คุณจิตรีรู้จากตารางงานว่าวันนี้อหัสกรไม่มีนัดออกไปข้างนอก อาหารกลางวันจึงต้องเตรียมไปให้ท่านรองประธานในห้องทำงาน
เวลาใกล้เที่ยงภายในห้องทำงานของผู้บริหารหนุ่มมีเสียงโทรศัพท์ภายในดังขึ้น ชายหนุ่มเอื้อมมือมารับสายโดยไม่ได้หันหน้าไปมองก่อนได้ยินเสียงซุบซิบลอดเข้ามาในสายเบา ๆ พอคนในสายไม่พูดเขาก็เดาได้ทันทีว่าน่าจะเป็นสายจากคนที่นั่งอยู่หน้าห้องและไม่ใช่คุณจิตรีจึงจงใจกระแทกหูโทรศัพท์ลงบนแป้นค่อนข้างแรง ทำให้คนที่กำลังรวบรวมความกล้าจะถามว่า ‘ท่านรอง เที่ยงนี้จะรับประทานอะไรคะ’ ถึงกับสะดุ้งตกใจดึงโทรศัพท์ออกห่างจากหู จิตรีเห็นแบบนั้นก็รู้ว่าหญิงสาวคงโดนกระแทกหูโทรศัพท์ใส่
“ถ้าท่านรองรับสายแล้วต้องรีบพูดนะคะ ท่านทำอะไรเร็วเวลาของท่านเป็นเงินเป็นทอง ท่านไม่ชอบคนที่ทำอะไรชักช้ายิ่งเวลาพูดกระอึกกระอักก็จะหงุดหงิดเอาได้”
“ค่ะพี่จิตรี” รับคำเสียงแผ่ว
เลขาสาวใหญ่ระบายลมหายใจ ส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนเจ้าตัวจะลุกขึ้นเดินเข้าไปถามท่านรองประธานด้วยตัวเอง ถ้าขืนให้โทรศัพท์ไปถามอีกครั้งอาจจะโดนด่ากลับมาแทนที่จะได้คำตอบ
นึกรักนั่งรออยู่ด้านนอก จิตรีหายเข้าไปไม่นานก็เดินหน้าจ๋อยออกมา เพราะโดนตำหนิเช่นกัน เสียงของท่านรองประธานบริษัทยังก้องอยู่ในหู
‘ถ้างานตรงนี้ทำไม่ได้ก็ไล่ให้ไปทำงานส่วนอื่น เสียเวลาผม รำคาญ’
เมื่อแม่บ้านนำอาหารที่เลขาใหญ่โทร. ไปสั่งมาจัดใส่จานให้เรียบร้อยแล้ว นึกรักก็เป็นคนยกเข้าไปเสิร์ฟให้อหัสกรในห้องทำงานตามที่จิตรีมอบหมาย
หญิงสาวเคาะประตูก่อนจะเปิดเข้ามาพร้อมกับถาดอาหารโดยไม่พูดอะไร ชายหนุ่มเหลือบตามองร่างบางที่เดินไปที่โซฟาครึ่งวงกลม ขณะที่หญิงสาวกำลังย่อตัวลงเพื่อจัดวางอาหารลงบนโต๊ะกระจกหน้าโซฟาตามที่จิตรีบอก เสียงเข้มก็พลันดังขึ้น
“เอามาวางที่โต๊ะนี่”
นึกรักชะงักก่อนจะตอบรับเสียงแผ่วเบา ยืดตัวขึ้นยกถาดอาหารไปวางไว้บนโต๊ะทำงานตามคำสั่งให้อย่างไม่ชักช้าเพราะเกรงว่าเขาหงุดหงิดใส่อีก
เขาเหลือบสายตามองเมนูข้าวผัดมันกุ้งที่สั่งไปแล้วตวัดสายตามองคนที่นำอาหารเข้ามาเสิร์ฟซึ่งอีกฝ่ายก็กำลังสบตาเขาอยู่เช่นกัน เสียงหวานเอ่ยถามขึ้น
“ท่านรองจะรับชาหรือกาแฟดีคะ”
“ข้าวยังไม่ได้กิน จะถามถึงชากาแฟแล้วหรือ”
เขาตีรวน จ้องหน้าเธอ นึกรักบีบมือให้กำลังใจตัวเอง ปั้นหน้ายิ้ม เมื่อไม่ได้คำตอบเธอก็ตอบกลับอย่างรู้งาน
“งั้นอีกประเดี๋ยวดิฉันจะเข้ามาถามท่านอีกครั้งนะคะ”
เธอค้อมศีรษะให้ ชายหนุ่มมองหน้าเธอนิ่ง เมื่อเขาไม่เอ่ยอะไรหญิงสาวก็หมุนตัวเดินกลับออกมา ขณะที่รอคนในห้องรับประทานอาหารเธอก็รอแซนด์วิชที่ฝากจิตรีซื้อขึ้นมาให้ เพราะเดาว่าตัวเองคงไม่ได้ลงไปรับประทานอาหารกลางวัน เช่นเดียวกับจิตรีซึ่งปกติต้องรับประทานอาหารบนนี้หากวันไหนที่เจ้านายไม่ได้ออกไปข้างนอก แต่วันนี้มีนึกรักอยู่เลขาสาวใหญ่จึงลงไปที่แคนทีนเพราะต้องลงไปซื้อของใช้บางอย่างด้วย
อหัสกรรับประทานอาหารไปได้ครึ่งจานก็เกิดอยากวางช้อน เขายกน้ำขึ้นดื่มแล้วเหลือบตามองไปที่ประตู เนื่องจากใครบางคนบอกว่าอีกประเดี๋ยวจะเข้ามาถามอีกครั้งเรื่องชากาแฟหลังมื้ออาหารจะได้จัดเตรียมให้ รั้งรออยู่สามลมหายใจก็ยังไม่มีวี่แววจึงตัดสินใจลุกขึ้นเดินออกไปดูจึงเห็นว่านึกรักกำลังคุยโทรศัพท์ เดาจากคำพูดที่เธอพูดจาสนทนาด้วยเดาได้ว่าเป็นบิดาของเขา
“ทานแล้วค่ะคุณลุง ทำงานก็สนุกดีค่ะ ไม่มีอะไรค่ะ เอ่อ แอลขอไปทำงานต่อนะคะ ค่ะ ไม่ต้องห่วงแอลค่ะ สวัสดีค่ะคุณลุง”
คนที่เดินมาหยุดยืนอยู่ข้างพาร์ติชันด้วยฝีเท้าเบากริบได้ยินคำว่า ‘สนุกดี’ ออกจากปากของเธอก็แสยะยิ้มร้ายออกมา
‘สนุกดีงั้นเหรอ ได้’
นึกรักระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ลุกขึ้นยืนดึงเสื้อผ้าของตัวเองให้เรียบร้อย สูดลมหายใจเข้าเพื่อทำใจก่อนจะต้องเดินกลับเข้าไปในห้องนั้นอีกครั้ง แต่พอหันกลับมาก็เกือบจะเผลอร้องอุทานออกมาเมื่อพบร่างสูงยืนหน้าตึง จ้องตาดุอยู่ข้างหน้า
“ท่านรองต้องการอะไรหรือเปล่าคะ”
อหัสกรเบือนสายตาออกแวบหนึ่งก่อนตวัดกลับมาจ้องหน้าเธอแล้วพูดว่า
“ไหนบอกว่าจะเข้าไปถามเรื่องชากาแฟ มัวแต่คุยโทรศัพท์อยู่ได้”
“เอ่อ ขอโทษค่ะ พอดีคุณลุงวีระโทร. มาถามเรื่องงาน แล้วพี่ เอ่อ ท่านรองจะรับชาหรือกาแฟดีคะ”
เขาถอนลมหายใจอย่างแรงทำหน้าเหมือนเอือมระอากับอะไรบางอย่างหนักหนา
“คุณจิตรีไม่ได้บอกคุณไว้ก่อนหรือว่าผมดื่มอะไร”
“ไม่ได้บอกค่ะ แล้วท่านรองจะดื่มอะไรคะ ถ้ารอพี่จิตรีกลับมาจากรับประทานอาหารเกรงว่าจะนาน”
นึกรักตอบเสียงหวานอย่างแสนซื่อ แต่กลับถูกอีกฝ่ายดุกลับมาด้วยถ้อยคำรุนแรง
“โง่หรือเปล่า ทำไมไม่โทร. ไปถาม ต้องรอให้เขากลับมาหรือไงถึงจะถามได้ มือถือมีไว้ทำไม มีไว้ถือหรือมีไว้วางหรือเอาไว้แค่ดูอะไรไร้สาระ มันเอาไว้ทำงานได้ด้วย ไม่ได้มีเอาไว้แชตหรือฉอเลาะอย่างเดียว”
หญิงสาวก้มหน้า บีบมือตัวเองแน่น ตอบเสียงเบา
“ดิฉันยังไม่มีเบอร์มือถือหรือแอดไลน์ของพี่จิตรีค่ะ”
“ไม่รอบคอบ ทำงานด้วยกันต้องติดต่อกันแทบตลอดเวลา ถ้าไม่รู้ขนาดนี้ก็ไปเดินเอกสารไป จะได้ไม่ต้องใช้สมอง”
เจอถ้อยคำดูถูกแบบนี้สาวน้อยก็เกินจะต้านไหว พยายามกลั้นแล้วแต่น้ำตาก็เอ่อขึ้นมาปริ่มที่ขอบตา มือเรียวยกขึ้นปาดออกอย่างรวดเร็วแต่คนที่จ้องหน้าเธออยู่ก็เห็นปฏิกิริยานั้น แต่หาได้มีความสงสารให้
“ถ้าแค่นี้ก็มีน้ำตา ก็ไม่ต้องเอาหน้ามาให้ผมเห็น รำคาญ”
เอ่ยจบร่างสูงก็หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้องพร้อมกับที่เลขาใหญ่เดินกลับมาถึงที่โต๊ะพอดี คุณจิตรีเห็นนึกรักใช้สองมือเช็ดน้ำตาที่รินไหลออกมาก็รีบเข้ามาถาม
“เป็นอะไร ท่านรองว่าอะไรเหรอ นี่พี่ก็รีบขึ้นมาสุด ๆ แล้วนะ”
นึกรักสั่นหน้าสะอื้น “แอลไม่เอาแล้ว ขอไปทำงานอย่างอื่นได้ไหมคะ...ฮึก”
คุณจิตรียกมือลูบต้นแขนหญิงสาวด้วยความรู้สึกเห็นใจ เธอเองก็ไม่รู้ว่าเจ้านายเคยมีเรื่องอะไรกับหญิงสาวหน้าใสคนนี้มาก่อนหรือไม่ ปกติเวลาทำงานผิดพลาดหรือล่าช้าท่านก็ไม่เคยโกรธหรือพูดจาด้วยถ้อยคำรุนแรงขนาดนี้เลย
“ทำงานวันแรกอาจจะยังไม่ค่อยรู้อะไรเท่าไร พี่เองก็ไม่ได้บอกไว้ทุกอย่างเพราะพี่ทำจนชินเลยลืมนึกไปว่าคนอื่นจะไม่รู้ วันนี้ก็นั่งพิมพ์จดหมายกับพี่ไปก่อนก็แล้วกัน”
นึกรักพยักหน้า ถอนสะอื้น ส่วนเรื่องเสิร์ฟเครื่องดื่มหลังอาหารให้ท่านรอง เลขาใหญ่เป็นคนจัดการต่อเอง จนกระทั่งสี่โมงเย็นประตูห้องทำงานของท่านรองประธานบริษัทก็ถูกเปิดออกโดยเจ้าตัว คุณจิตรีลุกขึ้นรอรับคำสั่งส่วนนึกรักก้มหน้าก้มตาพิมพ์งานไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขาอีก
“ผมจะกลับแล้ว”
“ค่ะ ท่านรอง”
ปลายหางตาเหลือบมองไปยังคนที่ก้มหน้าอยู่แวบหนึ่งก่อนจะเมินออกแล้วเดินจากไป จิตรีถึงกับระบายลมหายใจออกมาเบา ๆ หันมาบอกกับเธอว่า
“ท่านรองกลับแล้ววันนี้”
“ค่ะ พี่จิตรี”
นึกรักนั่งทำงานต่อกับจิตรีจนถึงเวลาเลิกงานเธอจึงกลับบ้าน
อหัสกรกลับเข้าบ้านในเวลาสี่ทุ่มเศษไม่คิดว่าบิดาจะรออยู่ เมื่อเห็นเขาเดินเข้าบ้านมาคุณวีระก็เรียกตัวบุตรชายคนโตไว้
“โซลคุยกับพ่อก่อน”
“ครับ คุณพ่อ”
เขาสูดลมหายใจเข้า เบนเท้าที่จะมุ่งตรงขึ้นไปชั้นบนมาทางบิดาที่นั่งรออยู่ สบตาก็พอจะรู้ว่าท่านจะพูดเรื่องอะไร
“น้องทำงานเป็นยังไงบ้าง”
อหัสกรเหยียดยิ้ม บอกกับบิดาอย่างไม่อ้อมค้อมว่า
“คนไม่มีความสามารถไม่ต้องเอามาทำงานกับผม เกะกะ เสียเวลางาน ถ้าจะต้องให้สอนงานใหม่ขนาดนี้ส่งไปอยู่แผนกอื่นแล้วค่อยมาไหมครับ”
“น้องเพิ่งทำงานยังไม่มีประสบการณ์ลูกก็ช่วยใจดีกับน้องหน่อย ให้จิตรีสอนเดี๋ยวก็เก่ง แอลเป็นคนเก่งนะ”
“หึ ดูเหมือนคุณพ่อจะรู้จักเด็กคนนี้ดีนะครับ”
“แอลเป็นลูกสาวของเพื่อนพ่อ แล้วพ่อก็เห็นเธอมาตั้งแต่เด็ก”
“ผมไม่ได้รู้จักเธอเหมือนคุณพ่อ ผมรับคนตามความสามารถ ในเมื่อคุณพ่อบอกว่าให้เธอมาทดลองงาน ถ้าเด็กฝากของคุณพ่อไร้ความสามารถ ผมก็คงให้เธอผ่านงานไม่ได้”
พูดจบเขาก็เดินจากไปโดยไม่รอฟังที่บิดาจะพูดว่าอะไรอีก
เย็นวันเสาร์อหัสกรรู้สึกเบื่อหน่ายและหงุดหงิดใจอย่างหาสาเหตุไม่ได้ จึงตัดสินใจโทร. ชวน ‘ไคร่า’ นางแบบสาวลูกครึ่งตัวท็อปของวงการซึ่งคุยกันมาได้ระยะหนึ่งไปดินเนอร์เผื่ออาการหงุดหงิดที่เกิดขึ้นจะคลายลงได้บ้าง ชายหนุ่มเลือกร้านอาหารรูฟท็อปชื่อดังของโรงแรมหรู เขากับไคร่ายังไม่ได้มีสัมพันธ์ลึกซึ้งแต่ไม่แน่ว่าหากคืนนี้บรรยากาศดีอารมณ์ได้ก็อาจจะเปิดห้องต่อที่โรงแรมซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ไม่เคยทำมาก่อน
“วันนี้นึกครึ้มอะไรขึ้นมาคะคุณโซลถึงได้ชวนไคร่าออกมาดินเนอร์ได้”
นางแบบสาววางคางเรียวแหลมลงบนหลังมือที่ประสานกัน ส่งสายตาหวานฉ่ำซ่อนความยั่วยวนอยู่ในนั้นยามเอ่ยถาม
“ก็คิดถึง”
“ปากหวานจังค่ะ นาน ๆ ทีจะได้ยินคุณโซลพูดจาแบบนี้”
“ก็ผมไม่ค่อยจะพูดกับใคร ถ้าคนนั้นไม่พิเศษจริง ๆ”
น้ำเสียงนุ่มน่าฟังกับสายตาคมที่ดูลุ่มลึกเกินจะหยั่งเสริมเสน่ห์อันน่าค้นหาให้กับผู้ชายคนนี้เป็นอย่างมาก ประกอบกับฐานะชื่อเสียงที่เป็นที่ยอมรับในวงสังคมชั้นสูงหรือที่เรียกว่า ‘ไฮโซ’ ทำให้นางแบบสาวอยากจะเขยิบสถานะจาก ‘เริ่มคุยกัน’ ขึ้นไปอีกขั้น แต่อหัสกรค่อนข้างไว้ตัวและไม่ค่อยมีความสัมพันธ์กับใครง่าย ๆ
“จริง ๆ ไคร่ามีงานต่อตอนเช้าพรุ่งนี้ แต่สามารถเลื่อนได้นะคะ ถ้าสมมติว่าคืนนี้ดื่มหนัก”
จากสายตาและน้ำเสียงของฝ่ายหญิงที่ส่งมาแฝงความนัยเสน่หาอย่างไม่ปิดบัง อหัสกรเองก็เริ่มรู้สึกผ่อนคลายเมื่อมีของสวยงามน่ายลมาอยู่ใกล้ ๆ
“เรื่องนั้นค่อยว่ากันอีกที ผมว่าสั่งอาหารกันดีกว่า”
“ค่ะ”
เสียงดนตรีจากนักเล่นไวโอลินเคล้าคลอเบา ๆ สร้างบรรยากาศรื่นรมย์ให้แขกที่เข้ามารับประทานอาหาร ที่นั่งแต่ละโต๊ะมีระยะห่างกันพอสมควรให้ความเป็นส่วนตัวในการพูดคุย พนักงานทั้งชายและหญิงสวมเชิ้ตแขนยาวสีขาวติดกระดุมถึงเม็ดบนสุดทับในเรียบร้อยกางเกงขายาวสีดำรองเท้าหุ้มส้นสีดำแบบสุภาพและมีป้ายชื่ออยู่บนอกด้านซ้ายคอยให้บริการด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ทว่าขณะที่อหัสกรเงยหน้ากวาดสายตามองไปเรื่อยระหว่างรอคู่ควงคืนนี้เลือกเมนูอาหารสายตาของเขาก็ปะทะเข้ากับพนักงานเสิร์ฟหญิงคนหนึ่งซึ่งใบหน้าคุ้นตา พลันคิ้วหนาเริ่มขมวดจับสายตาไว้ที่พนักงานสาวหน้าสวยละมุนคนนั้นไม่ว่าเธอจะเดินไปตรงจุดไหน จังหวะหนึ่งสายตาของพนักงานคนนั้นก็หันมาปะทะเข้ากับสายตาของเขาที่จ้องมองเธออยู่ก่อนแล้ว สีหน้าของนึกรักเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะปรับให้กลับมานิ่งสงบค้อมศีรษะให้เขาแล้วหันกลับไปทำหน้าที่ดูแลแขกในโซนที่เธอรับผิดชอบต่อไป
“ไคร่าขอเป็นแซมอนย่างเกลือกับอาร์เมเนียนการ์เดนสลัดแล้วกันค่ะ”
เสียงของนางแบบสาวดึงอหัสกรให้ละสายตาจากพนักงานหญิงคนนั้นหันกลับมาที่คู่สนทนา
“ปกติมื้อเย็นไคร่าจะดื่มแต่น้ำผักผลไม้ปั่นที่พี่ฮันนี่เตรียมไว้ให้ แต่ไม่เป็นไรค่ะออกกำลังกายเผาผลาญได้” นางแบบสาวหลิ่วตาด้วยท่าทางหยอกเย้าเมื่อพูดคำว่า ‘ออกกำลังกาย’
มุมปากของอหัสกรยกเล็กน้อยก่อนจะเรียกพนักงานที่ยืนอยู่ใกล้ตัวมารับออร์เดอร์ ระหว่างรออาหารอหัสกรก็ส่งสัญญาณทางสายตาเรียกผู้จัดการห้องอาหารเข้ามาพบในตอนที่ไคร่าลุกไปเข้าห้องน้ำ
“ท่านต้องการอะไรเพิ่มเติมหรือครับ”
ผู้จัดการห้องอาหารซึ่งรู้จักและจดจำแขกวีไอพีได้ดีกล่าวด้วยรอยยิ้มเต็มใจให้บริการ อหัสกรเหลือบสายตามองไปยังบริกรสาวคนนั้นก่อนจะบอกว่า
“ให้เธอมาบริการโต๊ะผม”
ผู้จัดการหันมองคนที่แขกต้องการให้มาบริการ ก่อนจะหันกลับมาโค้งตัวยิ้ม จากนั้นจึงเดินเข้าไปพูดอะไรบางอย่างกับนึกรัก สีหน้าของเธอแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อยพร้อมกับหันมองมาทางอหัสกร ทว่าเขากลับมองไปทางอื่น
“ค่ะผู้จัดการ”
ลูกจ้างที่ไม่มีสิทธิ์เลือกอย่างเธอน้อมรับคำสั่ง ครั้นหญิงสาวในชุดเครื่องแบบพนักงานเดินมาหยุดอยู่ใกล้เยื้องกับชายหนุ่มเสียงหวานก็เอ่ยถาม
“คุณผู้ชายต้องการอะไรเพิ่มเติมหรือเปล่าคะ”
ลูกค้าที่เมินหน้าไปทางอื่นในคราแรกหันมามองหน้าเมื่อถูกถาม สายตาที่ว่างเปล่าเฉยชาเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นเข้มขึ้นแล้วเอ่ย
“เงินเดือนที่ทำงานในบริษัทมันน้อยไปหรือไงถึงต้องมาทำงานเสริม อ้อ ลืมไปว่าเงินเดือนคุณพ่อผมเป็นคนจ่ายให้ ปกติพ่อผมไม่ใช่คนตระหนี่นะ แต่ดูท่าว่าที่ให้คงจะยังไม่พอเลยต้องมาหาคนสนับสนุนเพิ่ม”
นึกรักสูดลมหายใจเข้า สบตากับเขาแล้วตอบอย่างสุภาพ
“เงินเดือนที่คุณลุงให้เพียงพอต่อการดำรงชีพของดิฉันค่ะ และงานนี้ดิฉันทำมาตั้งแต่ก่อนที่จะเข้าไปทำงานในบริษัทเตชะกิจแล้ว ดิฉันมาทำงานที่นี่เพื่อให้มีสังคม ได้เรียนรู้และรู้จักปรับตัว ไม่ได้มาหาคนสนับสนุนอย่างที่คุณผู้ชายกรุณาวิเคราะห์ และดิฉันมีความรับผิดชอบ แม้ว่าจะมาทำงานที่นี่แต่ดิฉันก็สามารถไปทำงานที่บริษัทได้ตรงตามเวลาแน่นอนค่ะ”
“หึ” คนฟังแสยะยิ้มมุมปาก เป็นจังหวะเดียวกับที่ไคร่าเดินกลับมาที่โต๊ะและพอดีกับที่อาหารมาเสิร์ฟ
“มาแล้วค่ะคุณโซล”
ร่างบางแบบมีทรวดทรงก้าวเข้ามานั่งที่เก้าอี้ เหลือบสายตามองบริกรหญิงคนใหม่ด้วยแววตาเหยียดเล็กน้อยก่อนจะหันมายิ้มกับผู้ชายตรงหน้า ขณะที่นึกรักกำลังจะวางจานสลัดลงตรงหน้าไคร่า จู่ ๆ นางแบบสาวก็ยกมือขึ้นมาและกระแทกเข้ากับจานอาหาร ผักสลัดสีสวยส่วนหนึ่งกระเด็นตกลงมาโดนชุดเดรสสั้นสีครีมและต้นขาของนางแบบสาว
“ว้าย”
ไคร่าโวยวายแล้วลุกขึ้นยืนใช้มือปัดผักสลัดที่ตกใส่กระโปรง ก่อนจะตวัดสายตาขุ่นขวางมองหน้าบริกรสาวพร้อมกับต่อว่า
“เพิ่งมาทำงานที่นี่หรือไง ถึงได้เสิร์ฟไม่ระวังแบบนี้ ชุดของฉันเสียหายหมด ไปเรียกผู้จัดการมา”
“ขอโทษค่ะคุณผู้หญิง ดิฉันขอโทษจริง ๆ”
นึกรักกุมมือโค้งตัวกล่าวคำขอโทษ แต่เหมือนไคร่าจะไม่ยอมง่าย ๆ
“เธอรู้ไหมว่าชุดนี้ของฉันเท่าไหร่ แบรนด์อะไร เงินเดือนเธอทั้งเดือนยังซื้อไม่ได้เลย”
แทบจะเป็นประโยคคลาสสิกที่พนักงานเสิร์ฟเกือบทุกคนได้ยินเมื่อเกิดเรื่องผิดพลาดแบบนี้ขึ้น
“คุณไปเช็ดรอยเปื้อนในห้องน้ำก่อนเถอะไคร่า เรื่องแค่นี้ไม่ต้องวุ่นวายไปหรอก เดี๋ยวผมซื้อชุดใหม่ให้คุณเอง ถ้าอยากได้กระเป๋าเพิ่มอีกสักใบก็บอกมา”
อหัสกรรู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่อุบัติเหตุเพราะเขามองนึกรักตลอดเวลาและเห็นไคร่าจงใจยกมือขึ้นขณะที่บริกรสาวกำลังจะวางจานอาหารลงบนโต๊ะ แต่เขาไม่ได้คิดจะหักหน้าคู่ควง นางแบบสาวฮึดฮัดทำท่าจะไม่ยอม แต่พอเห็นสีหน้าแววตาของผู้ชายที่ดูเหมือนจะไม่เข้าข้างเธอดึงดันไปก็มีแต่จะเสีย เซนส์ของเธอบอกว่าอหัสกรกำลังให้ความสนใจกับสาวเสิร์ฟคนนี้มากกว่าปกติจึงทำให้ไคร่ายิ่งไม่พอใจ ผู้จัดการห้องอาหารรีบเดินเข้ามาเมื่อเห็นสิ่งผิดปกติ
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ไม่มีอะไรครับ ทุกอย่างเรียบร้อยดี”
ชายหนุ่มเป็นคนตอบแล้วมองไปยังไคร่า เจ้าตัวแบะปากก่อนจะสะบัดหน้าเดินไปเช็ดคราบสกปรกในห้องน้ำอีกครั้งแล้วกลับมานั่งรับประทานอาหารแบบไม่สบอารมณ์นัก เดิมที่คิดว่าอาจจะเปิดห้องของโรงแรมหลังรับประทานอาหารเสร็จก็กลายเป็นแยกย้าย โดยฝ่ายชายเองเป็นคนออกปากปฏิเสธ
เลิกงานประมาณเที่ยงคืนเศษนึกรักเดินออกมาทางด้านหลังของโรงแรมเพื่อจะเรียกแท็กซี่จากแอปพลิเคชันกลับบ้านซึ่งเป็นปกติเพราะรถสาธารณะอื่นส่วนใหญ่ปิดให้บริการไปแล้ว
อหัสกรจอดรถรออยู่ใกล้กับทางเดินด้านหลังของโรงแรมเพราะได้ข้อมูลมาว่าหลังเลิกงานพนักงานจะต้องเดินออกทางด้านนี้เท่านั้น พอเห็นหญิงสาวที่รออยู่เดินออกมาเขาก็เปิดประตูลงจากรถตรงไปหาเธอทันที
“เดี๋ยว”
เสียงเข้มที่ดังขึ้นจากอีกด้านหนึ่งทำให้นึกรักที่ตั้งหน้าตั้งตาเดินถึงกับสะดุ้ง เมื่อหันไปมองก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าเป็นเขา เท้าเล็กเตรียมจะเบนฝีเท้าเดินเลี่ยงไปทางอื่นแต่ก็ไม่ทันเพราะร่างสูงเดินมาหยุดขวางหน้าเธอเสียก่อน ดวงตาที่ฉายแววดุไม่จางจ้องหน้ายามถามว่า
“จะกลับบ้านใช่มั้ย เดี๋ยวไปส่ง มันดึกมากแล้ว”
“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันกลับเองได้”
นึกรักปฏิเสธโดยไม่ต้องหยุดคิด คิ้วเรียวขมวดพลางคิดในใจว่า ‘ไม่ได้ญาติดีกันเสียหน่อย จะอยากไปส่งเราทำไม หรือจะอยากด่าเราที่ทำให้แฟนเขาไม่พอใจ’
ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าเมื่อถูกปฏิเสธ พยายามใจเย็นแล้วบอกเหตุผล
“มันดึกแล้วอันตราย ผมไปส่งเอง”
“ดิฉันกลับแบบนี้ประจำอยู่แล้วค่ะ ไม่มีอะไรหรอก”
“ผมหวังดีนะ ถ้าพ่อผมไม่ฝากให้ดูแลคุณ คิดหรือว่าผมจะทำแบบนี้ อ้อ...หรือกลัวว่าผมจะทำอะไรคุณ...”
