....ตนเหมันต์ฤดูมาเยือนยังเมืองหลงของต้าเหลียง...
ยังจวนสกุลหลัวหรือก็คือจวนไค่กั๋วกงแห่งต้าเหลียงห่างจากภายในเมืองหลวงอยู่ราวหกสิบลี้เกือบเข้าเขตแดนของแคว้นฉินซึ่งติดชิดกับแคว้นจิ่นยามนี้ด้านหน้าจวนกลับปรากฏเกี้ยวหลังใหญ่ครบตามประเพณีของชนชาวต้าเหลียงที่จะจัดมารับตัวเจ้าสาวอย่าเอิกเกริก สีแดงเจิดจรัสจนทุกผู้ที่ผ่านไปมาต่างแซ่ซ้องถึงความยิ่งใหญ่นี้
เห็นเช่นนั้นทั้งกั๋วกงฟูเหรินและบุตรสาวต่างก็คล้ายกับว่าตนเองถูกทางฝ่ายของฮูหยินผู้เฒ่าหลิวและฉีหวางหักหน้ากันอย่างไรอย่างนั้นเพราะหลัวเหม่ยเหยาเช่นไรก็เป็นเพียงคนตระกูลหลัวสายรองหากเกี้ยวและขบวนรับตัวเจ้าสาวนี้จัดมาเสียยิ่งใหญ่เทียบเท่าขบวนรับตัวเหล่าพระชายาเอกของอ๋องทั้งหลายมิผิดเพี้ยนเช่นนี้ไม่หักหน้าท่านหญิงแห่งจวนไค่กั๋วกงแล้วยังจะกล่าวเป็นอื่นไปได้อย่างไร
"เอิ่ม...ชะ...เชิญท่านอ๋องเก้า"
และยิ่งยามนี้บุรุษที่ถูกกล่าวว่าบาดเจ็บสาหัสดวงตาหรือก็มืดบอดแต่วันนี้ถึงกลับเดินทางมารับตัวเจ้าสาวด้วยตนเองเป็นเช่นนี้จะมินับว่าเขาให้เกียรติเจ้าสาวผู้นี้เป็นอย่างยิ่งหรอกหรือ
"มิทราบว่าท่านอ๋องเก้าอาการบาดเจ็บดีขึ้นแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะวันนี้จึงเดินทางมารับตัวเจ้าสาวด้วยตนเองเช่นนี้"
และหลัวถงหยินก็มิอาจกักเก็บความสงสัยภายในใจเอาไว้ได้อีกต่อไปเมื่อกายสูงใหญ่ในอาภรณ์สีแดงสดปักด้วยเส้นไหมสีทองลวดลายมังกรซึ่งแน่นอนว่าผู้จะสวมชุดเจ้าบ่าวที่ปักด้วยลายมังกรตามประเพณีของชาวต้าเหลียงแล้วจะเป็นหวางชั้นหนึ่งเท่านั้นและในแผ่นดินยามนี้นอกจากองค์ไท่จื่อยามนี้ก็มีเพียงฉีหวาง แห่งตงอี๋หรืออ๋องเก้านั่นเอง ถูกพยุงด้วยสององครักษ์ให้ทรุดนั่งยังชุดรับแขกอย่างเป็นทางการของจวนไค่กั๋วกงแล้วเขาจึงเอ่ยปากสอบถามออกไปทันที
"ต่อให้เปิ่นหวางยังอ่อนแออย่างยิ่งแต่วันนี้เป็นวันดีวันเดียวในชีวิตที่จะตกแต่งพระชายาเอกเข้าตำหนักฉีหวางจะให้ดูดายไปได้อย่างไร"
...เพล้ง...
ถ้วยน้ำชาในมือของจางอี้ถึงกับหลุดลงไปกระแทกพื้นเสียงดังยามได้ฟังว่าวันนี้ฉีหวางตั้งใจแต่งเอานังเด็กโง่เง่าหลัวเหม่ยเหยาไปเป็นพระชายาเอกด้วยที่นางเข้าใจเช่นไรฉีหวางก็คงประทานให้เพียงตำแหน่งอิ้งซื่อ* (เป็นตำแหน่งพระชายารองขั้นหกซึ่งเป็นยศต่ำลงมาจากพระชายาเอกอยู่สองขั้น)
เพราะหลัวเหม่ยเหยาเช่นไรก็เป็นญาติสายรองบิดาและมารดาเรียกว่าเป็นสามัญชนธรรมดาหาใช่ชนชั้นสูงเช่นบุตรีของตนเองที่เป็นถึงท่านหญิงใหญ่ไค่กั๋วกง แต่ยามนี้แขกก็มิใช่น้อยนั่งอยู่มากมายแต่ฉีหวางกลับออกปากเช่นนี้มิเท่ากับหักหน้าคนตระกูลหลัวสายหลักไม่คิดไว้หน้าเต็มตัวเลยทีเดียว ใบหน้างามจึงยิ่งมึนตึงไม่เกรงใจผู้ใดอีกต่อไป
ทั้งที่เป็นฝ่ายตนเองโดยแท้บิดเบือนสัญญาเก่าก่อนจับเอาเพียงหลานสาวสายรองส่งขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวไปทดแทนบุตรของตนเองแต่กลับไม่สำนึกแล้วยังมาพานโกรธเคืองผู้อื่นว่ามิรักษาหน้าให้พวกตนเอง
"มิทราบว่าในเมื่อท่านอ๋องเก้ากล่าวว่าวันนี้คิดให้เกียรติคนตระกูลหลัวมารับตัวเจ้าสาวด้วยตนเองแต่เหตุใดจึงทรงปิดหน้าปิดตามิดชิดนี่จะไม่เป็นการกล่าวย้อนแย้งไม่จริงใจกระมังเพคะ"
ในเมื่อนางย่อมรู้ภายใต้หน้ากากบดบังใบหน้าไปเสียแปดส่วนนั้นซุกซ่อนแต่ความอัปลักษณ์ด้วยผลจากพิษงูที่กัดกินผิวหนังบริเวณรอบดวงตาซึ่งพิษมิอาจกำจัดออกได้โดยง่าย จางอี้นางจึงคิดให้เจ้าคนไร้ค่าผู้นี้อับอายผู้คนชั้นสูงตอบแทนนางและบุตรสาวบ้าง
"จริงใจหรือไม่เปิ่นหวางย่อมรู้ตัวดี...เช่นกันใบหน้านี้จะเปิดหรือไม่ก็อยู่ที่ตัวของเปิ่นหวางเช่นกัน แล้วอีกอย่างความจริงใจนี้เปิ่นหวางจะมอบแต่เพียงผู้ที่คู่ควร...อย่างเช่น...ฉีหวางเฟย...พระชายาเอกของเปิ่นหวางเท่านั้นผู้อื่นที่มิเกี่ยวข้องไยเปิ่นหวางต้องใส่ใจด้วยเล่ากั๋วกงฟูเหริน"
ยามนี้นั่งมาได้ครู่ใหญ่แม้แต่น้ำสักอึกฉีหวางหรือท่านอ๋องเก้าจะแตะต้องหรือก็หาไม่เช่นนี้ทุกผู้ย่อมรับรู้ถึงบรรยากาศแสนกดดันภายในห้องโถงกว้างแห่งนี้ได้ชัดเจนกันทุกผู้ตัวคนทั้งที่วันนี้คือวันมงคลโดยแท้แต่ช่างอึดอัดยิ่งกว่าบรรยากาศในพิธีศพก็มิปาน
"นี่ก็สายแล้วพวกเรายังต้องเดินทางกันอีกร่วมพันลี้หากตัวเจ้าสาวพร้อมแล้วก็เชิญกั๋วกงและกั๋วกงฟูเหรินส่งเจ้าสาวขึ้นเกี้ยวเถิด"
