Hi, Darling 9

2476 Words
Hi, Darling 9 วันนี้เรามีนัดกินข้าวกับเพื่อน ๆ ของพี่กริช หากเป็นเพื่อนสนิทเขาฉันรู้จักหมดแล้ว แต่ไม่แน่ใจว่าจะมีแค่กลุ่มเพื่อนเขาหรือเป็นกลุ่มเพื่อนที่ทำงานในโรงพยาบาล ในส่วนนี้ฉันเองก็ไม่อาจรู้ได้คงต้องรอให้ถึงสถานที่นัดเสียก่อน แต่ตอนนี้รถติดจนแทบจะไม่ขยับยังดีที่ฉันเปิดเพลงที่ตัวเองชอบไม่นั้นได้มีเรื่องต้องหงุดหงิดแน่ ๆ ส่วนพี่กริชเขาก็ฟังเพลงที่เปิดนั่นแหละไม่เห็นเขาจะว่าอะไรเวลาเปิดเพลงที่ฉันชอบ “พี่กริช” “หือ?” พี่กริชหันหน้ากลับมามองเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปมองถนนต่อ “พี่หมอก้ำโทรมาค่ะ” เอ่ยเตือนเมื่อโทรศัพท์ที่วางอยู่ในกระเป๋นสะพายฉันส่งเสียงเรียกเข้าพร้อมกับขึ้นโชว์ชื่อที่ถูกบันทึกไว้ในเครื่อง “รับให้พี่หน่อย” เมื่อได้คำอนุญาตก็รับสายที่กำลังโทรเข้ามาทันทีเกรงว่าอีกฝ่ายจะรอนาน “สวัสดีค่ะพี่หมอก้ำ” เอ่ยทักทายปลายสายพร้อมกับกดเปิดสปีคเกอร์โฟนให้พี่กริชได้ฟังด้วย (สวัสดีครับ ถึงไหนกันแล้วน้องเฟื่อง) “อยู่แถวxx ค่ะ ใกล้ถึงร้านแล้วค่ะ” (งั้นเหรอ // เพราะต้องไปรับเด็กนั่นกริชถึงมาช้า) เสียงที่แทรกเข้ามาทำให้ฉันสะอึกอยู่ไม่น้อย แต่มันก็จริงอย่างที่ปลายสายพูดเพราะถ้าพี่กริชไม่วนรถกลับมารับฉันที่บ้านเขาก็คงไม่สายแบบนี้ “ก้ำพวกมึงกินกันเถอะ กูกับน้องไม่เข้าไปแล้ว” (มึงใจเย็น ๆ ก่อน) พี่หมอก้ำรีบเอ่ยบอกพี่กริชทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่เพื่อนตัวเองพูด “กูก็บอกตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่ต้องรอ ถ้าถึงก่อนก็สั่งกินกันเลย ตอนนั้นก็ไม่มีใครว่าอะไรนี่ แล้วทำไมตอนนี้ถึงพูดแบบนั้น ถ้าการที่กูพาน้องไปด้วยแล้วทำให้ใครลำบากใจกูก็ขอไม่ไปแล้วกัน โทษทีที่ทำให้เสียเวลา” อ่า พี่กริชกำลังหัวร้อน แทบจะไม่เคยเห็นเขาหงุดหงิดแบบนี้เลยสักครั้งไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไร แต่ทำไมครั้งนี้เขาถึงหงุดหงิดขึ้นมาแบบนี้ล่ะ พวกเขาแค่พูดแบบนั้นเองอีกอย่างมันก็เป็นจริงอย่างที่เขาว่า (มึงใจเย็น ๆ ก่อน กูกลัวนะเว้ยมึงตอนนี้น่ะ แต่จะไม่มาจริง ๆ เหรอ กูกับไอ้ชา ไหนจะพี่กุ้ง น้องฝนอีก พวกกูมารอมึงแล้วนะ ส่วนคนอื่นก็ช่างเขาสิ เรานัดกันมานี่พวกเขาแค่ขอมาด้วยยังทำตัวไร้มารยาทพูดอะไรไม่คิดก็ต้องสำนึกได้แล้วว่าใครที่เป็นคนผิด) “...” พี่กริชยังเงียบคล้ายมีหมอกควันสีดำลอยคลุ้งรอบตัวเขาเลยในตอนนี้ (น้องเฟื่อง...) “ค่ะพี่หมอก้ำ” เมื่อพี่กริชยังเงียบปลายสายจึงเอ่ยเรียกฉันแทน (มานะ พวกพี่รออยู่ นาน ๆ จะว่างเจอกันที ชวนมันมานะ) “อาจจะช้าหน่อยนะคะ รถติดมาก ๆ เลย ฝนตกด้วย” (ครับ เดี๋ยวสั่งอาหารรอไม่ต้องรีบ) “เจอกันค่ะพี่หมอ” (ครับ เจอกัน) เมื่อวางสายจากพี่หมอก้ำฉันก็ไม่กล้าพูดอะไร ทำใจอยู่สักพักถึงได้ทำใจกล้าถามพี่กริช “พี่คะ” “วันนี้พี่กับทีมที่สนิทกันไม่มีเวรเลยตั้งใจชวนกันมากินข้าวเพราะนาน ๆ จะว่างตรงกัน แต่ก็มีคนที่ได้ยินแล้วขอมาด้วยจะปฏิเสธก็ยังไงอยู่เลยยอมให้มาด้วย ก่อนออกมาพี่ก็บอกแล้วว่าอาจจะไปถึงช้าให้สั่งแล้วกินกันก่อนเลย ตอนนั้นก็ไม่มีใครว่าอะไรเพราะทั้งพี่พยาบาลหรือเพื่อนที่สนิทกันก็รู้กันอยู่แล้วว่าพี่จะกลับมารับหนูที่บ้าน แต่คนอื่นเขามาพูดแบบนี้พี่ไม่ชอบ มันเหมือนพี่ไร้ความรับผิดชอบที่ไปไม่ทันนัด แต่พี่บอกตั้งแต่ต้นแล้วนี่” “หนูเข้าใจ แต่พี่ใจเย็น ๆ ก่อนนะคะหนูโอเคที่ได้ยินแบบนั้น ไม่ได้โกรธหรือโมโหเลย อีกอย่าง พี่บอกเองนี่ว่านาน ๆ ทีจะว่างตรงกันแบบนี้ ถ้าไม่ไปวันนี้ก็ไม่รู้จะว่างตรงกันอีกวันไหน หนูอยากให้พี่ไปนะ” “แต่ถ้าไปถึงแล้วไม่โอเคหรือรู้สึกไม่ดีให้บอกพี่นะเข้าใจไหม” ไม่ว่าจะสถานการณ์ไหน เขาก็ยังคงแคร์ความรู้สึกฉันมากที่สุดสินะ แล้วแบบนี้จะไม่ให้ฉันหวั่นไหวได้ยังไงกัน ก็เขาเป็นแบบนี้ตั้งแต่ต้นไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีเขาก็ยังคงแคร์ฉันและแนวโน้มที่เห็นและรับรู้มาคือมีแต่เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น “ถึงแล้วครับ” พี่กริชเอ่ยบอก เมื่อรถจอดอยู่ที่ลานจอดรถของร้านอาหารแห่งหนึ่ง ที่ร้านร่มรื่นไปด้วยต้นไม้สูงเล็กสลับกันไป แสงสีส้มที่ประดับอยู่นอกร้านทำให้ที่นี่ดูอบอุ่นและสบายตาเป็นอย่างมาก แต่ไม่รู้ด้านในจะเป็นยังไงเหมือนกันเพราะฉันเองก็เพิ่งเคยมาครั้งแรก ระหว่างที่เดินเข้าร้านพี่กริชก็เดินอยู่ข้าง ๆ ไม่ยอมห่าง เมื่อเข้ามาในร้านก็มีพนักงานเดินเข้ามาต้อนรับพี่กริชก็ไม่รอรีรอที่จะแจ้งแก่พนักงานว่าเพื่อนจองโต๊ะไว้แล้ว พอบอกชื่อเพื่อนเขาไปพนักงานก็พาเดินไปยังด้านนอกร้านที่มีเทอเรสยื่นออกมาแยกความเป็นส่วนตัวชัดเจน เพื่อนพี่กริชที่ฉันรู้จักนั่งอยู่ที่โต๊ะพอเห็นว่าเราเดินเข้ามาใกล้ก็โบกมือให้พร้อมกับรอยยิ้มดีใจ คงกลัวว่าพี่กริชจะไม่มานั่นแหละ “มาแล้วเหรอ นั่ง ๆ ” พี่หมอก้ำเป็นคนบอกเราน้ำเสียงร่าเริง “เฟื่อง นี่เพื่อนพี่เคยเจอแล้วล่ะ แล้วนี่ก็พี่ ๆ ที่โรงพยาบาล ทุกคนครับนี่เฟื่องฟ้าคู่หมั้นผมเอง” พี่กริชเอ่ยแนะนำเมื่อเราทั้งสองเดินเข้าไปที่เก้าอี้ที่ถูกเว้นว่างไว้สองตัว “สวัสดีค่ะ” ฉันยกมือไหว้พี่ ๆ ทุกคนทันที แม้จะตกใจที่เขาแนะนำฉันไปแบบนั้น คู่หมั้นอะไรกันล่ะ เรื่องหมั้นอะไรนั่นเราหยุดไว้แล้วเถอะ หรือเขาจะลืม “สวัสดีจ๊ะ ตัวจริงน่ารักมาก ๆ เลย” พี่คนหนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มติดจะแซว ๆ “เห็นไหมคะพี่กุ้ง ชาบอกแล้วว่าน้องน่ารักมาก” พี่หมอมิชา เพื่อนสนิทในกลุ่มพี่กริชแกล้งกระซิบกลับไปแต่ระดับความดังของเสียงนั้นไม่ได้เหมือนการกระซิบเลยสักนิด “อยากหยิกแก้มน้อง” พี่ที่ถูกเรียกว่าพี่กุ้งทำท่ามันเขี้ยวฉันทันที “ก็แค่คู่หมั้นที่กริชไม่ต้องการ พ่อกริชก็ไม่ชอบนี่คะ ที่เราคุยกันวันนั้นน่ะ” คุยกัน? พวกเขาคุยอะไรกัน แล้วที่บอกว่าพี่กริชไม่ต้องการหมั้น และพ่อพี่กริชไม่ชอบ ทำไมเรื่องนี้เขาถึงรู้ มันเรื่องภายในถ้ารู้เรื่องพวกนี้ก็คงบอกว่าได้ชัดเจนเลยล่ะว่าพวกเขาคงจะสนิทกันมากถึงได้รู้เรื่องราวพวกนี้ “คุณหมอจินคะ ถ้าพูดอะไรไม่มีสาระก็เงียบไปดีกว่านะคะ ไม่มีใครว่า” รู้แล้ว รู้แล้วว่าทำไมเขาถึงรู้เรื่องพวกนี้ เพราะเขาคือผู้หญิงคนนั้นนี่เอง คนที่ชื่อจิน ที่พ่อพี่กริชเคยพูดถึง “ก็จินพูดความจริงนี่ชา เขารู้กันทั้งโรงพยาบาลแล้วว่ากริชมีคู่หมั้นทั้งที่ไม่ได้อยากหมั้น ไม่สิต้องบอกว่าไม่ได้รักเลยสักนิด” “ถ้าจะมาพูดไร้สาระก็กลับไป ยอมให้มาด้วยใช่ว่าจะพูดอะไรไม่คิดแบบนี้ได้นะครับ” พี่กริชดุคนของเขาเสียงเข้ม แต่ความรู้สึกข้างในฉันมันชาไปหมดแล้วตอนนี้ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทั้งที่ก็ยอมเชื่อใจเขาแล้วแต่พอได้ยินจากปากคนของเขาฉันเองก็เจ็บชาอยู่ไม่น้อย ไม่อยากหมั้น ไม่ได้รัก ถึงแม้จะเป็นเรื่องจริงแต่ก็อดที่จะรู้สึกเจ็บจี๊ดที่หน้าอกไม่ได้ “ชา สั่งอะไรไปบ้างแล้วน้องยังไม่ได้กินข้าวเลย” พี่กริชเปลี่ยนเรื่องคุยทำลายความเงียบ แต่ฉันที่นั่งเก้าอี้ตัวสุดท้ายเอาแต่ก้มหน้ามองจานข้าวตัวเองด้วยความรู้สึกที่แปลกไป เวลาที่เขาคุยเรื่องงานกับพี่ ๆ คนอื่นฉันเหมือนถูกตัดขาดจากพวกเขาโดยสมบูรณ์แบบ ไม่มีอะไรที่เข้าใจได้เลย “เยอะอยู่ มีของที่บอกให้สั่งให้น้องอยู่” รอสักพักอาหารที่สั่งไปก็ถูกทยอยมาเสิร์ฟ พี่กริชนั่งคุยกับเพื่อนไประหว่างที่ฉันก็กินข้าวเงียบ ๆ ไม่ได้พูดหรือสนใจรอบข้างมากนัก เพราะดูแล้วเรื่องที่พวกเขาคุยกันน่าจะไม่เกี่ยวกับฉัน นั่งกินข้าวไปเงียบ ๆ สักพักก็สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อพี่ที่ชื่อพี่กุ้งนั่งอยู่ตรงข้ามฉันตักกับข้าวมาใส่จานให้พร้อมกับรอยยิ้มเอ็นดู รอยยิ้มที่แสนจะใจดี “กินเยอะ ๆ นะ ร้านนี้อร่อยมาก ๆ เลยล่ะ” เสียงที่พี่กุ้งบอกฟังดูใจดีมาก ๆ เลยล่ะ ฉันส่งยิ้มขอบคุณกลับไปไม่ลืมเอ่ยบอกจากความรู้สึกข้างใจจริง ๆ “ขอบคุณค่ะ” “อยากสั่งอะไรเพิ่มไหม” พี่กริชเอ่ยถามเสียงเบา “ไม่ค่ะ” กินจนจะอิ่มแล้วเพิ่งจะมาถาม ถ้าจะให้มากินในสถานการณ์แบบนี้ให้ฉันกินก๋วยเตี๋ยวไก่ที่บ้านคนเดียวยังจะดีเสียกว่า มาที่นี่ก็ไม่ต่างจากกินคนเดียว “ขอโทษ พี่คุยกับเพื่อนเพลินไปหน่อย” อีกฝ่ายรีบบอกราวกับรู้ว่าฉันกำลังบริภาษเขาอยู่ในใจ “ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ได้คิดอะไร” “เอาแล้วมึง โดนน้องงอนแน่” พี่หมอก้ำเอ่ยแซวอย่างสนุก ตามด้วยเสียงหัวเราะของพี่หมอมิชา “เฟื่องครับ” “ไม่ได้อะไรจริง ๆ ค่ะ ไม่ได้โกรธไม่ได้งอนจริง ๆ” “หึหึ อย่าโกรธมันเลยน้องเฟื่องที่ทำงานพวกพี่เครียดกันมาก พอได้คุยกันที่ไม่ใช่ในโรงพยาบาลเลยอยากคุยกันเยอะหน่อย” พี่หมอมิชาอธิบายให้ฟังพร้อมกับรอยยิ้ม “หนูไม่ได้โกรธจริง ๆ นะคะ พี่ ๆ คุยกันเลย หนูไม่ได้อะไรเลยจริง ๆ นะคะ” ฉันยืนยันเสียงจริงจัง “เฮ้อ อยากมีแฟนดีแบบไอ้กริชจังวะ น้องแม่งเข้าใจทุกอย่างเลย” พี่หมอก้ำยิ้มแปลก ๆ อีกแล้ว แต่เดี๋ยวนะ ฉันไม่ใช่แฟนพี่กริชนะทำไมพูดแบบนั้น ถ้าเกิดคนของเขาเข้าใจผิดจะทำยังไง “แฟนอะไรกันคะก้ำ พ่อเขาไม่ชอบขนาดนั้น” นั่นไงล่ะ ยังไม่ทันได้แก้ตัวคนของเขาก็ไม่พอใจแล้ว “อยู่ดี ๆ ไม่ชอบเหรอครับ? ต้องให้เตือนใช่ไหมเรื่องมารยาท เรียนจบก็สูงนะแต่ทำไมไม่มีมารยาทขนาดนี้ จะพูดอะไรคิดก่อนนะครับ คนอื่นจะว่าเอาได้ว่าไม่มีความคิด หรือไม่ก็ถ้าคิดอะไรดี ๆ ไม่ได้ก็ไม่ต้องพูด” พี่กริชที่เหมือนจะอดทนมานานเอ่ยปรามเสียงเข้มอย่างไม่ไว้หน้า เขาแทบจะไม่เคยเป็นแบบนี้เลย ปกติเขาจะควบคุมอารมณ์ตัวเองได้อย่างดีมาตลอดแต่ไม่ใช่กับวันนี้ ตอนนี้ “พี่กริช” ฉันยื่นมือไปจับมือคนข้าง ๆ ไว้ทันทีที่เขาเอ่ยจบ พูดไปแบบนั้นไม่เว้นช่องว่างให้ฉันให้ห้ามเขาเลย ให้ตายสิ เขาจะโมโหแบบนี้บ่อย ๆ ไม่ได้นะฉันเองก็กลัวเหมือนกันไม่ใช่ว่าไม่กลัว แต่ถ้าไม่ห้ามเข้าไว้หน่อยเชื่อสิเขาได้ต่อว่าอีกฝ่ายจนร้องไห้ออกมาได้เลยล่ะ “พี่ว่าให้มันพูดเถอะเฟื่อง ทุกครั้งที่มีคนมาว่ามัน มันไม่สนใจอยู่แล้ว แต่นี่เขาว่าเฟื่อง มันเกิดขึ้นบ่อยแล้วทนไม่ไหวก็ให้มันพูดออกมาเถอะ รู้จักกันไหมก็ไม่ แล้วที่พูดแบบนี้เพราะพ่อไอ้กริชให้ท้ายไง ไปทำดีต่อหน้าพ่อมันให้หลงเชื่อภายนอกแต่นิสัยจริง ๆ น่ะไม่มีใครเขาอยากคบด้วยหรอก แค่เพื่อนร่วมงานเขายังไม่อยากคุยด้วยเลย” พี่มิชาเอ่ยเสริม ฉันจับมือพี่กริชไว้แน่นไม่กล้าปล่อยเลยกลัวเขาจะโมโหจนหลุดอีกน้อยครั้งจริง ๆ ที่เขาจะเป็นแบบนี้ แต่ช่วงนี้เห็นบ่อยเพราะเขามีเรื่องให้เครียดเยอะมากทั้งที่บอกฉันและที่ยังไม่ได้บอก “คุณหมอจินคะ ที่พวกเรายอมให้มาด้วยครั้งนี้ไม่ใช่ว่ายอมรับตัวคุณหมอหรอกนะแต่เพราะเกรงใจตอนที่พูดคุณเออออเอง ถ้าปฏิเสธไปเชื่อสิคนได้เมาส์เรื่องคุณทั้งโรงพยาบาลแน่ ๆ แต่พอมาถึงตอนนี้ทำให้พี่รู้แล้วค่ะว่าควรปฏิเสธเพราะคุณเข้ากับวกเราไม่ได้จริง ๆ” พี่กุ้งเสริมเข้าไป ยิ่งทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจมากกว่าเดิม “หึ ทำไมต้องเข้าข้างมันล่ะ กริชเองก็เหมือนกันกริชบอกกับจินเองนี่ว่าไม่ได้อยากหมั้น ไม่คิดจะหมั้นกับมันด้วยซ้ำ อีกอย่างพ่อคุณก็ไม่เอามันหรอก จินดีกว่าเห็น ๆ มันก็แค่มาเกาะคุณกินแค่นั้นแหละ อย่าโง่นักเลยมันไม่มีอะไรติดตัวสักอย่าง งานเหรอก็แย่ ไหนจะฐานะทางสังคมคุณคิดว่าพ่อคุณจะรับได้เหรอ อีกอย่างนะ คุณบอกจินเองว่าไม่ได้รักมันและเราก็จะแต่งงานกันไม่ใช่เหรอ เรามีอะไรกันแล้วนะกริช” “ผมไม่เคยพูดว่าจะแต่งงานกับคุณ และที่สำคัญผมไม่เคยมีอะไรกับคุณไม่เคยคิดจะเฉียดตัวไปใกล้ด้วยซ้ำ ไปถามตัวเองดี ๆ ว่าคนที่คุณอ้างว่าเป็นผมเขาเป็นใคร พูดแบบนี้ผมเสียหาย และรู้เอาไว้ด้วยว่าคนที่ผมจะแต่งงานด้วยคือเฟื่อง” “...” “เป็นเขาคนเดียวมาตลอด”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD