เด็กฝาก...1

2482 Words
อหัสกร เตชะบดี ก้าวเข้ามาในห้องทำงานบนชั้นที่ยี่สิบสี่ของอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ย่านธุรกิจ นาฬิกาเรือนหรูที่ประดับอยู่ที่ข้อมือซ้ายบอกเวลาเก้านาฬิกาพอดี เขามักจะมาถึงที่ทำงานซึ่งเป็นบริษัทของครอบครัวเตชะบดีในเวลาไม่เกินเก้าโมงเช้า จิตรีเลขานุการมากประสบการณ์อายุต้นสี่สิบนำกาแฟเข้ามาเสิร์ฟให้รองประธานบริษัทผู้เป็นเจ้านาย ชายหนุ่มเพียงพยักหน้าให้เป็นการขอบคุณเหมือนทุกครั้ง หลังจากนั้นประมาณสิบนาทีก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบา ๆ สามครั้ง ก่อนคนที่อยู่ด้านนอกจะเปิดเข้ามา คราแรกอหัสกรไม่ได้เงยหน้ามองในทันทีกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าและน้ำเสียงที่คุ้นหูดังขึ้น “โซล” ‘โซล’ หมายถึงดวงอาทิตย์ในภาษาสเปน และตรงกับชื่อจริงของอหัสกร สิ้นเสียงทักใบหน้าคม หล่อเหลา สะอาดตาจึงเงยหน้าขึ้น คิ้วหนาเลิกขึ้นเล็กน้อยก่อนริมฝีปากหยักจะยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม “คุณพ่อ เราเพิ่งเจอกันเมื่อเช้า จะเข้ามาบริษัทไม่เห็นบอกผมเลยครับ” ชายวัยหกสิบกลางยิ้มให้ลูกชายคนโตซึ่งตอนนี้เข้ามานั่งแท่นเป็นผู้บริหารมีอำนาจสูงสุดแทนตนเองได้แล้ว แม้ตำแหน่งของลูกชายจะยังเป็นรองประธาน ทว่าอำนาจการตัดสินใจทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับอหัสกร ซึ่งเรื่องนี้กรรมการบริหารทุกคนทราบดี “ก็ไม่มีอะไรมากหรอก พ่อมีเรื่องจะคุยกับลูก เลยอยากมาเอง” “คุณพ่อมีอะไรหรือครับ ทำไมไม่คุยที่บ้าน” ร่างสูงที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานปรับอากัปกิริยาในท่วงท่าสบาย เอนหลังพิงพนักเก้าอี้คุยกับบิดา “นี่เจ้าซันเข้าบริษัทหรือยัง” บิดาถามถึงลูกชายคนเล็ก อังศุธรหรือซัน น้องชายของเขา “ไม่ทราบเหมือนกันครับ” ชายหนุ่มไหวไหล่ ดูไม่ได้สนใจกับน้องชายนัก “อืม ไม่เป็นไรหรอก พ่อตั้งใจมาพูดกับลูกแค่คนเดียวอยู่แล้ว” “คุณพ่อมีเรื่องอะไร” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ดวงตาคมมองดูสีหน้าของบิดา คาดว่าคงเป็นเรื่องสำคัญ ไม่อย่างนั้นบิดาคงไม่เข้ามาที่บริษัท คุณวีระที่ยังคงดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริษัทผลิตนำเข้าและส่งออกชิ้นส่วนและอะไหล่รถยนต์ที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศมองหน้าลูกชายคนโตอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า “พ่ออยากจะฝากน้องแอลให้มาทำงานกับโซล” เมื่อได้ยินประโยคนี้ ผู้บริหารหนุ่มวัยสามสิบสามปีถึงกับเลิกคิ้ว “น้องไหนอีกครับคุณพ่อ ผมยังมีน้องนอกจากเจ้าซันด้วยหรือครับ” คราวนี้คุณวีระยิ้ม เดินไปเปิดประตูให้กับ ‘น้อง’ ที่ตนเองหมายถึงให้เข้ามาในห้อง สายตาของอหัสกรจ้องมองตามและเห็นผู้หญิงรูปร่างบอบบางในชุดสูทสีครีม กระโปรงยาวคลุมเข่า รองเท้าหุ้มส้นแบบเรียบสีน้ำตาลเข้มสูงสองนิ้ว ทำผมเปิดหน้าเรียบร้อยเดินก้มหน้าตามหลังบิดาเข้ามา “นี่แอล ลูกสาวของเพื่อนสนิทพ่อเองที่เคยบอกกับลูก ตอนนี้น้องเรียนจบแล้ว พ่อเลยอยากให้น้องมาทำงานกับลูก... แอล นี่พี่โซล ลูกชายคนโตของลุงที่เคยเล่าให้ฟัง” จบคำใบหน้าที่ก้มต่ำจึงเงยขึ้นสบตา อหัสกรเคยได้ยินชื่อนี้จากปากของบิดาผ่านหูสองสามครั้งว่า ‘หนูแอล’ แต่ยังไม่เคยเจอสักครั้ง และไม่ได้คิดอยากจะเจอแม้แต่นิดเดียว อีกทั้งเขายังไม่แน่ใจว่าผู้หญิงคนนี้เป็นลูกสาวของเพื่อนบิดาจริง ๆ หรือว่าเป็นอย่างอื่น แอลหรือ ‘นึกรัก’ พิสุทธิ์พงษ์ อายุยี่สิบสามปี เป็นหญิงสาวนัยน์ตากลมโต ขนตาหนางอนยาว คิ้วเรียว จมูกเล็กโด่ง ปากอิ่ม เธอมีหน้าตาสวยหวานเป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำแบบความงามตามสมัยนิยมทำให้คนที่เห็นสะดุดตา แต่คงไม่ใช่กับผู้ชายที่มีสายตาคมดุคนนี้ นึกรักพนมมือไหว้ลูกชายคนโตของคุณลุงที่ให้ความช่วยเหลือเธอมาตลอดตั้งแต่เสียบิดาไปในอุบัติเหตุครั้งนั้น หากไม่มีคุณลุงวีระชีวิตของเธอคงต้องประสบชะตากรรมไม่ต่างจากเด็กกำพร้าไร้ที่พึ่งคนอื่น ๆ ตอนที่เธอสอบเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยชื่อดังของรัฐได้คุณลุงวีระก็บอกไว้ว่าเมื่อเรียนจบจะให้เธอเข้ามาทำงานที่บริษัทของท่านซึ่งเธอก็ยินดีและเต็มใจ เพราะอยากใช้ความรู้ความสามารถเท่าที่มีตอบแทนพระคุณของคุณลุงผู้ใจดี แต่เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าบริษัทของคุณลุงจะใหญ่โตขนาดนี้ “สวัสดีค่ะพี่โซล” ได้ยินคำว่า ‘พี่’ คนที่ไม่มีน้องสาวถึงกับเบือนหน้าหนีไปแสยะยิ้มก่อนจะหันกลับมาจ้องหน้าบิดาและหญิงสาว “ผมมีแต่น้องชาย ไม่มีน้องสาว” ประโยคปฏิเสธแบบไม่ถนอมน้ำใจดังขึ้น นึกรักถึงกับหน้าเสีย มือกระชับกระเป๋าแน่น ก้มหน้าลงทันที คุณวีระจึงเอ่ยขึ้นว่า “ทำไมพูดกับน้องแบบนั้นล่ะโซล เราเป็นผู้ใหญ่เป็นเจ้านายคนต้องรู้จักใช้คำพูดนะลูก ช่วยรับน้องเข้าทำงานด้วย ถือว่าพ่อขอก็แล้วกัน” อหัสกรอยากจะเบ้ปากใส่บิดา ‘คุณพ่อดูจะใส่ใจผู้หญิงรุ่นลูกคนนี้เหลือเกิน ทีกับคุณแม่ไม่เห็นจะเอาใจใส่จนที่สุดต้องแยกบ้านกันตอนอายุมากแล้วแบบนี้ แล้วนี่ยังจะเอาเข้ามาฝากงานอีก ก็อยากจะเชื่อนะว่าคุณพ่อเอ็นดูเด็กนี่ในฐานะผู้อุปการะ แต่ที่ช่วยไม่รู้จบนี่ดูจะมากเกินไปหน่อยแล้ว’ แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่พูดว่า “จะให้ผมรับเข้าทำงานนี่ ผ่านขั้นตอนการสมัครงานหรือยังครับ คุณพ่อก็รู้ว่าผมไม่ชอบเรื่องเด็กฝากเพราะจะเสียระบบการปกครอง แล้วยิ่งทำงานไม่เป็นด้วยก็ยิ่งจะเป็นที่ครหาทำให้เสียชื่อโดยใช่เหตุ” คุณวีระผู้เป็นบิดาโคลงศีรษะ มองหน้าลูกชาย ก่อนจะอธิบายอย่างใจเย็น “แอลเป็นเหมือนลูกสาวของพ่อคนหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องทำตามขั้นตอนอะไรพวกนั้น เอาเป็นว่าให้น้องได้ทดลองงานก่อน ส่วนเรื่องเงินเดือนช่วงทดลองงานพ่อจ่ายให้แอลเองไม่ต้องใช้เงินของบริษัทจะได้ไม่ยุ่งยาก ถ้าทำได้ดีจะรับเข้าเป็นพนักงานเต็มตัวก็ค่อยว่ากันอีกที” บิดาถึงกับใช้เงินส่วนตัวจ่ายให้ผู้หญิงคนนี้เพื่อให้เขารับเข้าทำงานที่นี่ ชายหนุ่มใช้สายตากวาดมองร่างบอบบางที่ยืนก้มหน้าเยื้องไปทางด้านหลังของบิดาอีกครั้ง สีหน้าไม่แสดงความรู้สึกภายในออกมา ก่อนจะสบตาบิดาและไม่ได้พูดอะไรอีก เมื่ออหัสกรไม่ได้ปฏิเสธคุณวีระจึงถือว่านั่นคือการตอบรับ คุณวีระพานึกรักกลับออกมาจากห้องทำงานของลูกชายด้วยสีหน้าผ่อนคลาย หันมายิ้มให้กำลังใจหญิงสาวด้วยสายตาหวังดีแล้วบอกว่า “ลุงกลับก่อนนะลูก พี่เขาให้เราทำงานแล้วลุงก็หมดห่วง อย่ากลัวพี่เขาเลย ตาโซลก็เป็นแบบนี้แหละ พนักงานหลายคนถึงได้เกรงไง ยกเว้นคุณจิตรี” ท่านประธานหันไปยิ้มกับเลขาที่เคยทำงานด้วยกันมาก่อน ฝากฝังหญิงสาวให้จิตรีช่วยดูแล “ยังไงก็ฝากสอนงานให้ด้วยนะครับคุณจิตรี ” “ค่ะ ท่านประธาน” คุณวีระแยกตัวไปโดยปล่อยให้นึกรักเริ่มศึกษางานวันแรกกับเลขาที่ไว้ใจ ความเงียบสงบเข้าปกคลุมในห้องทำงานของผู้บริหารหนุ่มได้ไม่ถึงยี่สิบนาทีก็ถูกรบกวนด้วยเสียงเคาะประตูอีกครั้ง ก่อนที่หญิงสาวที่เป็นเด็กฝากของบิดาจะเดินกอดแฟ้มเอกสารเข้ามา ใบหน้าหญิงสาวก้มต่ำตลอดเวลาเพราะไม่กล้าเงยหน้าสบกับดวงตาคมดุคู่นั้น เมื่อร่างบางเดินมาหยุดที่หน้าโต๊ะทำงานจึงค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมอง ตากลมโตใสกระจ่างจึงสบเข้ากับดวงตาคมกริบที่จ้องอยู่ก่อนแล้ว นึกรักถึงกับใจสั่นด้วยความหวั่นกลัว ทำไมพี่โซลที่คุณลุงวีระบอกว่าใจดี ตัวจริงไม่เห็นจะเหมือนที่คุณลุงเคยบอกไว้สักนิด “มีอะไร” คนหน้าเข้มเอ่ยถามเสียงติดห้วนขึ้นมาก่อน ดวงตายังไม่ละออกจากใบหน้านวลหวาน ถึงจะตัดสินไปแล้วด้วยอคติส่วนตัวว่าไม่ชอบหน้าแต่เขาก็ไม่อาจละสายตาไปจากเธอ ใจหนึ่งอยากจะกลั่นแกล้ง หญิงสาววางเอกสารลงตรงหน้าชายหนุ่มเบา ๆ แล้วบอกเสียงอ่อน น้ำเสียงของเธอไพเราะน่าฟัง “คุณจิตรีให้นำเอกสารมาให้...เอ่อ พี่โซลเซ็นค่ะ” “บอกแล้วไงว่าผมไม่มีน้องสาว กรุณาใช้คำเรียกให้เหมือนคนอื่นด้วย” นึกรักลอบสูดลมหายใจเข้า ก้มหน้าลง ลดมือมาประสานกันถามกลับเบา ๆ ว่า “แล้วคนอื่นเรียกคุณว่าอะไรคะ” เสียงหวานใสถามอย่างระมัดระวัง “ท่านรองประธาน” เขาบอกเสียงห้วน “ค่ะ ท่านรองประธาน” อหัสกรพยักหน้าด้วยความพอใจ ในจังหวะนั้นสายตาของเขาก็กวาดมองเรือนร่างที่อยู่ภายใต้ชุดทำงานที่เรียบร้อยมิดชิดของเธอราวกับกำลังประเมินสิ่งของ ดูเหมือนรูปร่างเธอจะบอบบาง แต่มีส่วนเว้าส่วนโค้งให้เห็นค่อนข้างชัดเจนแบบพอเหมาะพอดี ส่วนที่นูนเด่นก็มีไม่มากไม่น้อย ชายหนุ่มประเมินด้วยสายตาอย่างผู้ชำนาญ “แล้วเอาอะไรเข้ามาให้ผมเซ็น” “ไม่ทราบค่ะ พี่จิตรีบอกว่าให้นำมาเสนอให้ท่านรองเซ็นแต่ไม่ได้บอกอะไร” “ด่วนหรือเปล่า” “ไม่ทราบค่ะ” คราวนี้สีหน้าชายหนุ่มดูหงุดหงิด เอ่ยเสียงเข้ม “แล้วทำไมถึงไม่ถามคุณจิตรี ไม่รู้หรือไงว่าถ้าไม่ใช่เรื่องด่วนก็ต้องรอรวบรวมเสนอเซ็นตอนบ่าย ถ้าไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไรก็เอาออกไป” นึกรักหน้าเสียคอหด เมื่อเสียงเขาดังขึ้นอีกระดับ “ถ้าอย่างนั้นก็คงจะด่วนค่ะ พี่จิตรีให้นำเข้ามาตอนนี้คงจะเป็นเรื่องด่วนค่ะ” “ถ้าคุณใช้คำว่าคงจะ อีกหน่อยผมคงได้เสียหายหลายพันล้านเพราะความไม่รู้และอาศัยการคาดเดาของคุณ” ดวงตากลมหวานพลันเหลือบมองเข้าไปในดวงตาอีกคู่ เห็นแต่ความไม่พอใจและความรู้สึกไม่ชอบหน้า “เอาออกไปถามให้รู้เรื่อง” “ค่ะ ท่านรองประธาน” นึกรักรับคำยื่นมือมาเก็บแฟ้มเอกสารกลับมากอดไว้ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ว่ามีสายตาคู่หนึ่งมองตามแผ่นหลังของเธอไปจนลับสายตาพร้อมกับส่ายหน้าด้วยอารมณ์หงุดหงิด เมื่อเห็นเห็นหญิงสาวเดินกอดแฟ้มกลับออกมาเร็วกว่าเวลาที่คิดไว้คุณจิตรีก็เลิกคิ้วถาม “ท่านรองเซ็นแล้วเหรอจ๊ะ เซ็นเร็วจัง” นึกรักส่ายหน้าช้า ๆ เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ยังไม่ได้เซ็นค่ะ ท่านให้มาถามว่าด่วนหรือเปล่า” ได้ยินประโยคนี้เลขาสาวใหญ่ถึงกับตาเบิกโพลง อุทานออกมาว่า “อุ๊ย พี่ลืมบอกไปว่างานด่วนค่ะ ให้ท่านเซ็นตอนนี้จะได้ส่งไปที่บริษัทสาขา ส่วนงานที่ไม่ด่วนเดี๋ยวจะรวบรวมให้ท่านเซ็นตอนบ่ายสอง” หญิงสาวได้ฟังแบบนั้นก็พยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะหมุนตัวนำแฟ้มที่กอดไว้เคาะประตูกลับเข้าไปในห้องทำงานของท่านรองประธานอีกครั้ง