ชายหนุ่มกวาดตามองเธอตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าแล้วกลับขึ้นมาใหม่ นึกรักขมวดคิ้วแน่นขึ้นด้วยความประหลาดใจและกลายเป็นความไม่พอใจเพราะสายตาดูถูกของเขา ไม่ชอบใจ รังเกียจ ก็ไปอยู่ห่าง ๆ ไม่ดีกว่าหรือ จะมาตื๊อไปส่งเธอทำไม
“แล้วท่านรองไม่ต้องไปส่งแฟนหรือคะ” หญิงสาวกลั้นใจโต้ตอบเพราะหากพูดจาไม่ดีออกไปจะส่งผลเรื่องงานที่บริษัทของคุณลุงได้
“คุณจะยึกยักอีกนานมั้ย ไม่ต้องพูดมาก แล้วก็ไม่ต้องคิดอะไรด้วยเพราะผมไม่ได้คิดอะไรกับคุณทั้งนั้น ถ้าคุณเป็นอะไรไปพ่อผมจะมาตำหนิผมเอาได้ ขึ้นรถ”
มือหนาฉวยข้อมือเล็กไว้หลวม ๆ ก่อนจะออกแรงเพียงเล็กน้อยดึงร่างเธอให้ตามมา นึกรักขัดขืนหน้ามุ่ยพยายามขืนตัวไว้แต่สู้แรงเขาไม่ได้จึงจำใจต้องเดินตามเขาไปอย่างไม่เต็มใจ เมื่อมาถึงรถอหัสกรก็เปิดประตูแล้วดันร่างเล็กบางให้เข้าไปนั่งในรถ
ทันทีที่ประตูฝั่งคนขับปิดลงเจ้าของรถก็หันมาสั่งสั้น ๆ
“บอกทางด้วย”
ตีหนึ่งกว่าเมอร์เซเดสเบนซ์คันหรูก็มาจอดอยู่หน้าบ้านชั้นเดียวหลังเล็กกะทัดรัด มีรั้วรอบขอบชิดแต่ก็มีบางส่วนที่ชำรุด อหัสกรมองเข้าไปในบ้านที่มืดสนิทมีเพียงแสงสว่างของหลอดไฟตรงประตูเท่านั้นก่อนจะหันมาถาม
“นี่บ้านคุณเหรอ”
เสียงหวานใสดังขึ้นเพียงแค่ว่า “ขอบคุณค่ะ”
นึกรักจะเปิดประตูลงจากรถ แต่ก็ถูกมือหนาดึงต้นแขนอีกข้างไว้
“เดี๋ยว”
หญิงสาวหันกลับมานิ่วหน้ามอง
“อยู่คนเดียวอันตราย ทีหลังอย่ากลับดึกขนาดนี้ ก็บอกว่าเงินพอใช้ ส่วนเรื่องมีสังคมอะไรนั่นไม่เห็นจะจำเป็นในเมื่อคุณก็ทำงานที่บริษัท สังคมก็มีอยู่แล้ว ต้องเรียนรู้ต้องปรับตัวเหมือนกัน ไม่ได้ work from home เสียหน่อย หรือว่าที่มาทำงานแบบนี้จริง ๆ คือตั้งใจจะออกมาล่อแมลงตัวผู้”
ได้ยินคำพูดแบบนี้อีกแล้ว นัยน์ตาของหญิงสาววาววับด้วยความขุ่นเคืองที่ไม่อาจเก็บซ่อนเพื่อรักษามารยาท เขาดูถูกเธอครั้งแล้วครั้งเล่า
“พูดไปก็เปล่าประโยชน์ คนลองมีอคติใครพูดยังไงก็ไม่ฟังอยู่ดี”
อหัสกรจ้องหน้าเธอนิ่งไปอึดใจ
“ได้ ถ้าคุณอยากมีสังคมเดี๋ยวผมจัดให้ เตรียมตัวไว้ด้วยก็แล้วกัน”
ก่อนจะปล่อยมือออกจากต้นแขนเรียวเล็กดูเปราะบางที่เขากุมไว้ให้เธอลงจากรถ เปิดประตูเข้าไปในบ้าน ชายหนุ่มรั้งรออยู่อีกครู่ใหญ่จนแน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยจึงได้เคลื่อนรถออกไป