เช้าวันจันทร์ เมื่อได้ทำงานประจำแล้วนึกรักก็ต้องปรับเวลาการทำงานของตัวเอง เธอทำงานพิเศษเป็นพนักงานเสิร์ฟอาหารในคืนวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ ซึ่งรุ่นพี่ที่รู้จักกันเป็นคนแนะนำและฝากงานให้ พอเช้าวันจันทร์ก็ต้องเด้งตัวลุกจากที่นอนตามเสียงนาฬิกาที่ตั้งปลุกเอาไว้ ทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยในเวลาอันจำกัด ลงมาเปิดตู้เย็นในครัวหยิบแซนด์วิชออกมากินรองท้องก่อนจะคว้ากระเป๋าเตรียมตัวออกจากบ้านไปทำงาน ร่างโปร่งบางเดินมาหยุดอยู่หน้ากรอบรูปถ่ายของบิดามารดาที่ยิ้มให้กับเธอ นึกรักยิ้มตอบด้วยสีหน้าสดใส เธอรู้ว่าหากเธอทำหน้าเศร้าเอาแต่ร้องไห้คร่ำครวญให้กับโชคชะตาที่พรากท่านทั้งสองไปจากเธอก่อนวัยอันควรก็ไม่เกิดประโยชน์ ท่านคงจะเป็นห่วงหากรู้ว่าชีวิตของเธอเดินหน้าต่อไปไม่ได้ ดังนั้นนึกรักจะไม่ทำให้ท่านทั้งสองต้องเป็นห่วง แม้ชีวิตบนโลกนี้จะเหมือนอยู่คนเดียว ไม่มีญาติพี่น้องที่สนิทใจให้พอพึ่งพิงปรึกษาได้ เพราะทั้งบิดามารดาเป็นลูกคนเดียวทั้งคู่ ตอนนี้ก็มีแต่คุณลุงวีระเท่านั้นที่เข้ามาช่วยดูแล
“แอลไปทำงานก่อนนะคะ ไม่เหนื่อยหรอกค่ะ สนุกดี พ่อกับแม่เป็นกำลังใจให้แอลด้วยนะคะ”
หญิงสาวยิ้มอย่างสดใส ก่อนจะเดินออกจากบ้าน ไม่ลืมล็อกประตูให้เรียบร้อย การเดินทางไปทำงานที่บริษัทของคุณวีระนึกรักต้องนั่งวินมอเตอร์ไซค์จากปากซอยบ้านไปขึ้นรถไฟฟ้าและลงสถานีที่ใกล้กับบริษัทที่สุด แล้วต่อวินมอเตอร์ไซค์อีกทอดหนึ่งไปถึงบริษัท หญิงสาวมาถึงที่ทำงานก่อนเวลาสามสิบนาที จึงมีเวลาแวะซื้อกาแฟขึ้นมาดื่มระหว่างการทำงานในช่วงเช้ากับขนมขบเคี้ยวที่ไม่มีกลิ่น ไม่นานนักจิตรีก็มาถึงเช่นกัน ทั้งคู่กล่าวทักทายกันอย่างคุ้นเคยมากขึ้น เพราะนึกรักมาทำงานได้หนึ่งสัปดาห์แล้ว
จิตรีนำแฟ้มเอกสารงานขึ้นมาเปิด คิ้วสีเข้มที่เพิ่งไปสักมาขมวดขณะเปิดเอกสารตรวจดูความเรียบร้อย และดูแพลนเนอร์
“สิบโมงต้องออกไปพบคู่ค้ากับท่านรอง แล้วก็คงจะทานข้าวเที่ยงข้างนอก น้องแอลก็พิมพ์งานตามที่พี่บอกไปแล้วกันนะคะ”
นึกรักรับคำแล้วถามอย่างสนใจว่า “คู่ค้าเป็นคนไทยหรือต่างชาติคะพี่จิตรี”
“คนจีนจ้ะ นักธุรกิจใหญ่ของจีนเลยล่ะ แต่ก็พูดสื่อสารกันด้วยภาษาอังกฤษ”
“อ้อ ค่ะ”
นึกรักหันไปทำงานของตัวเองที่ได้รับมอบหมายต่อ เธอพิมพ์อีเมลภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วและตรวจทานให้เรียบร้อย ครึ่งชั่วโมงต่อมาผู้บริหารหนุ่มก็มาถึง เลขาหน้าห้องและผู้ช่วยเลขายืนค้อมศีรษะทักทาย อหัสกรพยักหน้ารับพลางชำเลืองสายตาไปที่หญิงสาวที่พอสบตาเขาเธอก็ก้มหน้าลง หลังจากชายหนุ่มเข้าไปในห้องทำงานไม่นานก็เรียกจิตรีเข้าไปพบ เมื่อเลขาสาวใหญ่เปิดประตูออกมาก็บอกกับนึกรักว่า
“แอล ท่านรองให้เข้าไปพบน่ะ”
“คะ?”
นึกรักถึงกับเบิกตากว้างเป็นคำถามกึ่งตกใจกึ่งเกรงกลัว
“รีบเข้าไปสิ”
“ค่ะ”
นึกรักไม่ได้เอ่ยถามอะไรให้มากความอีก เมื่อผู้บริหารเรียกพบพนักงานอย่างเธอก็ต้องเข้าไปพบตามคำสั่ง หญิงสาวเคาะประตูส่งสัญญาณให้คนที่นั่งอยู่ด้านในทราบแล้วจึงเดินเข้าไปหยุดยืนกุมมืออยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม อหัสกรเงยหน้ามอง
“ไปเตรียมตัว ผมจะพาคุณออกไปพบลูกค้าด้วย”
“เอ่อ แต่ดิฉันยังทำอะไรไม่เป็นเลยเกรงว่าจะทำให้คุณเสียงานได้นะคะ”
ผู้บริหารหนุ่มทำหน้าระอา ระบายลมหายใจใส่ บอกเสียงเข้มขึ้น
“ถ้าไม่เริ่ม แล้วเมื่อไหร่จะเป็น จิตรีเตรียมเอกสารให้แล้วไปถามกันเอง อีกครึ่งชั่วโมงจะออกจากบริษัท”
ร่างบางยังยืนมองหน้าเขานิ่ง จนผู้บริหารหนุ่มนิ่วหน้าบอกอีกว่า
“ไปสิ จะมายืนจ้องหน้าผมอยู่ทำไม”
“ค่ะ”
เมื่อรู้ว่าเขาจะพาไปพบลูกค้าหญิงสาวก็ออกมาสอบถามข้อมูลกับจิตรี อีกฝ่ายก็อธิบายถึงหน้าที่ของเลขาที่ต้องติดตามนายไปพบลูกค้าและพยายามให้ข้อมูลให้มากที่สุดเท่าที่เวลาจะอำนวย
นึกรักพยายามจดจำข้อมูลไว้อย่างละเอียดที่สุด ตรวจดูเอกสารที่จะเซ็นสัญญา เมื่อถึงเวลาผู้บริหารหนุ่มก็เปิดประตูออกมาจากห้องทำงาน หันมองที่โต๊ะทำงานเลขาก็เห็นว่าหญิงสาวที่จะพาออกไปด้วยยืนเตรียมความพร้อมรออยู่แล้ว ดวงตาคมฉายแววความพึงพอใจอยู่ลึก ๆ ก่อนจะเดินนำไปก่อน จิตรีจึงพยักหน้าให้หญิงสาวรีบเดินตาม
อหัสกรขับรถไปพบคู่ค้าด้วยตัวเองเมื่อเห็นชายหนุ่มเปิดประตูฝั่งคนขับนึกรักก็รู้ตัวทันทีว่าเธอต้องรีบเปิดประตูเข้าไปนั่งฝั่งผู้โดยสารข้างคนขับโดยไม่รอให้บอก ระหว่างที่นั่งรถไปเธอก็ก้มหน้าดูเอกสาร อหัสกรไม่ได้คาดหวังว่าเธอจะช่วยอะไรได้มากนัก แค่อยากพาออกมาให้พบปะคนในสังคมตามที่พูดเมื่อคืนเท่านั้นเอง และคู่ค้าที่จะไปพบนั้นการเจรจาตกลงผ่านไปเรียบร้อยแล้ว เหลือแค่รายละเอียดอีกเล็กน้อยและลงนามในสัญญาเท่านั้น
เมื่อมาถึงโรงแรมที่นัดหมายอหัสกรเดินไปทางไหนนึกรักก็จะคอยเดินตามโดยเว้นระยะห่างประมาณสามก้าว ดวงตาคมชำเลืองมอง ผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยว่า
“นี่ผมไม่ใช่ปลาทองและคุณไม่ใช่อึปลาทองนะ ที่ไปทางไหนก็ลากตามก้นไปด้วย”