เดินมาหยุดที่หน้าโต๊ะทำงานเว้นระยะห่างพอสมควรแล้วเอ่ยว่า “คุณจิตรีแจ้งว่างานด่วนค่ะ ต้องการลายเซ็นตอนนี้ ส่วนงานที่ไม่เร่งด่วนจะรวบรวมนำมาเสนอเซ็นอีกครั้งตอนบ่ายสองค่ะ” อหัสกรได้ฟังก็ยิ้มแบบเหยียด ๆ ออกมา ย้อนกลับ “แล้วงานด่วนของคุณ แค่คุณเดินเข้าออกมันก็เสียเวลาไปเท่าไหร่แล้ว ถ้างานนี้ด่วนแบบนาทีต่อนาทีคุณคิดว่าผมจะเสียหายขนาดไหน ถ้าจะไม่รู้เรื่องขนาดนี้ก็ไม่ต้องทำมั้ย” นึกรักจ้องมองดวงตาคมดุไม่นานก็หลุบตาลงหลบสายตาตำหนิจากชายหนุ่มตรงหน้า กอดแฟ้มเอกสารไว้แน่นอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี เธอเพิ่งมาทำงานวันแรกและยังเริ่มงานได้ไม่ถึงสองชั่วโมงด้วยซ้ำจะให้รู้อะไรไปหมดคงเป็นไปไม่ได้ และถ้าไม่มีคนบอกหรือสอนงานเธอจะรู้ได้อย่างไร กระทั่งเสียงเข้มที่ต่อว่าเธอดังขึ้นอีกว่า “แล้วยืนอยู่ตรงนั้นผมจะเซ็นได้ยังไง เอามาสิ” หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อย รีบนำแฟ้มเอกสารมาวางบนโต๊ะตรงหน้าเขา แต่ยังไม่ทันที่แฟ้มจะวางลงมือหนาก็ยื่นมาฉวยไปอย่างแรง คิ้วเข้มขมวดอย่างไม่พอใจ นิ้วมือยาวเรียวสวยพลิกดูเอกสารและกวาดสายตาอ่านอย่างรวดเร็วก่อนจะตวัดลายเซ็นลงไป ปิดแฟ้มแล้วดันออกไปอย่างแรงจนแฟ้มเกือบจะตกจากโต๊ะดีที่นึกรักเอื้อมมือคว้าเอาไว้ได้ทัน เธอเหลือบตามองชายหนุ่มนิดหนึ่งแล้วหมุนตัวเดินออกไป น้ำตาปริ่มขอบตาจนเธอรีบยกมือปาดออกเร็ว ๆ แต่ก็ยังมีริ้วรอยแดงเรื่อให้เห็น น้ำเสียงที่เอ่ยกับจิตรีเมื่อยื่นแฟ้มให้สั่นเครือเล็กน้อย “ท่านรองเซ็นแล้วค่ะพี่จิตรี” เลขาสาวใหญ่หันมาเห็นก็ตกใจเล็กน้อยที่เห็นร่องรอยน้ำตาบนใบหน้าสวยหวาน ถอนลมหายใจแล้วว่า “เป็นอะไร ท่านรองดุมาเหรอ ปกติท่านก็ใจดีนะ” นึกรักเงยหน้าสบตากับจิตรียิ้ม ๆ “เปล่าค่ะ ไม่ได้เป็นอะไร แค่รู้สึกแสบตาเลยเผลอขยี้น่ะค่ะ” ปดไปอย่างนั้นก่อนจะก้มหน้า ในใจแสนจะคิดถึงบิดามารดาที่จากไปอยู่ดาวดวงอื่น คุณลุงวีระเป็นคนที่หวังดีกับเธอไม่ต่างจากบิดา หากไม่ใช่เพราะบุญคุณของคุณลุง เธอคงไม่คิดจะทำงานกับคนเจ้าอารมณ์และดูเหมือนจะไร้เหตุผลแบบอหัสกร และถึงตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะอดทนไปได้อีกนานแค่ไหน เห็นสีหน้าแววตาของอหัสกรตั้งแต่แรกก็รู้แล้วว่าเขาไม่ชอบเธอซึ่งเธอก็ไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใด
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD