Hi, Darling 7
“ยิ้มหน่อย” พี่กริชที่เดินอยู่ข้าง ๆ เอ่ยบอกน้ำเสียงเจือแววขบขัน ฉันไม่มองหน้าเขาเลยตั้งแต่ตื่นนอน ก็ตอนสิบโมงเขาเข้ามาปลุกถึงในห้องนอนลากฉันเข้าไปในห้องน้ำสั่งให้อาบน้ำแต่งตัวอีก จากนั้นก็พาออกมาเดินห้างสรรพสินค้ากับเขานี่แหละ ฉันไม่ได้อยากจะมาเลยนะ ฉันง่วง ฉันอยากจะนอนอยู่ที่ห้องมากกว่าแต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่เข้าใจฉันเลย
“หึหึ เด็กน้อย” ฝ่ามืออุ่นยกขึ้นวางที่หัวจากนั้นก็โยกไปมาอย่างเบามือ เขาเลือกที่จะมองผ่านอาการงอแงของฉันจากนั้นก็พาเดินไปยังช็อปนาฬิกาแบรนด์โปรดของเจ้าตัว
“เลือกให้หน่อย...”
“พี่มีรุ่นนี้แล้ว” ฉันเอ่ยเตือนเมื่อเขาพาเดินไปยังตู้โชว์นาฬิกาที่ฉันมั่นใจว่าเรามีรุ่นนี้แล้วแน่ๆ เพราะจำได้ว่าเขาเคยเอาให้ดู
“เก่งจัง จำได้ด้วย”
“แต่รอบนี้มีรุ่นใหม่มา” เขาเล่าอย่างอารมณ์ดี จากนั้นก็จับมือฉันเดินไปดูนาฬิกาตู้อื่น เฮ้อ ความสุขเขาเป็นแบบนี้เองสินะ เอาเป็นว่าให้เขาหน่อยแล้วกันวันหยุดเขาทั้งที
“ขอรับโทรศัพท์ได้ไหมคะ” ระหว่างที่รอพี่กริชเดินดูนาฬิกาก็รีบเอ่ยขออย่างเกรงใจ ตั้งใจจะเดินออกไปคุยนอกช็อปแต่คนที่เลือกนาฬิกากลับยื่นมือมาจับมือฉันไว้ไม่ยอมปล่อย
“รับเลย แต่คุยตรงนี้” พี่กริชบอกมือที่จับมือฉันอยู่ยังไม่ยอมปล่อย แต่ว่าฉันเกรงใจพนักงานนี่นา
“ตามสบายเลยค่ะคุณลูกค้า” ราวกับว่าพนักงานของที่นี่อ่านใจลูกค้าได้ เพราะคิดไปแบบนั้นพนักงานคนสวยก็รีบเอ่ยบอกกับฉันทันทีด้วยท่าทีสุภาพ
“ขอบคุณค่ะ” ได้ยินแบบนั้นก็รีบรับสายที่โทรเข้ามาโดยที่มืออีกข้างถูกพี่กริชยืดไว้ ส่วนมืออีกข้างก็ถือโทรศัพท์ขึ้นมารับสาย
“สวัสดีค่ะ”
(สวัสดีค่ะ คุณเฟื่องใช่ไหมคะ?)
“ใช่ค่ะ ติดต่อจากที่ไหนคะ” ฉันเอ่ยถามกลับไปเพราะไม่รู้ว่าคนที่โทรเข้ามานั้นติดต่อมาจากที่ไหนและจะติดต่อเรื่องอะไร
(ขออภัยด้วยค่ะ สวัสดีค่ะดิฉันชื่อมุก จากบริษัทxx พอดีได้รับการแนะนำจากน้องหยกว่าคุณเฟื่องรับฟรีแลนซ์กราฟฟิกดีไซด์ ทางเรามีงานมาเสนอคุณเฟื่องพอจะมีเวลาว่างไหมคะ หากวันนี้จะเชิญเข้ามาคุยรายละเอียด)
“อ่า ว่างค่ะ แต่ว่างประมาณบ่ายสามได้ไหมคะ”
(ขอบคุณค่ะคุณเฟื่อง เป็นบ่ายสามของวันนี้นะคะ)
“ได้ค่ะ แล้วสถานที่...”
(ที่บริษัทxx คุณเฟื่องสะดวกไหมคะ)
“สะดวกค่ะ”
(ถ้าถึงแล้วคุณเฟื่องแจ้งว่ามุกดานัดไว้ได้เลยนะคะ ขอบคุณค่ะคุณเฟื่อง)
“ได้ค่ะ”
“ใครโทรมา?” คนที่จับมืออยู่หันกลับมาถามอย่างรู้จังหวะ
“บริษัทxx ค่ะ ติดต่องาน บ่ายสามจะเข้าไปดูรายละเอียด” ฉันเลือกที่จะบอกเขาไปตรง ๆ ไม่คิดปิดบัง
“งั้นก็ไปกินข้าวก่อนแล้วจะพาไป เอาสองเรือนนี้เลยครับ” ท้ายประโยคเขาหันไปบอกพนักงานที่กำลังมองเรายิ้ม ๆ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่พี่กริชปลดนาฬิกาออกจากข้อมือฉันนั่นแหละ
“ทำไมถึงลองข้อมือหนูล่ะ” ฉันถามอย่างสงสัยและไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเขาลองสวมให้ข้อมือฉันตั้งแต่ตอนไหน
“ก็จะซื้อให้ รอบนี้เอาแบบเดียวกันเลย”
“แต่ว่า...”
“พี่อยากซื้อให้ พี่ทำงานหนัก ๆ ก็ช่วยใช้เงินหน่อย”
“มันเกี่ยวกันที่ไหนล่ะ” ตอบกลับไปเสียงเบา แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะได้ยินแล้วหัวเราะแบบนั้น พี่กริชไม่ได้ตอบอะไรกลับมา หลังจากจ่ายเงินเสร็จก็พาเดินออกจากช็อปนาฬิกา ตอนนี้เพิ่งเที่ยงนิด ๆ เองพี่กริชเลยพาเดินไปดูของเรื่อยเปื่อยกระทั่งผ่านร้านหนังสือที่มีอัลบั้มเพลงวางจำหน่ายอยู่ด้วย ฉันชะงักทันทีสายตากวาดมองยอดท็อปของการจำหน่ายอัลบั้ม บ้าจริงอัลบั้มของผู้ชายฉันอยู่อันดับสอง ไม่ได้แล้วผู้ชายฉันต้องเป็นนัมเบอร์วันสิ!!
“เฟื่อง...” พี่กริชที่จับมืออยู่เอ่ยเรียก ฉันหันไปมองอีกฝ่ายอย่างอ้อน ๆ ทันที ฉันมั่นใจว่าเขาเองก็รู้ว่าฉันจะทำอะไร
“สั่งไปแล้วนี่ ห้าสิบเลยนะรอบเมื่อกี้”
“แต่มันคนละส่วน”
“มันล้นมาห้องพี่แล้วนะ”
“เดี๋ยวหนูหากล่องมาใส่ก็ได้”
“ไม่ต้องเลย จะเข้าไปไหม” ท้ายที่สุดพี่กริชก็ยอมอ่อนข้อให้ ฉันยิ้มกว้างพยักหน้ารับทันที
“เข้าไปกัน เสร็จแล้วจะได้ไปกินข้าว” พี่กริชเดินตามเข้ามาด้วย โดยที่มือยังจับมือฉันไว้ข้างหนึ่งอีกข้างก็ถือถุงนาฬิกาที่เราเพิ่งออกจากช็อป เราทั้งสองเดินเข้าไปในร้านหนังสือ ก็เห็นอัลบั้มสีพาสเทลสวยงามวางโชว์อยู่ฉันน่ะรอบที่พรีออเดอร์มายังไม่แกะเลย ไม่สิแกะแค่สองกล่องที่เหลือไม่กล้าแกะกลัวว่าฝุ่นจะเข้า
“มีอะไรสงสัยสอบถามได้นะครับ” พนักงานที่ร้าน ไม่สิ ดูท่าน่าจะเป็นผู้จัดการร้านของสาขานี้นั่นแหละเขาเดินเข้ามาทักอย่างนอบน้อม
“สวัสดีค่ะ” ฉันเอ่ยทักกลับไป
“สวัสดีครับ คุณลูกค้าสนใจอัลบั้มไหนเป็นพิเศษไหมครับ”
“ค่ะ คือยอดอันดับหนึ่งเขาคิดกันยังไงเหรอคะ?” ถามตรงประเด็นแบบไม่อ้อมค้อมเลย คุณพนักงานของร้านยิ้มอย่างใจดีก่อนจะเอ่ยตอบกลับมา
“เรานับตามสาขาครับ สาขาของที่นี่อิงจากยอดซื้อทั้งออนไลน์และหน้าร้านครับ”
“แล้วตอนนี้อันดับหนึ่งกับอันดับสองห่างกันเท่าไหร่คะ?”
“สักครู่นะครับ ผมจะไปตรวจสอบให้ก่อนไม่ทราบว่าคุณลูกค้ารีบไหมครับ”
“นิดหน่อยค่ะ” ไม่ได้โกหกนะ ฉันมีนัดตอนบ่ายสามแล้วต้องไปกินข้าวก่อนอ่ะ
“ผมขอเวลาห้านาทีครับคุณลูกค้า”
“ได้ค่ะ” คล้อยหลังพนักงานเดินกลับไปเช็คยอดสินค้าพี่กริชที่จับมืออยู่ก็กระตุกมือเบา ๆ เรียกให้หันไปมอง
“พี่ให้แค่ห้าสิบอัลบั้มนะเฟื่อง บ้านเราไม่มีที่เก็บแล้ว”
“แต่...”
“รอพี่หาช่างมาทำห้องให้ก่อนค่อยซื้อเพิ่ม” พี่กริชเคยบอกว่ากำลังจะหาช่างมาขยายบ้านโซนด้านหลังเพื่อทำเป็นห้องเก็บของสะสมให้ฉัน แต่เพราะยังวุ่นเรื่องการขึ้นเวรเขาเลยยังไม่ได้ติดต่อช่าง แต่ฉันนึกว่าเขาลืมไปแล้วเสียอีก เพราะตั้งแต่คุยกันครั้งนั้นก็ไม่ได้คุยกันอีกเลยเกี่ยวกับเรื่องขยายบ้าน
“หรือเราจะซื้อบ้านหลังใหม่” พี่กริชเงียบไปและรีบเอ่ยขึ้นมาอย่างนึกขึ้นได้
“ไม่เอาหรอก ไม่มีเงินขนาดนนั้น”
“แต่พี่มี”
“นั่นมันเงินพี่”
“ถ้าขยายพี่ก็จะออก...”
“เราตกลงกันแล้วนี่คะว่าคนละครึ่ง พี่เอาฟิกเกอร์ของพี่มาไว้ได้ หนูก็เอาอัลบั้มเพลงไปไว้ได้ แบบนั้นน่ะที่เราคุยกัน” ฉันรีบเถียงกลับไปก่อนที่เขาจะมัดมือชกจ่ายเงินคนเดียว
“ขออภัยที่ให้รอนานนะครับ ยอดที่ต่างกันอยู่ที่ 20 อัลบั้มครับ”
“หมายความว่าถ้าซื้อมากกว่า 20 อันดับสองก็จะขึ้นมาอยู่ที่อันดับหนึ่งใช่ไหมคะ” ฉันถามกลับไปอย่างตื่นเต้น
“ใช่ครับ”
“งั้นเราเอาอัลบั้มของอันดับสอง สามสิบอัลบั้มค่ะ”
“ครับ? สามสิบอัลบั้มนะครับ”
“ใช่ค่ะ”
“ตอนนี้ที่ร้านมีเพียงสิบห้าอัลบั้ม แต่ถ้าคุณลูกค้าต้องการสามสิบอัลบั้มทางร้านจะรีบติดต่อสาขาใกล้เคียงเพื่อส่งสินค้า”
“แบบนั้นก็ได้ค่ะ แต่เราต้องการสามสิบ ที่ร้านมีบริการส่งไหมคะพอดีวันนี้ไม่สะดวกเอากลับไปด้วย”
“มีครับ”
“งั้นเอาตามนี้เลยค่ะ”
“เชิญคุณลูกค้าชำระสินค้าที่เคาน์เตอร์ได้เลยนะครับ” คุณพนักงานเชิญเสียงสั่น บ่งบอกว่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย ฉันจึงรีบเดินไปที่เคาน์เตอร์เพื่อจ่ายเงินและแจ้งที่อยู่ในการจัดส่ง เราใช้เวลาจัดการไม่นานก็เสร็จเรียบร้อย เสร็จจากที่ร้านหนังสือพี่กริชรีบพาไปกินข้าวทันทีเพราะกลัวว่าจะไปไม่ทันเวลานัด เฮ้อ สบายใจจัง ตอนออกจากร้านอัลบั้มผู้ชายเปลี่ยนขึ้นมาอยู่อันดับหนึ่งแล้ว นี่แหละความสุขของแม่ ๆ เมื่อได้เห็นลูกขึ้นไปอยู่อันดับหนึ่ง
“มีความสุขขนาดนั้น” คนที่กำลังขับรถอยู่เอ่ยแซวเมื่อเห็นว่าฉันอมยิ้มตั้งแต่ขึ้นรถมา ตอนกินข้าวด้วยกันก็อารมณ์ดี
“ค่ะ มีความสุขมาก”
“มีความสุขก็ดีแล้ว”
“พรุ่งนี้พี่ไปทำงานไหม?”
“ไปครับ แต่มีแค่เวรเช้า”
“งั้นเหรอ”
“อยากไปไหนหรือเปล่า” พี่กริชถาม ระหว่างนั้นก็เลี้ยวรถเข้าไปยังส่วนบริษัทที่นัดฉันมาคุยงาน เมื่อจอดรถที่ลานจอดรถเสร็จฉันก็เช็คตัวเองในกระจก โดยมีพี่กริชยื่นมือมาช่วยจัดผมที่ยุ่ง ๆ ให้เข้าที่ จากนั้นเราทั้งสองคนก็เดินเข้าไปยังตัวอาคารของบริษัท แจ้งพนักงานด้านหน้าว่าคุณมุกดานัดเข้ามาคุยงานพอแจ้งไปพนักงานก็พาเราขึ้นไปยังชั้นหกและให้รอที่ห้องประชุม อ้อ บริษัทนี้น่ะเป็นบริษัทที่เพื่อนฉันทำงานอยู่ด้วยล่ะ ก็หยกนั่นแหละ เดี๋ยวส่งข้อความไปหาเพื่อนก่อนว่าฉันมาคุยงานที่นี่แล้ว ตอนเย็นชวนเพื่อนกลับด้วยกันดีไหมคะ พี่กริชจะโอเคหรือเปล่า
“พี่กริช”
“หือ?” คนที่นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ข้าง ๆ เงยหน้าขึ้นมองเมื่อถูกเรียก
“หนูชวนหยกกลับด้วยกันได้ไหม”
“ได้ครับ”
“ขอบคุณค่ะ” ระหว่างที่ขอบคุณก็กดส่งข้อความไปหาเพื่อนทันที อยากชวนไปกินข้าวด้วยกัน แต่ไม่รู้ว่าพี่กริชจะโอเคหรือเปล่าเพราะแม่เขาก็ยังไม่กลับ งั้นนั่งกินชานมสักแก้วแล้วค่อยกลับแบบนั้นดีกว่า
“ก่อนกลับขอไปกินชานมกับเพื่อนก่อนได้ไหมคะ”
“ได้ครับ” ดีใจอีกแล้ว
“ขอโทษที่ต้องให้รอนานนะคะ” น้ำเสียงเป็นทางการดังขึ้นที่หน้าประตูห้องประชุมนั่นแหละฉันถึงได้หยุดคุยกับพี่กริชและเริ่มคุยเรื่องงาน คุยงานโดยที่มีพี่กริชนั่งอยู่ข้าง ๆ ช่วยฟังและตัดสินใจในสัญญาบางข้อ ทำไมมีเขาแล้วมันดีแบบนี้นะ ฉันนึกไม่ออกเลยถ้าหากวันหนึ่งต้องห่างจากเขาไปหรือไม่มีเขาในชีวิต ฉันจะเป็นยังไงนะ