ได้ยินแบบนั้นนึกรักก็ค้อนขวับที่เขาเปรียบเธอเป็นอึปลาทอง จะเปรียบให้มันดูดีกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไง อย่างน้องหมาเดินตามเจ้าของก็ยังดี แล้วเขาก็ไม่มีทางเป็นปลาทองอยู่แล้ว เพราะปลาทองความจำสั้นแต่เขาความจำเป็นเลิศ แค่ทำงานกับเขามาได้เพียงอาทิตย์เดียวก็รู้ว่าเขาช่างจดช่างจำขนาดไหน หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าพยายามสะกดอารมณ์
“ขออภัยค่ะ ดิฉันเกรงว่าจะหลงกับท่านรองแล้วจะทำให้ท่านเสียเวลา”
“จะบอกว่าไม่ได้มีเบอร์ติดต่อกันไว้อีกแล้วสินะ หึ ไม่ได้เรื่อง”
คนที่จ้องแต่จะต่อว่าโคลงศีรษะ เดินนำไป นึกรักกำมือแน่น บอกกับตัวเองว่าต้องอดทน
ห้องรับประทานอาหารส่วนตัวที่จะพบกับคู่ค้านั้นจองไว้เรียบร้อยแล้ว ทั้งคู่มาถึงก่อนเวลาซึ่งเป็นมารยาทที่ดีของเจ้าภาพและเข้าไปนั่งรอด้านใน พนักงานเข้ามาเสิร์ฟน้ำให้แขกอย่างรู้งาน ระหว่างที่นั่งรออหัสกรก็เปิดดูข้อมูลในไอแพด ส่วนนึกรักก็เปิดดูเอกสารสัญญาอีกรอบ ปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบคลุมซึ่งระหว่างนั้นดวงตาคมคู่เดิมก็ลอบชำเลืองดูหญิงสาวพินิจพิจารณาไปทีละส่วน เริ่มตั้งแต่การแต่งตัว หน้าตา รูปร่าง ที่ผ่านมาเขายังไม่เคยมองเธอในระยะใกล้ได้แต่เหลือบตามองผ่าน ๆ ตอนนี้ได้นั่งอยู่ข้างกันตามลำพังจนได้กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ จากตัวเธอลอยออกมา
รสนิยมดีนี่ เมื่อได้พินิจพิเคราะห์ดูแล้วก็เห็นว่าหญิงสาวที่นั่งตรงนี้เพิ่งเริ่มจะเป็นสาวเต็มตัว หน้าเนียนใส ผิวพรรณดี หน้าผากนูน คิ้วเรียวเรียงตัวสวย แน่ล่ะบิดาเขาบอกว่าเธอเพิ่งเรียนจบมาแค่ปีเดียวเองนี่
“มีแฟนหรือยัง”
เสียงทุ้มดังขึ้นทำลายความเงียบ นึกรักเงยหน้าขึ้นสบตาคนถามด้วยความงุนงง
“ยังไม่มีค่ะ”
เธอไม่ได้คิดจุกจิกว่าเขาถามไปเพื่ออะไร จึงตอบตามตรงออกไปเดี๋ยวนั้น
“เชื่อได้แค่ไหน มีก็บอกว่ามีไม่ต้องโกหก”
“แล้วทำไมดิฉันถึงต้องโกหกด้วยล่ะคะ”
“จะไปรู้หรือ ผู้หญิงเดี๋ยวนี้ เวลาผู้ชายถามก็ตอบว่าไม่มีทั้งนั้นจะได้บริหารเสน่ห์ ปะเหมาะเคราะห์ดีก็ได้สปอนเซอร์...”
พูดพร้อมกับใช้สายตามองแบบเหยียดหยาม นึกรักไม่เข้าใจจริง ๆ ว่า ทำไมคนตรงหน้าต้องตั้งหน้าตั้งตาดูถูกเธอนัก
“นั่นไม่ใช่กับดิฉันค่ะ ท่านรองจะเอามาตรฐานของใครคนใดคนหนึ่งมาใช้กับคนอื่นคงจะไม่ได้ เพราะคนเราไม่เหมือนกัน”
เธอตอบแบบที่คิดไม่ได้มีเจตนาจะเถียง แต่อีกฝ่ายกลับคิดไปอีกทาง
“ไม่ต้องมายอกย้อน”
“ดิฉันไม่ได้ยอกย้อนค่ะ ท่านถาม ดิฉันก็ตอบ ถ้าไม่ตอบท่านก็จะตำหนิเอาได้ ถ้าดิฉันตอบสั้น ๆ ไม่มีคำอธิบายท่านก็จะอาจจะไม่พอใจ”
นึกรักอธิบายชัดถ้อยชัดคำ ไม่หลบสายตาที่จ้องมองเธออยู่ด้วย จังหวะนั้นพนักงานห้องอาหารก็เดินนำลูกค้าชาวจีนสามีภรรยาและเลขารวมสามคนเข้ามาในห้องอาหาร อหัสกรและนึกรักลุกขึ้นต้อนรับตามธรรมเนียม นักธุรกิจวัยห้าสิบกลางรูปร่างท้วมมาช้ากว่าเวลานัดหมายเล็กน้อยรีบกล่าวขอโทษเป็นภาษาอังกฤษ
“ผมต้องขอโทษด้วยที่มาช้า รถมีปัญหานิดหน่อย แล้วก็คราวนี้ภรรยาของผมมาเที่ยวเมืองไทยด้วย ผมไม่อยากทิ้งภรรยาไว้ที่โรงแรมคนเดียวเลยพามาด้วยกัน ต้องขอโทษอีกครั้งนะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ”
อหัสกรกล่าวตอบมิสเตอร์ฉีฟู่คู่ค้าคนสำคัญเป็นภาษาอังกฤษเช่นกัน พร้อมกับหันไปยิ้มและค้อมศีรษะให้กับมาดามฉีเพื่อทักทายตามมารยาท อีกฝ่ายก็โค้งตัวและกล่าวคำขอโทษเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงจีน
ชายหนุ่มเชิญแขกทั้งสามนั่ง และเชิญให้สั่งอาหารมารับประทานกันก่อน
“งั้นเราสั่งอาหารกันก่อนแล้วกันนะครับ”
พนักงานเข้ามาเสนอเมนูแนะนำให้ นึกรักสังเกตเห็นมาดามฉีพูดบางอย่างกับเลขาของสามีเพราะมิสเตอร์ฉีฟู่กำลังคุยติดพันกับอหัสกร หญิงสาวที่ฟังพูดภาษาจีนได้ค่อนข้างคล่องเพราะเรียนมาตั้งแต่ตอนมัธยมปลายและในระดับมหาวิทยาลัยได้ยินแว่ว ๆ เหมือนเป็นเรื่องเกี่ยวกับอาหารที่จะสั่ง
“มีอะไรให้ช่วยไหมคะมาดาม”
มาดามฉีที่กำลังกังวลเรื่องอาหารได้ยินหญิงสาวที่น่าจะเป็นเลขาของคู่ค้าของสามีพูดภาษาจีนได้ก็มีสีหน้าดีใจ รวมถึงผู้เป็นสามีและอหัสกรที่ได้ยินเช่นกัน มาดามฉีจึงบอกกับนึกรักว่า อาหารที่สั่งมาขอไม่ใส่ผงชูรสและไม่อยากทานอาหารเผ็ดมากเพราะตอนนี้มีปัญหาเรื่องกระเพาะอาหาร ซึ่งพอสามีได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า เนื่องจากตัวเขาคุยกับอหัสกรจนลืมเรื่องอาหารของภรรยาไปชั่วขณะ
นึกรักรับสารมาแล้วแปลความให้กับพนักงานที่รับออร์เดอร์ฟัง เมื่ออาหารถูกนำมาจัดวางลงบนโต๊ะจึงเป็นที่ถูกปากและถูกใจของทั้งมิสเตอร์ฉีฟู่และมาดามเป็นอย่างมาก
มิสเตอร์ฉีฟู่หันไปพูดกับอหัสกรด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ผ่อนคลายว่า
“เพิ่งรู้ว่าเลขาของคุณพูดภาษาจีนได้ ท่าทางจะเก่งนะ คล่องเชียว”
ชายหนุ่มพยักหน้ายิ้ม สายตาเหลือบมองหญิงสาวที่กำลังหันไปคุยกับมาดามฉี ท่าทางจะคุยกันถูกคอทีเดียว
ระหว่างรับประทานอาหารก็คุยกันด้วยเรื่องทั่วไป พอรับประทานเสร็จก็ต่อด้วยการดื่มชาแล้วคุยรายละเอียดเรื่องงานเพิ่มเติม มาดามฉีถูกใจนึกรักมากสายตาที่มองเธอทั้งชอบใจและเอ็นดู ส่วนนึกรักก็รู้สึกว่าภรรยาของคู่ค้าท่านนี้เป็นผู้ใหญ่ใจดีไม่ถือตัวเลยแม้แต่น้อยจึงพูดคุยและคอยเอาใจใส่โดยไม่ต้องเกร็ง มิสเตอร์ฉีฟู่ซึ่งตอนแรกตั้งใจว่าจะเก็บเรื่องเซ็นสัญญาเอาไปพิจารณาอีกครั้งก็ตัดสินใจเซ็นสัญญาเลยเพราะรายละเอียดเพิ่มเติมที่คุยกันนั้นตรงใจ อีกทั้งมาดามฉีก็สะกิดบอกสามีว่าชอบนึกรักมาก ส่วนอหัสกรนั้นโหงวเฮ้งดีเหมาะจะทำธุรกิจด้วย
ออกจากห้องอาหารอหัสกรเดินคู่มากับมิสเตอร์ฉีฟู่ ส่วนนึกรักกับมาดามฉีเดินคุยกันตามหลังมา สตรีสูงวัยยื่นนามบัตรของเธอให้กับนึกรักไว้เนื่องจากถูกชะตาเป็นการส่วนตัว เมื่อทั้งคู่มาหยุดยืนรอส่งลูกค้ากลับโรงแรมที่พักมาดามฉีก็สะกิดสามีให้ชวนทั้งคู่ไปเที่ยวเมืองจีน
“ภรรยาของผมชอบเลขาของคุณมาก เธออยากเชิญพวกคุณไปเที่ยวที่จีน”
นึกรักค้อมศีรษะยิ้ม อหัสกรตอบว่า
“ถ้าพวกเรามีโอกาสไปจะแจ้งให้ทราบ จะขอรบกวนไว้ล่วงหน้าด้วยนะครับ”
“เราจะยินดีเป็นอย่างมาก”
ส่งลูกค้าขึ้นรถเรียบร้อย ร่างสูงก็หันมาพูดกับนึกรักด้วยสีหน้าไม่ยิ้มไม่บึ้ง เพราะเห็นเธอคุยกับมาดามฉีอย่างถูกคอก็นึกอยากรู้ว่าไปฝึกวิธีเข้าหาผู้ใหญ่แบบนี้มาจากไหน มิน่าเล่าบิดาของเขาจึงได้ดูชอบใจเธอนัก
“ดูเหมือนคุณจะเข้าหาผู้ใหญ่เก่งนะ”
“หมายถึงอะไรคะ” นึกรักทำหน้างง
“จะหมายถึงอะไร ก็วิธีวางตัวต่อหน้าผู้ใหญ่ให้เอ็นดูไง แบบนี้สินะพ่อผมถึงได้เอ็นดูคุณนัก”
นึกรักถอนหายใจรอบที่ร้อย
“ดิฉันเคยไปฝึกงานมาค่ะ ก็พอจะมีโอกาสได้พบแล้วก็ทำงานกับผู้ใหญ่อยู่บ้าง”
เธอบอกตามตรงไม่อยากอธิบายอะไรเพิ่มเติมนัก อีกทั้งการเข้าหาและพูดคุยกับคนที่มีอายุมากกว่าเป็นลักษณะส่วนบุคคล ผู้น้อยบางคนก็ไม่ชอบคุยกับผู้ใหญ่ โดยส่วนตัวแล้วเธอสนิทกับนายนึกคิดผู้เป็นบิดามากเนื่องจากมารดาของเธอนั้นเสียไปตั้งแต่เธออายุได้เพียงเจ็ดขวบแต่ก็จำได้ว่าแม่รัตน์ของเธอนั้นเป็นผู้หญิงที่สวยและใจดีมาก ส่วนเพื่อนข้างบ้านก็มีแต่ผู้ใหญ่อายุรุ่นเดียวกับบิดา เธอไม่ใช่เด็กรุ่นใหม่ที่กลัวผู้ใหญ่
กลับเข้าบริษัทช่วงบ่ายจิตรีก็ถามกับนึกรักถึงงานที่ไปกับท่านรองวันนี้
“เป็นไงบ้างจ๊ะน้องแอล”
“เรียบร้อยดีค่ะ ลูกค้าเซ็นสัญญาเรียบร้อยแล้ว มาดามฉีก็น่ารักมาก คุยสนุก” นึกรักตอบพร้อมรอยยิ้ม นัยน์ตาเป็นประกายสดใสเพราะงานวันนี้ผ่านไปได้ด้วยดี และเธอยังมีโอกาสได้คุยกับผู้ใหญ่ใจดีอย่างมาดามฉีอีกด้วยด้วย
“เออ จริงด้วยพี่ลืมไปเลยว่าน้องแอลพูดภาษาจีนได้ ถูกแล้วล่ะที่ไปกับท่านรองวันนี้เพราะพี่พูดภาษาจีนไม่เป็น”
คุณเลขายิ้มแห้ง ๆ