Hi, Darling 8

1753 Words
Hi, Darling 8 “พี่ไปทำงานแล้วนะ” เสียงทุ้มกระซิบข้างหูในเช้าของวันที่ฉันยังไม่ทันจะลืมตาตื่นเสียด้วยซ้ำ วันก่อนแม่หมี่เดินทางกลับบ้านอย่างจำยอมเพราะหากแม่หมี่ไม่ยอมกลับลุงคงก็ไม่กลับ ทำเอาที่ไร่วุ่นวายกันอยู่ไม่น้อย ท่านจึงจำยอมต้องกลับไปโดยที่ฉันกับพี่กริชให้สัญญาว่าหากมีวันว่างจะกลับไปเยี่ยมทานที่บ้าน “กับข้าวบนโต๊ะนะพี่ซื้อมาให้แล้ว ตื่นแล้วโทรหาพี่ด้วยนะรู้ไหม” “อือ” ครางตอบอย่างไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก ตอนนี้อยากจะนอนต่อนี่นา “พี่ไปแล้วครับ” สัมผัสแผ่วเบาแตะลงบนหน้าผากไม่นานความอบอุ่นนั้นก็จางหายไปเหลือเพียงหัวใจที่เต้นรัวตึกตัก ตั้งแต่ที่แม่หมี่กลับไปพี่กริชดูเข้าหาฉันมากขึ้นกว่าเดิม ไหนจะชอบเข้ามาในห้องนอนมานั่งเฝ้าฉันทำงาน บอกทุกครั้งก่อนออกไปทำงานหรือเข้ามารายงานตัวว่ากลับจากที่ทำงานแล้ว เขาทำแบบนี้ฉันเองก็เริ่มจะชินเสียแล้ว เมื่อรอกระทั่งเสียงรถที่เคลื่อนออกจากโรงจอดรถเงียบไปฉันถึงได้วางใจหลับต่อ วางใจที่จะไม่มีใครมารบกวนเวลานอนของฉันยังไงล่ะถึงแม้จะมีหวั่นไหวใจเต้นแรงตึกตักแต่นี่คือเวลานอนของฉัน ฉันจะไม่เขินนานหรอกนะ!! เที่ยงตรงฉันขยับตัวลุกนั่งบนเตียงอย่างสดชื่น วันนี้จะเริ่มทำงานที่เพิ่งเซ็นสัญญากับบริษัทของหยก เป็นงานออกแบบแบนเนอร์งานอีเว้นท์ที่กำลังจะจัดขึ้นในอีกสองเดือนข้างหน้า ทำทั้งหมดสามชิ้น เพราะจะปล่อยสัปดาห์ละหนึ่ง ฉันเซ็นสัญญาเป็นครั้งต่องานหนึ่งชิ้น ไม่ได้เซ็นครั้งเดียวหมด ครั้งนี้ฉันรับบรีฟมาและต้องทำตามบรีฟ ตั้งใจว่าจะทำสองถึงสามแบบเผื่อทางนั้นได้เลือก ฉันเริ่มทำงานหลังจากลงไปกินข้าวที่จริงไม่ใช่ข้าวแต่เป็นก๋วยเตี๋ยวไก่ที่มีรสชาติหวานหอมกลมกล่อมที่สำคัญยังเป็นร้านประจำของฉันอีกด้วย ที่ร้านน่ะเปิดตั้งแต่ตีห้าเลยนะ ปิดสามทุ่ม เริสมากดีที่สดฉันชอบจริงๆ อยากกินตอนสองทุ่มก็ไปซื้อได้ แต่วันนี้ที่ได้กินฉันคิดว่าเมื่อเช้าพี่กริชคงออกไปวิ่งเลยซื้อเข้ามาให้ด้วย วกกลับมาที่เรื่องงาน งานชิ้นแรกกำหนดส่งวันจันทร์หน้าดังนั้นฉันมีเวลาทำห้าวันก่อนถึงกำหนดส่ง ถือว่าเยอะอยู่ล่ะนะกับกำหนดการส่ง เอาละตอนนี้เริ่มทำงานกันก่อนดีกว่า เมื่อบอกตัวเองว่าต้องทำงานฉันก็แทบจะตัดขาดตัวเองกับโลกภายนอกทันที ไม่สนใจแม้กระทั่งโทรศัพท์ เริ่มงานตอนบ่ายโมงยิงยาวจนถึงตอนนี้ก็เกือบหกโมงครึ่งแล้ว บรีฟแรกที่ได้มายากอยู่พอสมควรทำให้ฉันต้องตั้งใจกับมันมากเป็นพิเศษ ใจจดใจจ่ออยู่กับงานมากขนาดที่ไม่รู้ว่าพี่กริชนั้นกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไหนจะเข้ามาอยู่ในห้องฉันได้ยังไงอีก “โทรหาไม่รับสายเลย” อีกฝ่ายเอ่ยตัดพ้อยามที่ฉันเงยหน้าสบตากับเขา “ขอโทษค่ะ ทำงานอยู่ไม่ได้จับโทรศัพท์เลย” “ไม่เป็นไร ดีนะที่แม่บ้านมาพอดีเลยรับโทรศัพท์บ้านแล้วบอกว่าเราทำงานอยู่บนห้องน่ะ” พี่กริชเดินไปปรับอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศเสร็จก็เดินกลับมายังฉันที่นั่งบันทึกงานอยู่ “เสร็จหรือยัง ไปกินข้าวกัน” “เสร็จแล้วค่ะ” พี่กริชเงียบเสียงไปกระทั่งฉันบันทึกงานเสร็จถึงได้เดินออกจากห้องพร้อมกัน “พี่ซื้อชาเย็นมาให้ด้วย” “จริงเหรอ?” ทวนถามอย่างไม่เชื่อใจ ก็เขาน่ะไม่ชอบให้กินอะไรแบบนี้พอได้ยินว่าซื้อมาให้อดที่จะตกใจไม่ได้ “จริงสิ” เขายืนยัน “เห็นว่าทำงานหนักหรอกนะเลยซื้อมาให้น่ะ” อีกฝ่ายรีบอธิบายเพิ่มพร้อมกับท่าทีเลิกลัก ฮา ๆ ๆ เขาจะลนทำไมกันฉันยังไม่ได้ว่าอะไรเขาเลยนะ “ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย ขอบคุณนะคะ” “ครับ ไปกินข้าวกัน” “ทำไมไม่มี” ฉันออกอาการงอแงทันทีเมื่อเดินมาที่ห้องครัวแล้วไม่เจอกับก๋วยเตี๋ยวไก่ระมะที่อยากกิน บนโต๊ะมีเพียงถุงอาหารจากร้านดังและชาเย็นที่อีกฝ่ายบอกว่าซื้อมาให้ “เมื่อเช้ากินไปแล้ว จะกินทุกมื้ออาหารไม่ได้นะ มานั่งเลยพี่ซื้อกับข้าวร้านโปรดมาให้แล้วไม่ต้องงอแง” “แต่...” “พรุ่งนี้พี่จะซื้อเข้ามาให้ ตอนนี้กินข้าวที่เป็นข้าวจริง ๆ ก่อน” พี่กริชไม่ได้ดุแต่ก็ไม่ได้ยอมใจอ่อนให้อย่างที่เคย “แล้วทำงานถึงไหนแล้วโอเคดีไหม” ระหว่างที่ฉันแกะกับข้าวใส่จานพี่กริชก็ถามอย่างเป็นปกติขณะที่มือเขาก็หยิบขวดน้ำเปล่ามาเทใส่แก้ว “ชิ้นแรกเสร็จแล้วค่ะ ตั้งใจว่าจะทำอีกสักสองสามแบบให้ทางบริษัทเลือก” “ไหวไหม” “ไหวค่ะ สนุกดีแล้วที่โรงพยาบาลเป็นยังไงบ้างคะ” ถามกลับ มือก็ยื่นไปหยิบชาเย็นมาดูด ฮื่อ ชื่นใจจัง “ปกติ วันนี้ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น” จะว่าไปที่โรงพยาบาลมีคนที่ชื่อจินอยู่ด้วยนี่นา แบบนี้เขาคงจะ... “อย่าคิดอะไรแปลก ๆ นะเฟื่อง เราคุยกันไปแล้วนะเรื่องพวกนั้นน่ะ” พี่กริชเอ่ยดักเสียงเข้ม ราวกับว่าฉันกำลังคิดอะไรแปลก ๆ อยู่ภายในหัว “พี่อ่ะ” “ไม่ต้องงอแงเลย” อีกฝ่ายยังดุ “ไม่ดุสิคะ กินข้าว ๆ เร็ว” “ดูหนังกันไหมกินข้าวเสร็จ” จู่ ๆ คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็เอ่ยชวน เขามีเรื่องไม่สบายใจใช่ไหมถึงชวนแบบนี้ปกติเขาแทบจะไม่เป็นฝ่ายชวนฉันดูเลย เขาจะมานั่งดูด้วยเฉพาะเวลาที่ฉันดูอยู่ก่อนแล้วถึงได้เดินมาดูด้วยแต่ครั้งนี้มันแปลกออกไป ฉันมองหน้าพี่กริชก่อนจะยอมตกลงในที่สุด อย่างน้อยก็ขออยู่ข้าง ๆ ในวันที่เขาไม่สบายบ้างแล้วกัน “ได้ค่ะ พรุ่งนี้พี่ไปทำงานใช่ไหม?” “ครับ” “งั้นดูเรื่องเดียวพอเสร็จแล้วพี่จะได้ขึ้นไปนอน” “แบบนั้นก็ได้ พรุ่งนี้ตอนเย็นไปกินข้าวกับพี่นะ เพื่อน ๆ พี่ชวน” “หนูคนนอก” “ไม่ใช่ หนูคนของพี่ไม่ใช่คนนอก พี่บอกพวกมันแล้วว่าจะให้หนูไปด้วย” “เอาแต่ใจ” “แค่กับหนู” ตอบกลับหน้านิ่งด้วย สกิลอัพไปถึงเลเวลไหนกันนะผู้ชายคนนี้ ทำไมเดี๋ยวนี้ไม่มีกั๊กอะไรไว้เลย สายตาน่ะลดความแพรวพราวเวลามองฉันลงบ้างก็ได้ เขินไม่ทันแล้วเขาไม่รู้หรือไงกัน หนังที่เราเลือกเป็นหนังอะไรไม่รู้ พี่กริชดูหนังแต่ฉันนอนเล่นเกมในโทรศัพท์ เดิมทีเรานั่งที่โซฟาเบดกันคนละมุมมีผ้าห่มผืนใหญ่คลุมขาเราไว้แต่ไม่รู้ว่าทำไมหลัง ๆ เราทั้งสองถึงได้มาอยู่ที่กลางโซฟาด้วยกันทั้งคู่ ฉันนั่งพิงไหล่พี่กริชเล่นเกมส่วนพี่กริชใช้แขนโอบฉันไว้ ให้ซบเขาที่ไหล่โดยที่สายตายังคงจับจ้องไปที่หน้าจอทีวีที่กำลังฉายหนังอยู่ “พ่อกับแม่ทะเลาะกัน...” เงียบอยู่นาน จู่ ๆ คนที่คิดว่าตั้งใจดูหนังก็กระซิบเล่าเสียงเบา “แม่บอกว่าพ่อมีผู้หญิงคนอื่น แต่พ่อบอกว่าไม่ใช่ ไม่ได้ยุ่งกับใครเลยเรื่องนั้นเป็นเรื่องเข้าใจผิด” “พี่ไม่รู้ว่าที่จริงแล้วเป็นยังไง แต่เรื่องที่มีผู้หญิงเข้าหาพ่อ เรื่องนั้นพี่รู้เพราะพี่กายเคยเล่าให้ฟังอยู่ ผู้หญิงคนนั้นเป็นพนักงานที่สำนักงาน” “ถ้าเป็นเรื่องจริง พี่สงสารแม่ แม่รักพ่อมากเลยนะ ทำไมพ่อต้องตอบแทนความรักของแม่ด้วยการมีผู้หญิงอื่นด้วยล่ะ แล้วยิ่งมีเรื่องครอบครัวเพื่อนพ่อเข้ามาอีก ยิ่งทำให้แม่เจ็บ เพราะแม่เคยเตือนเรื่องครอบครัวนั้นไปแล้วว่าเขาเข้ามาเพราะอะไร” “พี่เหนื่อยจังเลยเฟื่อง เหนื่อยจนไม่รู้จะเริ่มจัดการตรงไหนก่อนแล้ว” พี่กริชขยับมากอดฉันไว้ทั้งตัวตอนนี้กลายเป็นเราทั้งสองกอดกันอยู่บนโซฟา โดยที่ฉันนอนอยู่ด้านล่างพี่กริชคร่อมร่างฉันไว้พร้อมกับกอดซุกหน้าลงบนซอกคอ “เหนื่อยมากเลยใช่ไหมคะ?” ฉันปลอบไม่เป็น แต่ให้อยู่ข้าง ๆ เขาฉันทำได้ “อื้อ พี่เหนื่อย พี่สงสารแม่ถ้าหากเรื่องที่รู้มาเป็นเรื่องจริง” “แม่บอกพี่ ถ้ากลับไปครั้งนี้ยังมีเรื่องพวกนี้อีก แม่จะหย่า...” “...” “แม่รักพ่อมากเลยนะ รักและสนับสนุนทุกอย่างสร้างอะไรหลาย ๆ อย่างมาด้วยกัน แต่ทำไมถึงต้องมีเรื่องแบบนี้เข้ามา เขามองไม่เห็นความรักของแม่เลยเหรอ” เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนในครอบครัวของเขา ฉันเป็นเพียงคนนอกไม่กล้าที่จะออกความคิดเห็นอะไรหรอก ตอนนี้รู้เพียงแค่ว่าพี่กริชเหนื่อยและเจ็บปวดกับเรื่องพวกนี้มาก ขอฉันเป็นคนที่กอดเข้าไว้ได้ไหม กอดเขาจนกว่าเขาจะดีขึ้น “ง่วงหรือยัง” เราต่างคนต่างเงียบไปนานแม้กระทั่งหนังจบไปแล้วเราก็ยังกอดกันอยู่ กอดแบบเงียบ ๆ ไม่มีใครเอื้อนเอ่ยอะไร สุดท้ายเป็นพี่กริชที่เป็นฝ่ายเอ่ยถามฉันออกมาเสียก่อน “นิดหน่อยค่ะ” “ขึ้นไปนอนกัน ขอบคุณนะที่อยู่ข้าง ๆ พี่” “ถ้าพี่ไม่ไล่ หนูก็จะอยู่ข้าง ๆ พี่ กอดพี่เวลาพี่เหนื่อย...” “พี่ไม่มีวันไล่หนู มันจะไม่มีวันนั้น เด็กดื้อของพี่ไปนอนได้แล้วครับ เดี๋ยวพี่เช็คประตูบ้านก่อนแล้วจะรีบไปนอนเหมือนกัน” “ค่ะ ฝันดีล่วงหน้านะคะ” “ฝันดีครับ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD