เมื่อตกลงเซ็นสัญญากันเป็นที่เรียบร้อยแล้วทั้งสองสาวก็เดินทางกลับกรุงเทพ นาถนารีนั้นต้องเตรียมตัวไปอยู่ที่ไร่อุ่นรักของบดินทร์ที่จังหวัดนครนายก ทางฝั่งบดินทร์เขาให้เวลาหญิงสาวเคลียร์ทุกอย่างหนึ่งอาทิตย์ ก่อนที่เธอจะไปใช้ชีวิตอยู่ที่ไร่อุ่นรักกับเขา
“ถามจริง ทำไมตกลงที่จะเป็นภรรยาของเขาทั้งที่เขาเป็นคนพิการ” วิชุดาเอ่ยถามระหว่างที่ขับรถกลับกรุงเทพ
“ก็แค่อยากลองอะไรใหม่ๆ ลึกๆ แล้วเขาเป็นคนที่น่าสงสารมาก เพอร์เฟคทุกอย่าง แต่อุบัติเหตุทำให้เขาเป็นคนพิการ” นาถนารีเอ่ยออกมาจากใจ
“แม่พระแล้วหนึ่ง ชีวิตคู่นะเพื่อน ไม่ใช่เด็กเล่นขายของ” วิชุดาเตือนสติเพื่อนด้วยความเป็นห่วง
“ก็ชีวิตคู่นี่แหล่ะ เกาะเอาไว้เผื่อฟลุ๊ค ถ้ากลับไปเดินได้นะ ณเดชน์ยังต้องชิดซ้ายเลย” นาถนารีเอ่ยเล่นๆ เพื่อไม่ให้เพื่อนเครียดกับการตัดสินใจของตน เพราะยังไงเสีย เธอก็เลือกตัดสินใจไปแล้ว ไม่ว่าจะพูดยังไง เธอก็คงไม่เปลี่ยนความตั้งใจแน่ๆ
“แล้วเขามีเงินให้บ้างมั้ยล่ะ ไปอยู่แบบนั้นไม่มีรายได้ก็ควรจะได้ค่าเลี้ยงดูจากสามีนะ” เมื่อเห็นว่าเพื่อนไม่มีทางเปลี่ยนใจ การปกป้องผลประโยชน์แทนเพื่อน เป็นสิ่งที่วิชุดาจะต้องทำ
“มีสิ เยอะด้วย” นาถนารีเอ่ยออกมาด้วยความเกรงใจ
“เท่าไหร่ล่ะที่ว่าเยอะ” เพื่อนถามกลับทันควัน
“หนึ่งแสนบาทต่อเดือน”
“งั้นก็ไปเถอะ อยู่สักปีสองปีก็ตั้งตัวได้แล้ว” วิชุดาเอ่ยออกมาทีเล่นทีจริง ทำให้สองสาวหลุดหัวเราะออกมาเกือบจะพร้อมๆ กัน
เมื่อตัดสินใจที่ทำแบบนั้น นาถนารีก็โทรหามารดาและเล่าเรื่องทั้งหมดให้มารดาฟัง พอมารดาได้ฟังท่านก็ตกใจเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเป็นการตัดสินใจของบุตรสาวนางนารีก็ไม่ขัดขวาง ที่ผ่านมานางเลี้ยงดูบุตรสาวให้ตัดสินใจเองมาตลอด เพราะฉะนั้นครั้งนี้ นางก็ต้องเคารพการตัดสินใจของบุตรสาวดังเช่นทุกครั้ง เพราะลูกเราเลี้ยงได้แต่ตัว เราไม่สามารถเลี้ยงหัวใจของลูกได้