่อุตส่าห์เดินมาหาห้องชายถึงหน้าห้องก็หน้าตึงขึ้นก่อนจะหมุนตัวเดินก้าวเท้าเร็ว ๆ จากไปเหมือนไม่พอใจอะไรขึ้นมากะทันหัน
“อ้าว พี่จะไปไหน ไหนว่ามาคุยงานยังไม่ได้คุยอะไรเลย เฮ้ย พี่โซล”
อังศุธรเดินตามไปสามก้าวก่อนจะหยุดนิ่วหน้ามองแผ่นหลังที่หยัดตรงเดินลับสายตาไปอย่างงง ๆ
“เป็นอะไรของเขาวะ อารมณ์แปรปรวนยังกะผู้หญิงวันแดงเดือด”
น้องชายโคลงศีรษะ หัวเราะเบา ๆ แล้วหมุนตัวเดินมาคุยกับนึกรักที่ก้มหน้าทำงานเงียบ ๆ เหมือนไม่ได้สนใจการมาของเขาตั้งแต่แรก แต่โสตประสาทก็ยังคอยฟังน้ำเสียงที่จำได้ขึ้นใจ ตั้งแต่อหัสกรย้ายเธอมาทำงานไกลหูไกลตาเขาก็ไม่เคยติดต่อหาเธออีกเลย ทำให้นึกรักสรุปกับตัวเองได้อย่างแน่นอนแล้วว่าเงินก้อนนั้นเป็นความรับผิดชอบในเรื่องที่ผ่านมาของเขา
“นี่ตอนที่น้องแอลทำงานกับพี่โซล อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ แบบนี้บ่อยมั้ยครับ”
อังศุธรถามติดตลกไม่ได้จริงจังมากมาย นึกรักเงยหน้าขึ้นมายิ้มตอบแบบกลาง ๆ
“ก็ไม่บ่อยหรอกค่ะ”