หลังจากที่เป่ยลู่กลับมาอยู่ที่บ้านได้ไม่กี่วัน ชาวบ้านก็รับรู้ทั่วกันว่าเธอถูกแม่สามีไล่ออกจากบ้านมา แต่ไม่มีใครรู้เรื่องจริงสักคนว่าเรื่องราวเป็นยังไง แต่สำหรับคนบ้านหวงนั้นพวกเขารู้ดีว่าเรื่องราวเป็นมายังไง
” ไม่เป็นไรค่ะแม่ปล่อยให้พวกเขาพูดกันไปเถอะ ฉันมีวิธีแก้ที่จะทำให้พวกนั้นไม่กล้าพูดอะไรอีก “ เป่ยลู่เอ่ยบอกแม่ของเธอที่กระวนกระวายใจอยู่หน้าบ้าน ต่างจากพ่อที่นิ่งเงียบมาตั้งแต่เช้า
เป่ยลู่ตัดสินใจไปที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านเธอแจ้งความร้องทุกข์ต่อเขาว่าถูกชาวบ้านพูดจาให้ร้าย ในเรื่องที่ไม่เป็นความจริง นั้นเพราะมีคนในหมู่บ้านพูดต่อๆกันไปว่าเธอถูกไล่ออกมาจากบ้านหลี่
เพราะสามีต้องการแต่งภรรยาใหม่ อีกส่วนก็พูดกันว่าเพราะเธอไม่เป็นที่รักใคร่ของแม่สามีและตัวสามีของเธอเอง จึงได้ถูกขับไล่กลับมาบ้านเดิม
“ เรื่องที่ฉันเล่าก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ ลุงเฟิง “
“ ได้ ลุงจะจัดการให้เธอเอง “
“ ลุงเฟิงส่งให้คนที่หมู่บ้านนั้นแล้วถามเรื่องราวก่อนก็ได้นะคะ ชาวบ้านจะได้ว่าอะไรลุงไม่ได้ แต่ถ้าจะให้ดี พาเขามายืนยันด้วยก็ดีค่ะ “ เป่ยลู่เอ่ยบอกออกไป ซึ่งลุงเฟิงก็เห็นดีด้วย เขาจึงส่งลูกชายคนเล็กไปที่หมู่บ้านนั้นเพื่อถามเรื่องราวความจริง และให้พาชายหนุ่มจากหมู่บ้านนั้นมาเป็นพยานเรื่องของบ้านหลี่และเป่ยลู่ด้วย
ก่อนที่ลุงเฟิงจะตีฆ้องเพื่อเรียกเหล่าชาวบ้านมารวมตัวกันที่ลานกลางหมู่บ้าน ตามที่เป่ยลู่ต้องการ เขาเองก็คิดเช่นเดียวกันว่าหากไม่สั่งสอนให้รู้สึกเสียบ้างคงไม่เลิกนิทาชาวบ้านไปทั่วแบบนี้
” หัวหน้าหมู่บ้านเรียกพวกเรามาทำไมกัน “ ชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น
“ เดี๋ยวรอให้เจ้าสามกลับมาก่อน เดี๋ยวพวกเธอก็รู้เอง “
ส่วนเป่ยลู่นั่งอยู่บริเวณนั้นพอดี โดยมีพ่อแม่และน้องชายยืนขนาบด้านหลัง พวกเขากังวลใจไม่น้อย เพราะความเปลี่ยนไปของลูกสาวที่ตอนนี้ดูเหมือนจะต่างไปจากเดิม เหมือนเป็นคนอื่นที่พวกเขาไม่รู้จัก ….
ไม่นานนักลูกชายคนที่สามของบ้านเฟิงก็กลับมาพร้อมกับชายหนุ่มจากหมู่บ้านต้นเรื่อง
“ เอาล่ะๆๆ คนก็กลับมาแล้ว ขอถามพ่อหนุ่มสักเรื่อง เกี่ยวกับบ้านหลี่แล้วก็เป่ยลู่ได้ไหม “
“ ได้ครับ ผมอยู่บ้านติดกันกับบ้านหลี่ห่างกันแค่ 2ก้าวเท่านั้น “
“ ช่วยเล่าให้เราฟังทีได้ไหมว่าที่นั่นเกิดเรื่องอะไรขึ้น “
“ ครับ วันนั้นพี่ต้าหลงกับพี่สะใภ้ขึ้นเขาไปหาผักป่ามาขายด้วยกัน แต่ว่าทั้งสองคนถูกงูกัด พี่ต้าหลงตายคาที่ส่วนพี่สะใภ้เจ็บหนัก แต่ว่าหมอเฉียงช่วยไว้ได้ทัน ต่อมาป้าหลี่คิดจะทุบตีเธอให้ตายตามพี่ต้าหลงไป แต่ว่าพวกบ้านบ้านไม่ยินยอม
ป้าหลี่ก็เลยอาศัยช่วงที่เธอไม่ได้สติ พิมพ์รอยนิ้วมือเธอลงบนหนังสือหย่าแทนพวกเขา
ส่วนศพพี่ต้าหลงก็ฝังไว้ที่ศาลาบรรพชนของหมู่บ้านครับ ส่วนพี่สะใภ้ทุกคนจึงช่วยกันพาไปรักษาตัวบ้านแม่เฒ่าหลิวจนหายดี
หลังจากนั้นผมก็ได้ข่าวว่าเธอกลับมาบ้านเดิม “ ชายหนุ่มเอ่ยเล่าตามความจริงนั้นทำให้ชาวบ้านต่างเข้าใจว่าเรื่องราวที่พวกเขารู้มานั้นต่างจากความเป็นจริง
“ นี่มันคนละเรื่องกับที่พวกเราฟังมานี่ “
“ ใช่ๆๆ “
“ ใครกันที่เอามาพูดจนเสี่ยวลู่บ้านหวงเสียหายแบบนี้ ”
“ นั่นสิ “
“ จะใครซะอีกล่ะก็ไม่ใช่หล่อน ๆแล้วก็หล่อนทั้งสามคนหรอกหรือที่นั่งคุยกันใต้ต้นไม้หน้าบ้านจาง “ คนที่เอ่ยขึ้นก็คือเฒ่าจางนั่นเอง
“ นะนี่ เฒ่าจางคุณจะพูดมั่วๆแบบนี้ไม่ได้นะ “
“ ใช่ๆๆ เราฟังมาจากสะใภ้ฉินอีกที”
“ ใช่พวกเราก็ฟังมาจากสะใภ้ฉินเหมือนกัน “ ชาวบ้านต่างชี้ไปที่สะใภ้ฉินว่าพวกเขาฟังมาจากหล่อน
ทำเอาบ้านฉินในตอนนี้แทบจะลุกเป็นไฟ เหล่าชาวบ้านไม่แปลกใจอะไร เพราะรู้ดีว่าสะใภ้ฉินคนนี้นั้น เดิมทีหมายมาดจะแต่งกับเป่ยหรงแทนลูกชายตระกูลฉิน แต่ว่า เป่ยหรงนั้นไม่ได้ชอบพอหล่อนหล่อนจึงได้โกรธแค้นดั่งเช่นทุกวันนี้ยังไงล่ะ
“ ว่ายังไง เจียวอ้าย หล่อนเป็นคนนำเรื่องไม่จริงพวกนี้ไปพูดกับชาวบ้านงั้นหรอ “ หัวหน้าหมู่บ้านถาม
” ฉะ ฉัน ฉันแค่พูดเล่น “ เจียวอ้ายเอ่ยตอบอย่างไม่ทุกข์ร้อนอะไร ต่อคำพูดของตนเอง
“ ลุงเฟิงคะ ตามกฎหมายมีการเขียนเอาไว้ว่าผู้ใดก็ตามที่นำเรื่องของผู้อื่นไปเล่าสนุกปากในเรื่องที่ไม่จริง จะถูกทหารแดงตัดลิ้นและจ่ายค่าปรับจำนวน 100 หยวนให้กับเจ้าทุกข์ ซึ่งก็คือฉันเป่ยลู่ที่ได้รับความเสียหายในเรื่องนี้ “
คำบอกของเป่ยลู่นั่นทำให้ชาวบ้านต่างรีบหุบปากฉับพลัน พวกเขารู้ถึงกฏหมายข้อนี้ดี แต่ไม่เคยมีเจ้าทุกข์คนไหนที่ต้องการเอาเรื่องอย่างจริงจังมาก่อน
ชาวบ้านรวมถึงเจียวอ้ายจึงสามารถพูดกันได้อย่างสนุกปากโดยไม่เกรงกลัวบทลงโทษ แต่ไม่ใช่กับเป่ยลู่ที่จะยอมความง่ายๆ แน่นอน
“ เสี่ยวลู่เรื่องนี้ก็ให้แล้วกันไปเถอะน่า “ ชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“ งั้นถ้ามีคนพูดว่าลูกสาวบ้านเฉียว ป้าจะยอมความใช่ไหมคะ “ เป่ยลู่ย้อนถาม
“ นั่นมันก็ … “ แน่นอนว่าไม่มีใครที่จะยินยอม ให้คนอื่นมาว่าร้ายลูกของตนเอง นอกเสียจากว่าคนๆนั้นจะไม่รักและไม่สนใจชื่อเสียงของลูกสาวตนเอง