ฮูหยินผู้เฒ่าเพิ่งกล่าวขึ้นเป็นประโยคแรกนับแต่ก้าวเข้ามายังจวนไค่กั๋วกงแห่งนี้หลังจากเมื่อสองวันก่อนคำตอบถูกส่งไปแจ้งว่าข้อตกลงไปตามที่ทั้งนางและหลานชายพึงใจม้าเร็วก็ถูกส่งไปแจ้งให้หานหย่งไท่ทราบแต่ที่ผิดไปก็คือจากสองฝาแฝดเหลือเพียงหนึ่งเดียวเพราะหลัวเหม่ยฉีฝาแฝดคนพี่ได้ตายลงไปเมื่อราวสิบห้าวันก่อนแต่ถึงอย่างนั้นเพียงหนึ่งก็ถือว่าได้ตามประสงค์แล้ว
"เช่นนั้นก็เชิญท่านอ๋องเก้า...เชิญฮูหยินผู้เฒ่าที่ด้านหน้าจวนได้เลย...กั๋วกงฟูเหรินไปพาเหม่ยเหยาส่งขึ้นเกี้ยวได้แล้ว"
ผ่านไปราวครึ่งเค่อกายเล็กในชุดเจ้าสาวที่ดูเก่าปอนก็ถูกประคองออกมาจากทางด้านข้างของประตูจวนเห็นเช่นนั้นฮูหยินผู้เฒ่าหลิวก็ถึงกับเม้มริมฝีปากแน่น
...คนชั่วพวกนี้คิดหักหน้ากันเช่นนี้เชียวหรือ...
นอกจากสินเดิมเจ้าสาวจะมีเพียงหีบเดียวซึ่งในสายตาของนางย่อมมองออกมิต้องคาดเดาให้เหนื่อยว่าคงมีเพียงเสื้อผ้าของเจ้าสาวหญิงชราก็ให้เดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง
"ท่านยายเรียบร้อยแล้วหรือไม่"
คนที่มองไม่เห็นสิ่งใดเอ่ยถามขึ้นน้ำเสียงนิ่งสงบซึ่งฮูหยินผู้เฒ่าคาดว่าหาก"อาไท่"ของตนมองเห็นคงได้โกรธจนแทบเผาจวนไค่กั๋วกงทิ้งเสียเป็นแน่
"เรียบร้อยแล้ว จิ้งถีเจ้าประคองท่านอ๋องไปขึ้นรถม้าเถิดแดดเริ่มจะแรงแล้ว"
หญิงชราคิดว่าให้รอช้าอีกเพียงนิดไฟโทสะของตนอาจระงับไปไหวจึงตัดบทเร่งออกเดินทางวันนี้ถือว่าพวกตนเองตกเป็นรองและคนตกเป็นรองย่อมพูดอันใดไปก็เสียเปล่ารอคอยให้หลานชายของนางทวงคืนสิ่งที่สมควรเป็นของตนเองคืนมาได้ยามนั้นค่อยลงมือชำระความก็มิถือว่าสายไปแต่อย่างใด
ทางด้านของหลัวเหม่ยเหยาหลังจากนางถูกทรมานจนคิดว่าชีวิตของตนเองจะสิ้นตามพี่สาวและบิดามารดาลงไปเสียเป็นแน่ในคราวนี้จวบจนเมื่อยามเช้าของวันที่3ท่านป้าสะใภ้และท่านลุงก็นำหนังสือฉบับหนึ่งมาให้นางลงชื่อและนางก็ใช้สายตาอันอ่อนล้าอ่านได้ความว่ามันคือหนังสือถ่ายโอนทุกสิ่งของฝ่ายตระกูลเซี่ยให้ตกเป็นของท่านลุงไปทั้งหมดในวันที่นางอายุครบยี่สิบหนาว
ใจนางนั้นมิได้คิดอยากได้อยากมีอยู่แล้วขอเพียงท่านลุงทำตามสัญญายามนางครบวัยยี่สิบยินดีปลดปล่อยนางไปตามทางหลัวเหม่ยเหยาก็ยินดีไม่เอาทุกสิ่ง ซึ่งท่านลุงก็รับปากนางแข็งขันนั่นเองเด็กสาวที่บอบช้ำจึงพอจะเปิดรอยยิ้มออกมาได้บ้างหากแต่มิทันสิ้นสุดข่าวที่กระชากหัวใจนางก็เข้าหู
...วันนี้นางต้องขึ้นเกี้ยวตกแต่งให้แก่ฉีหวางบุรุษที่เป็นคู่หมายของญาติผู้พี่...
ยามนั้นเหมือนโลกใบน้อยของนางถล่มลงมาทับจนหายใจแทบไม่ออกนางเพียงอยากมีชีวิตธรรมดาเป็นเพียงหมอหญิงผู้ออกท่องยุทธภพช่วยเหลือคนยากคนจนแต่ยามนี้กลับถูกท่านลุงและป้าสะใภ้ยึดเอาทุกสิ่งไปเป็นของตนเองจนสิ้นมิเหลือแม้เพียงกำไลหยกที่มารดาเคยให้นางติดกายเอาไว้เรียกว่ายามนี้หลัวเหม่ยเหยาเหลือเพียงตัวกับห่อผ้าเพียงสามชุดแล้วยังต้องถูกจับขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวไปแดนไกลไยคนที่เป็นญาติเพียงหนึ่งเดียวทำร้ายนางได้มากมายเพียงนี้กันเล่า
...เหตุใดนางยินยอมมากถึงเพียงนี้ท่านลุงยังมิเคยมองนางเป็นหลานเป็นสายเลือดเดียวกัน...
"ท่านลุงเมตตาเหยาเอ๋อร์เถิดข้ายินดีรองมือรองเท้าเป็นทาสให้ท่านลุงและท่านป้าสะใภ้แต่อย่าได้ส่งข้าไปยังจวนอ๋องเก้าเลย"
...พลัก...
กายเล็กถูกปลายเท้าหนาถีบเข้ากลางหน้าอกจนนางหงายลงไปนอนฟุบลงกับพื้นเรือนกระดำกระด่าง
"ท่านพี่ใจเย็นสักหน่อยตบตีนางในยามนี้เกิดนางช้ำในจนตาย...มิสมควร...มิสมควรอย่างยิ่ง"
กลับเป็นจางอี้ที่เข้าห้ามปราบผู้เป็นสามีเพราะกลัวว่านังเด็กโง่ตรงหน้าอาจจะตายลงไปก่อนจะส่งขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวส่วนเมื่อขึ้นเกี้ยวไปแล้วจะเป็นจะตายก็นับว่ามิใช่ความผิดของคนตระกูลหลัว
"เอาเถอะที่เหลือข้ายกให้เจ้าจัดการก็แล้วกันทำอย่างไรก็ได้แค่มันขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวไปได้ก็เป็นพออย่างอื่นข้ามิสนใจทั้งสิ้น"
เพราะเขายามนี้ทุกสิ่งก็ได้มาครอบครองจนหมดแม้แต่หีบใส่ตำราโบราณเหล่านั้นซึ่งต่อให้อีกห้าหนาว จะมีหรือไม่มีหลานโง่ผู้นี้อยู่หรือไม่เขาก็คิดว่าบางทีด้วยอำนาจและเงินทองที่มีสุดท้ายย่อมหาหนทางอื่นมาเปิดออกจนได้ดังนั้นตอนนี้หลัวเหม่ยเหยานางจะตายหรืออยู่เขาจึงมินำพาขอเพียงขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวออกไปพ้นจวนแห่งนี้ก็ถือว่าตระกูลหลัวของตนเองปลอดภัยไร้กังวลไปจนสิ้นอย่างแน่นอน
ดังนั้นยามที่กายบอบช้ำถูกส่งขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวไปจึงมีเพียงร่างแต่ไร้ซึ่งสติไปเสียจนสิ้นและกว่าที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลิวจะรับรู้ก็ยามเมื่อออกไปจนพ้นเขตเมืองหลวงเจ้าสาวตัวน้อยจึงถูกเปลี่ยนไปขึ้นยังรถม้าคันเดียวกับท่านฮูหยินผู้เฒ่าหลิวเพื่อความสะดวกต่อการเดินทางไกลนั่นเองจึงรับรู้ว่าเจ้าสาววันนี้นางบอบช้ำมากเพียงใดบอบช้ำจนแทบเอาชีวิตไม่รอดเสียแล้ว...